ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต
ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต
หลี่เฉินเย่นชำเลืองมองมาที่นาง “จริงหรือ งั้นเจ้าเข้ามา ดมใกล้ๆอีกครั้งเถิด!” เอ่ยพลางก็ดึงร่างบางเข้ามาในอ้อม กอดของตน ใบหน้านางแดงระเรื่อไปทั้งหน้า มือบางทั้ง สองข้างยกขึ้นมาดันหน้าอกของชายหนุ่มไว้ เอ่ยอย่าง ร้อนรน “ท่านเบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ หากผู้อื่นได้ยิน จะเข้าหน้าเขาไม่ติด!”
หลี่เฉินเย่นชะงักกึก “ท่านพี่และใต้เท้าหยางต่างก็อยู่ที่ โถงรับรองแขก พวกข้ารับใช้ที่ไหนจะกล้ามาแอบฟังพวก เรากัน” ยามนี้พลังปราณของเขาฟื้นคืนมาเกือบสมบูรณ์ แล้ว เมื่อครู่บทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนที่ หน้าเรือนของตนเขาล้วนได้ยินทั้งสิ้น
ชูเซี่ยใช้มือข้างหนึ่งของตนดันหน้าอกของเขาไว้ส่วนอีก ข้างยังคงคอยเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างเบามือ “เอาเถิด พวก เราก็รีบออกไปกันดีหรือไม่ อย่าปล่อยให้ผู้อื่นรอนานนัก”
“ข้ายามนี้เป็นเพียงผู้พิการผู้หนึ่ง หากพวกเขารอได้ก็ให้ พวกเขารอ หากรอไม่ได้ก็จัดการปัญหากันเอาเองเถิด” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงราบเรียบ
ดวงตาของชูเซี่ยแดง ก่ำ นางเงยหน้ามองเขา “ข้าไม่ชอบ ที่ท่านพูดถึงตนเองราวกับว่าตนเองไร้ค่าเช่นนี้”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางชายหนุ่มก็ยอมจำนนอย่าง สิ้นเชิง เขาแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญขึ้นมา “พอแล้ว เลิกพูดจาเงินเย้อน่ารำคาญยิ่งนัก!”
ให้ข้าเงียบปากย่อมได้” ชูเซี่ยเอ่ยกระเง้ากระงอด “ใคร ให้ท่านเอ่ยคำที่ข้าไม่อยากฟังกันเล่า หากท่านไม่พูดข้าก็ คงไม่พูดจาเยิ่นเย้อให้ท่านรำคาญใจหรอก”
หลี่เฉินเย่นไม่ได้เงยหน้ามองนาง เขารับรู้ว่านางโกรธเขา ทว่าในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกหวานล้ำ ที่นางเอ่ยขึ้นมา เช่นนี้ในใจของเขาทราบดีว่าเพราะนางเป็นห่วงเขา ชาย หนุ่มไม่เข้าใจนักทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาปฏิบัติต่อนางอย่าง ใจร้ายใจดำมาโดยตลอดทว่าบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับ จางหายไปไม่เหลือ เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกบางอย่างที่ ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าภายในใจของชายหนุ่มไม่อาจยินดีได้อย่างเต็มที่นัก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีวันลังเลที่จะทำทุกสิ่งทุก อย่างเพื่อให้ได้นางมาครอบครอง ทว่าในยามนี้เขากลาย เป็นผู้พิการไปแล้วจะมีคุณสมบัติอันใดไปรั้งนางไว้ข้างกาย ได้อีกเล่า
จริงอยู่ที่ยามนี้นางดำรงตำแหน่งเป็นพระชายาของเขา ทว่าเขารู้สึกได้ว่ายามที่พวกเขาทั้งสองไปหุบเขาเทียน หลางด้วยกันหัวใจของนางไร้ความรู้สึกต่อเขาเสียแล้วไม่ ได้มีความรู้สึกผูกพันต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ยามนี้ที่นางทำ ดีต่อเขาก็เป็นเพราะเขาช่วยชีวิตนางจนตนเองได้รับบาด เจ็บ ในใจจึงบังเกิดความรู้สึกผิดดังนั้นจึงบังคับให้ตนเอง แสดงออกมาราวกับยังรักเขาอยู่เช่นนี้
ยามที่ข้ารับใช้ในวังหลวงช่วยกันแบกชายหนุ่มไปยังโถง รับรองแขก ในตาคมกล้าของชายหนุ่มจับจ้องมาที่ชูเชี่ย ด้วยสายตาที่อบอุ่นและมีความสุขตลอดเวลาทว่าใจใจ กลับรู้สึกหนักอึ้งและปวดใจ
