ตอนที่ 42 เพื่อความอยู่รอด
ตอนที่ 42 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย
เสียงฝนตกและฟ้าผ่าลงมายังต้นไม้ภายนอก มีสายลม เย็นยะเยือกพัดเข้ามาเสียดแทงร่างเป็นระยะๆ ทั้งสองคน ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ยืนนิ่งๆเงียบๆเฝ้ารอความ ตายคืบคลานมาหาพวกตนเพียงเท่านั้น
นอกจากชะตากรรมของพวกเขาทั้งสองแล้วยังมีชะตา ชีวิตขององค์ชายอานเหยียนอีกผู้หนึ่งด้วย ยามนี้อาการ ขององค์ชายยังตัวอยู่ ไม่มีอาการชัก ไม่มีความเจ็บปวด ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ หยงเฟยจับมือน้อยๆไว้มั่น ใน ใจนางปล่อยวางต่อทุกสิ่งไม่รู้สึกวูบโหวงไม่แยแสต่อสิ่ง ใด ไร้ซึ่งความเกลียดชังอีกต่อไป
ด้านตำหนักจาวหยาง ชูเซี่ยที่ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราการ ฝังเข็มอยู่นั้นเมื่อได้ฟังข่าวจากเสี่ยวจี้ก็รู้สึกเสียใจนัก
ท้ายที่สุดนางก็ก้มหน้าลงถลกกระโปรงขึ้นเพื่อดูบาดแผล ที่ขาของตน นางลองใช้มือกดลงไปที่แผลก็ปรากฏว่าไม่รู้ สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย ภายในใจก็มีความคิดบางอย่างผุด ขึ้นมา บางทีชีวิตที่สองของนางนี้อาจจะเป็นเพียงร่างกายที่ตายไปแล้วก็เป็นได้
นางหยิบห่อผ้าที่บรรจุเข็มท่ามกลางสายตาของจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ นางก็พุ่งตัวออกไปจาก ห้องทันที
ตลอดทางนางวิ่งอย่างไม่ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ท่ามกลางฝนพายุที่ตกลงมาไม่หยุด โคมไฟตามทางเดิน สลัวๆเนื่องจากลมพายุที่โหมพัดอย่างแรงทำไมนางมอง เห็นหนทางข้างหน้าได้ไม่ชัด เส้นทางที่ไปตำหนักชูหยาง ก็เปียกแฉะจนทำให้นางล้มลุกคลุกคลานเสียหลายครั้ง ร่างกายเปียกโชกไปหมด ความหวาดกลัวที่ไม่มีสิ้นสุด ปกคลุมไปทั่วจิตใจของนาง เมื่อมาถึงประตูทางเข้าตำหนัก ด้วยความเร่งรีบนางจึงสะดุดล้มศีรษะกระแทกเข้ากับธรณี ประตูหินอย่างแรงครั้งหนึ่ง แผลบนหน้าผากที่เพิ่งจะสมาน เริ่มมีเลือดไหลทะลักออกมาอีกครั้ง เลือดที่ไหลอาบลงมา ถูกสายฝนชะล้างไหลลงมาตามใบหน้าและลำตัวช่างดูเย็น ยะเยือกและน่าหวาดกลัว
อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาที่คุกเข่าโอบกอดกันอยู่ที่อุท ธยานต่างเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผู้มาใหม่ ทว่าท่ามกลาง สายฝนและโคมไฟที่สลัวทำให้ไม่อาจมองได้ชัดเจนนักว่า ผู้มาใหม่คือผู้ใด
นางหาได้สนใจขนบธรรมเนียมและสายตาประหลาดใจที่ มองมาจากหมอหลวงทั้งสองไม่แต่กลับเดินตรงไปยังห้อง บรรทมภายในที่อานเหยียนอยู่ อ๋องเจิ้นหยวนลุกขึ้นก่อน จะพยายามฉุดรั้งนานไว้ ทว่าฝีเท้าของนางเร็วเหลือเกินจน เขาตามนางไม่ทัน รู้ตัวอีกครั้งนางก็เข้าไปภายในห้องเสีย แล้ว