แม้หลี่เฉินเย่นจะดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธาทว่าเขาก็ เพิ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ในเวลาไม่นานนักดังนั้นจึงมีบาง อย่างติดขัดอยู่บ้าง จึงกลับกลายเป็นว่าชูเซี่ยนางปรึกษา หารือกับใต้เท้าหยางเป็นส่วนมากโดยมีหลี่เฉินเย่นคอย เสนอความคิดเห็นบ้างในบางโอกาสแต่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว
ชูเซียไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องทางน้ำนัก ทว่าเมื่อยามที่ นางอยู่ในยุคเดิมนางชอบคลุกคลีอยู่กับหนังสือมากที่สุด เนื้อหาในหนังสือหลายเล่มที่นางอ่านมักจะมีความรู้และ แง่มุมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ความเข้าใจต่อการ จัดการน้ำและการก่อตั้งฝายชะลอน้ำจนถึงการสร้างเขื่อน นางก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การผสมผสานความรู้และ ความเข้าใจที่นางเคยเห็นในตำราหนังสือพวกนั้นยิ่งทำให้ นางสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ชูเชีย เสนอความคิดเห็นและวิธีที่น่าสนใจอยู่หลายจุด ซึ่งหลี่ เฉินเย่นก็สนใจและยินดีจะทำตามคำแนะนำของนางอย่าง ไม่เกี่ยงงอน
คำแนะนำเหล่านั้นจุดประกายให้แก่ใต้เท้าหยางอย่างยิ่ง เขาเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “เรียนท่านอ๋อง คืนนี้หม่อมฉันจะเร่ง เขียนฎีกาเสนอต่อฝ่าบาทในเช้าวันรุ่ง ให้ฝ่าบาทพิจารณา ต่อไปพะย่ะค่ะ”
หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ เจ้ากลับไปเขียนให้ เสร็จเช้าวันรุ่งขึ้นส่งมันมาให้ข้าดูเสียก่อน หากมีจุดใดไม่ ถูกต้องข้าจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง” ใต้เท้าหยางเดินออกไป ด้วยใจที่เปี่ยมสุข อ๋องเจิ้นหยวนที่นิ่งเงียบไม่แสดงความ คิดเห็นอยู่นานเมื่อสังเกตเห็นว่าน้องชายของตนบัดนี้อารมณ์ดีขึ้นมากกว่าวันวานมากนักก็รู้สึก ราวกับยกหินออกจากอกได้เสียที
ยามที่ชูเซียเดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนรับรองชายหนุ่มก็ แอบกระซิบถามนางเสียงเบา “ท่านหมอซึ่งกวนผู้นั้นมี ความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้าหรือ”
ชูเชียตื่นตะลึง “มีความสัมพันธ์เช่นไรต่อข้าหรือเจ้าคะ ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”
อ๋องเจิ้นหยวนประหลาดใจนัก “หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดเจ้าจึงลงทุนลงแรงช่วยเหลือเขาถึงเพียงนี้กัน”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนทั้งคนจะรู้จักกันหรือไม่สำคัญ หรือ” ซูเซี่ยเอ่ยยิ้มๆ “เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านทราบข้าทราบ ฝ่าบาทเองก็ทราบ ทุกคนต่างก็ล้วนทราบดี ขอแค่มีใครสัก คนกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อนเท่านั้น มิฉะนั้นหากเขาถูกเพชรฆาต ลงดาบไปแล้วล่ะก็นั่นเท่ากับว่าเราสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป หนึ่งชีวิตเลยนะเจ้าคะ”
ชีวิตคนในสายตาของชูเซี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ยามที่นางทำงานอยู่โรงพยาบาลมีหลายครั้งหลายครา ที่เหล่าแพทย์และพยาบาลต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจในการ ยื้อชีวิตของผู้ป่วยเพียงผู้เดียว ไม่ใช่เพียงแต่ยุดศตวรรษที่ ยี่สิบเอ็ดของนางทว่าทั้งใต้หล้านี้ยังไม่สิ่งใดสำคัญไปกว่า ชีวิตของคนอีกเล่า
อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกชื่นชมและนับถือหญิงสาวตรงหน้าจาก ใจจริง “รู้สึกหวาดระแวงสงสัยในตัวของหญิงหลง ข้ารู้สึก ละอายใจยิ่งนัก”
ชูเซี่ยแย้มยิ้มออกมา “ท่านอ๋องเจ้าคะ พวกเราเป็นคนก็ ต้องดำรงชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นคน ชีวิตทั้งชีวิตสัตว์ เดรัจฉานยังเห็นคุณค่าของมันเลยแล้วคนเช่นเราเราเล่าจะ ไม่เห็นค่าของชีวิตได้หรือ”
เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดิน กลับไป
หลี่เฉินเย่นยังคงอยู่ศึกษาแผนที่ภูมิศาสตร์อยู่ภายใน ห้องหลังจากได้รับฟังของเสนอแนะจากชูเซี่ย การถ่ายเท น้ำมากมายจากฝั่งทางตอนใต้เข้าสู่ทางตอนเหนือไม่ใช่ เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แม้จะเป็นโครงการที่ ต้องใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์มากเพียงใดแต่หากลงมือ ทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็จะสามารถแก้ไขปัญหาในอนาคตได้อย่างแน่นอน
ชูเซี่ยเองก็ไม่ได้รบกวนเขาแต่อย่างใดนางเพียงยกตำรา การฝังเข็มทองของนางออกมาอ่านบ้างเพียงเท่านั้น
มีผู้มาแจ้งข่าวจางตำหนักชูหยางว่าในระยะนี้อาการของ องค์ชายน้อยดีขึ้นมากแล้ว หลังจากที่ทำตามคำแนะนำ ของนางว่าให้ ตากแดดทุกวัน ทั้งยังดื่มเทียบยาที่จัดให้ ทำให้ยามนี้อาการตัวเหลืองลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านไปอีกสองวันกลับมีผู้มาแจ้งข่าว อีกครั้งว่าอาการขององค์ชายน้อยกลับมาอาเจียนนมและ ร้องไห้เสียงดังอีกครั้ง แต่ยามนี้กลับมีอาการไข้ขึ้นเพิ่ม มา ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดทำให้เกิดอาการชักตามมาอีกด้วย ชูเซี่ยไปดูอาการด้วยตนเองก็ไม่กล้าใช้วิธีฝังเข็ม ไม่กล้า จะผ่าตัดให้องค์ชายน้อย นางรู้สึกอับจนปัญญาขึ้นมาแล้ว จริงๆ
พระชายาเจิ้นหยวนก็ทราบถึงอาการของอานเหยียนแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจอย่างแสนสาหัสเอาแต่ร่ำไห้อยู่ข้างเตียง ของอานเหยียนไม่ยอมขยับกายไปที่ใดทั้งสิ้น
พระชายาเจิ้นหยวนขอร้องชูเซียนางนำความหวังทั้งหมด โยนไปให้ชูเซี่ยแบกไว้ ยามนี้ชูเซี่ยไม่ได้ว่วามดั่งเช่นครั้ง ก่อน ครั้งก่อนนั้นนางทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ยาสลบก็ไม่มี อุปกรณ์ผ่าตัดที่ผ่านการฆ่าเชื้อนางก็ไม่มีสิ่ง ที่สมควรมีล้วนไม่มีนางยังดื้อรั้นผ่าตัดทำคลอดให้แก่พระ ชายาเจิ้นหยวน หากว่าครั้งนั้นแผลเกิดการติดเชื้อขึ้นมา พระชายาคงไม่รอดมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เป็นแน่
ครั้งนั้นนางร้อยู่แก่ใจว่ายากแต่ด้วยความที่นางทระนงตน รวมถึงการผ่าตัดคลอดเป็นเรื่องพื้นฐานการผ่าตัดที่หมอ ทุกคนต้องเคยเรียนรู้มาก่อนอยู่แล้วแม้ว่าจะมีอุปสรรคด้าน ความล้าหลังทางการแพทย์กั้นไว้อยู่แต่นางก็สามารถทำ มันได้อย่างไม่มีปัญหาใดตามมา แต่ทว่าสถานการณ์ของ อานเหยียนนั้นไม่เหมือนกัน ข้อแรกนางมั่นใจนักว่าอะไร เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อานเหยียนเป็นโรคตัวเหลือง ข้อสองฝีมือการฝังเข็มของนางไม่ได้ดีเลิศอะไร หรือกล่าว ให้ถูกคือนางไม่ได้มีพื้นฐานการฝังเข็มมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
นางไม่ได้มั่นใจอะไรเลย ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำมั่น สัญญาแก่ตัวพระชายาเจิ้นหยวนเสียด้วยซ้ำ