หยงเฟยเมื่อเหลือบมองผู้มาใหม่ก็ร้องออกมาอย่างตกใจ แต่เมื่อเพ่งมองจนรู้ว่าเป็นใครก็เอ่ยออกมาเสียงเย็น เจ้า โผล่มาในสภาพเช่นนี้ต้องการทำให้ข้าหัวใจวายตายหรือ ไรอานเหยียนใกล้จะจากไปแล้วเจ้าก็ช่วยปล่อยให้เขา จากไปอย่างสงบไม่ได้หรือไร”
ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หัวใจนางยังคงเต้นเร็วและ แรงไม่ทราบว่าเกิดมาจากการที่นางวิ่งตรงมาที่นี่อย่างไม่ หยุดพักหรือเพราะชีวิตน้อยๆที่กำลังจะตายต่อหน้านางกัน แน่ อย่างไรก็ตามยามนี้หัวใจของนางรู้สึกไม่อาจสงบใจ ได้เลย นางจ้องมองอานเหยียน ลมหายใจของเขาแผ่วเบา เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้นางเชื่อว่าองค์ชายน้อย กำลังรอคอยนางอยู่แน่นอน
นางหยิบกระเป๋าผ้าที่มีเข็มทองอยู่ภายในออกมาก่อนจะ
หันไปกล่าวกับหยงเฟยและอ๋องเจิ้นหยวน “อย่างมากข้า
ก็แค่ตามเขาไปที่ยมโลกด้วยก็เท่านั้น”
ด้านเสี่ยวจครั้นมองเห็นนางวิ่งออกไปเมื่อจะตามก็ไม่อาจ
ตามได้ทันจึงตัดสินใจหันกายกลับวิ่งไปรายงานเรื่องนี้แก่ หลี่เฉินเย่นแทน หลี่เฉินเป็นเล่ยถามเสี่ยวจีว่าก่อนที่นางจะหุนหันวิ่งออก
ไปนางได้พูดอะไรกับชูเซี่ยไปบ้าง เสี่ยวจจึงเอ่ยออกมา ตามตรงว่าก่อนหน้านี้นางพูดถึงอาการของอานเหยียน
หลี่เฉินเย่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเสียงเฉียบขาด “สั่ง คนให้ส่งตัวข้าไปตำหนักชูหยางเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวจี้ตกใจจนแทบสิ้นสติ ท่านอ๋องเพคะ ยามนี้ฝน ตกหนักยิ่งนัก ร่างกายท่านยังอ่อนแอ เสด็จไม่ได้เพคะ”
หลี่เฉินเย่นเหลือบตามองนางก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่ใกล้ จะหมดความอดทน “ยังจะมาพูดจาไร้สาระอันใดอยู่อีก รีบ ไป!”
เสี่ยวจไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหันกายกลับออกไปเรียก คนมาเท่านั้น
เมื่อหลี่เฉินเย่นเดินทางมาถึงตำหนักชูหยางความเงียบ ปกคลุมไปทั่ว มีผู้คนนับสิบยืนรออยู่ภายนอก สีหน้าของ แต่ละคนเต็มไปด้วยความหนักอึ้งและเคร่งขรึม
หัวใจของเขาหล่นวูบรีบสั่งการให้ข้าหลวงรีบแบกเขา เข้าไปด้านในทันที ทว่ายังไม่ทันก้าวข้าวธรณีหินประตู ภายในห้องก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน ท่ามกลางสายฝนใน ยามค่ำคืนเขาเพ่งมองภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจจึงเห็นว่า ร่างที่ก้าวย่างออกมาจากห้องคือชูเซี่ย ฝีเท้าของนางแผ่ว เบาดูไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลอาบลงมา นางเงยหน้าขึ้นจับจ้องมาทางเขาก่อนจะอ้าแขนเล็กน้อย ราวกับว่ามองเห็นที่พึ่งพิงของตน ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของ นางจะก้าวมาถึงเขาร่างบางก็ล้มลงต่อหน้าต่อตาเขาเสีย ก่อน
หลี่เฉินเย่นมองเห็นใบหน้าของชูเซี่ยที่เต็มไปด้วยเลือดก็ คิดว่านางถูกคนสั่งลงโทษ ความโมโหเข้าจู่โจมเขาอย่าง รุนแรงจนในที่สุดก็กระอักเลือดออกมาคำโตทำให้ผู้คน แตกตื่นกันใหญ่