จูเก๋อหมิงก็มาดูอาการขององค์ชายน้อยครั้งหนึ่ง จูเก๋อหมิงเป็นถึงหมอเทวดา เขาเอ่ยเพียงแค่คำเดียวก็ทำลาย ความหวังทั้งหมดของพระชายาและอ๋องเจิ้นหยวนไปจน หมดสิ้น “เป็นโรคตัวเหลืองแต่กำเนิดไม่อาจรักษาได้”
หยงเฟยโศกเศร้ามากเกินไปจึงขาดความยั้งคิดนางโทษ ความผิดทั้งบนไปที่ตัวชูเซี่ยกล่าวว่าหลายวันมานี้ชูเซี่ย เอาแต่ดูแลเอาใจใส่หลี่เฉินเย่นไม่ยอมมาดูแลอาการของ อานเหยียนแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวว่าเมื่อวันก่อนนางยัง กล่าวต่อหน้าองค์ไทเฮาว่ามีวิธีรักษาทำให้ทุกคนเกิดความ หวังลมๆแล้งๆ นางกล่าวคำผรุสวาทชูเซี่ยต่อหน้าฮองเฮา ร้อนถึงพระองค์ต้องเร่งตามหมอหลวงมาอีกครั้ง ท้ายที่สุด เรื่องก็ถึงหูฮ่องเต้ ฝ่าบาทกล่าวตำหนิหยงเฟยลงมานางจึง ยอมหยุดในที่สุด
หลี่เฉินเย่นได้ยินเรื่องราวที่หยงเฟยด่าชูเซี่ยเสียๆหายๆ จากเสี่ยวจี้ก็รู้สึกโมโหอย่างยิ่ง เขาต้องการจะไปกล่าวตำ หนิหยงเฟยแต่ถูกฮองเฮาหยุดไว้ พระองค์ย้ำเตือนให้หลี่ เฉินเย่นนึกถึงว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะทำให้ผิดในกับอ๋อง เจิ้นหยวนและทำลายความสัมพันธ์พี่น้องของเขาได้ อีกทั้ง หยงเฟยเป็นพระสนมในองค์ฮ่องเต้ หากเขาอยู่ต่อหน้าห ยงเฟยยังสมควรเรียกนางว่าแม่เสียด้วยซ้ำหากว่าวันนี้เพื่อ ชูเซี่ยแล้วเขากลับตั้งตนเป็นศัตรูต่อหยงเฟยแล้วล่ะก็แม้ว่า ฮ่องเต้ไม่กล่าวตำหนิอะไรแต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้สึกลำบากใจ
หลี่เฉินเย่นรับฟังในสิ่งที่ฮองเฮาเอ่ยมาก็รู้สึกอึดอัดใจ และเห็นใจในตัวชูเซี่ยยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อยามที่ชูเซี่ยมา เยี่ยมเยียนเขา เขาก็มักจะพานางไปชมนกชมไม้ พูดคุย เรื่องราวที่พวกเขาเคยเผชิญยามอยู่บนเขาเทียนหลางให้ นางได้รับรู้ว่าขนาดอันตรายมากมายบนเขาเทียนหลางนาง ยังรอดมาได้ประสาอะไรกับการแค่ถูกคนด่าเพียงไม่กี่คำ
ชูเซียรับรู้ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึงนาง แท้จริงแล้ว นางไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อถ้อยคำผรุสวาทของหยงเฟยแม้แต่ น้อย นางถูกด่าจนชินเสียแล้ว การเป็นหมอมักจะถูกญาติ ของผู้ป่วยด่าจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วเมื่อ ยามที่ผู้ป่วยเสียชีวิต นางจึงไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมา คิดมากมากแต่น้อย
ที่นางคิดมากคือการที่นางต้องทนดูอานเหยียนจากไป โดยไม่สามารถทำสิ่งใดได้ต่างหาก
ข้อเสียของการแพทย์แบบตะวันตกคือกว่าจะวินิจฉัยโรค ต่างๆได้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเข้าช่วย หากเพิ่งพาความ สามารถจริงๆโดยไม่มีเครื่องมือมาช่วยย่อมไม่สามารถ ทำได้โดยง่าย ยามที่นางทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลนอกจากรักษาอาการบาดเจ็บและไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆแล้วก็ล้วนต้องดูภาพถ่ายเอกซเรย์และผลตรวจเลือด จึงจะบอกโรคได้ บางครานางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่หมอแต่ เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านข้อมูลเท่านั้น
เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงค่ำในวันนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอก หนาทึบพระอาทิตย์ยามอัสดงถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาหม่น