หยงเฟยเมื่อเห็นว่าชูเซี่ยสลบไปก็รีบเรียกข้ารับใช้และ หมอหลวงทันที “เร็ว รีบพยุงร่างของพระชายาเข้าไปข้าง ใน” เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหลี่เฉินเย่นกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเมือด รีบเอ่ยaย่างร้อนชน ไอ้หยา ยังจะชักช้าอยู่อีกทำไม ส่งทั้งคู่เข้าไปข้างในเดียว
ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้น ร่างของทั้งคู่ถูกส่งเข้ามา
ภายในตำหนักโดยมีหมอหลวงสองคนเป็นผู้คอยรักษา อาการอย่างใกล้ชิด
หลี่เฉินเย่นเพียงแค่โกรธมากเกินไปส่งผลให้พลังปราณ ภายในพลุ่งพล่านทำให้กระอักเลือดออกมาแค่ใช้เวลาพัก ฟื้นลมปราณเสียหน่อยก็จะกลับมาดีขึ้นในไม่ช้า
ทว่าอาการของซูเซียกลับไม่ค่อยดีนัก บาดแผลที่ขาของ นางอักเสบอย่างหนัก ไข้ขึ้นสูง แม้ว่าหมอหลวงจะทำการ ฝังเข็มให้ทว่านางก็ยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมาเสียที ร้อนถึง คนในวังที่อกสั่นขวัญแขวนกันหมด
เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ฟังเรื่องราวจากอ๋องเจิ้นหยวนจึงได้รู้ว่า ชูเซี่ยได้ช่วยชีวิตอานเหยียนไว้ได้ ยามนี้ชีพจรของอานเห ยียนเต้นดีและมั่นคงขึ้นมาก ฟื้นคืนสติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ยามที่ดื่มนมจากแม่นมหลวงเข้าไป เขาก็ดื่มมันได้ดีใบหน้า แดงระเรื่อขึ้นและไม่ได้อาเจียนนมออกมาอย่างเช่นเคย
ความหวังในการมีชีวิตของทุกชีวิตก็ราวกับแสงอาทิตย์ วันใหม่ที่ต้อยๆสาดส่องอย่างช้าๆแต่สว่างไสวภายในใจ ของทุกๆคน ความเย็นของสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อ คืนดูเหมือนว่าจะสลายหายไปแล้วเหลือเพียงบรรยากาศ อบอุ่นชื่นมื่นเข้ามาแทนที่
หยงเฟยให้คนไปส่งข่าวดีแก่ต้าหนักโช่วอานเกี่ยวกับ อาการของอานเหยียน เมื่อไทเฮาสดับฟังก็ผ่อนคลายลง และอยากเสด็จมาทอดพระเนตรอานเหยียนด้วยพระองค์ เองทว่าฝ่าบาทกลับห้ามไว้ ไทเฮาก็ดื้อแพ่งจะเสด็จมา เสียให้ได้ เมื่อไม่สามารถห้ามได้ฝ่าบาทและฮองเฮาจึงได้ เสด็จมากด้วยกันทั้งสามพระองค์
เมื่อไทเฮาเสด็จมาถึงตำหนักชูหยาง ชูเซี่ยก็ยังคงไม่ฟื้น คืนสติ ไทเฮาเยี่ยมเยียนพระราชนัดดาของพระองค์ก่อน จะตรัสถามถึงเรื่องราวทั้งหมดจึงได้ทราบว่าชูเซี่ยเกิดเรื่อง พระองค์จึงร้อนพระทัยรีบเร่งเสด็จไปหาชูเซี่ยทันที
ครั้นทอดพระเนตรเห็นใบหน้าขาวซีดเผือดและบาดแผล ตรงหน้าผากของนางก็รู้ปวกพระทัยนัก จึงฝากฝังให้หลง เฟยและหมอหลวงหลานดูแลนางอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะ ด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเจ้าต้องรักษาพระชายาหนิงอานให้ หายโดยเร็วที่สุด”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