เมื่อเข้าสู่ยามโหย่วฝนก็เริ่มตกลงมาประปรายหลังจาก ผ่านช่วงมื้อค่ำไปฝนก็ยิ่งตกลงมาห่าใหญ่และทวีความ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามปกติสารทฤดูมักจะมีฟ้าร้องน้อย มากจนแทบไม่มีทว่าในค่ำคืนนี้กลับมีทั้งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ฝนตกหนักราวกับอยู่ในช่วงฤดูร้อนเลยทีเดียว
ในตำหนักชูหยาง ความเศร้าโศกเสียใจกำลังปกคลุมไป ทั่วพื้นที่
องค์ชายอานเหยียนสลบไสลไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อวาน ไข้ ขั้นสูงไม่ยอมลดเหล่าหมอหลวงต่างพากันอับจนหนทาง ไม่มีปัญญาช่วยเหลือได้แต่มองดูว่าชะตาชีวิตองค์ชายอาน เหยียนว่าจะอยู่จะตายก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของตัวองค์ชายเองเท่านั้น
อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาเศร้าระทมอย่างยิ่งในอ้อม กอดของพวกเขาตระกองกอดอานเหยียนไว้แน่น หลัง จากที่ได้ยินว่าอานเหยียนสลบไสลไม่ได้สติไปนางก็ไม่ สนใจสุขภาพร่างกายของนางแม้แต่น้อย นางวิ่งออกไป ในอุทยานท่ามกลางสายฝนและต้นไม้ใบหญ้าที่กระโชก แรงร่ำไห้อธิษฐานในสายฝนขอให้สวรรค์โปรดเมตตาต่อ นาง เมื่อไม่อาจห้ามนางได้อ๋องเจิ้นหยวนก็ทำได้เพียงรวบ นางไว้ในอ้อมกอดใช้ร่างกายของตนกำบังลมและฝนให้ นางเท่านั้น สองสามีภรรยาโอบกอดกันอย่างสิ้นไร้หนทาง เป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้พบเห็นพาให้พวกเขา ร่ำไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
หลังจากหยงเฟยสงบสติอารมณ์ลงได้ก็สั่งให้นางกำนัล และข้าหลวงทั้งหลายถอยกายออกไปเหลือเพียงนางคอย อยู่ดูแลข้างกายองค์ชายน้อยเพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้ไท เฮาและฮองเฮามาเยี่ยมเยียนอาการของอานเหยียนแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อทั้งสองทราบว่าอานเหยียนหมดหนทางรักษา แล้ว ไทเฮาก็ทุกข์ระทมอย่างหนักจนหัวใจกำเริบถูกส่ง ส่งตัวกลับตำหนักโซ่วอานทันที ฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่ ปลอบใจพระมารดากลัวว่าพระองค์จะเป็นอะไรไปด้วยอีก คนหนึ่ง
หลงเฟยและหมอหลวงหลานเดินกลับออกมาจากตำหนัก ชูหยางสีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึม ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหาก องค์ชายอานเหยียนตายไปจริงๆก็ถึงเวลาตายของพวกเขา หากไม่ต้องโทษจำคุกก็คงต้องโทษประหาร นี่เป็นเรื่องจริง แท้ของเหล่าราชนิกุล ในวังหลวงราชนิกุลทุกคนล้วนมีชีวิต ที่สูงค่ากว่าคนทั่วไป ไม่ว่าผู้ใดสิ้นวาสนาก็สามารถสังหาร ผู้ใดก็ได้ตามไปด้วย หากครั้งนี้พระราชนัดดาเกิดมีอันเป็น ไปไปจริงๆฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาจะรับสั่งประหารพวกเขาก็ไม่ แน่
หลังจากที่ทั้งสองเห็นอาการของพระราชนัดดาในคืนนี้ แล้วก็กล่าวคำลาต่อครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ราวกับยอม จำนนต่อชีวิตของตนต่อจากนี้แล้ว
“น้องหลง…” หมอหลวงหลานรู้สึกจิตใจไม่สงบ ดวงตา ของเขามีประกายอยากมีชีวิตฉายชัดในดวงตา เขา กระหายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หมอหลวงหลานเอ่ยเรียกหลง เฟยครั้งหนึ่งก่อนจะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก
หลงเฟยรับรู้ถึงความกลัวที่ฉายชัดอยู่แววตาของหมอ หลวงหลาน แล้วเขาไม่กลัวหรือไร ในใจของเขารู้สึก สับสนวุ่นวายก่อนถอนหายใจออกมา “ข้าไม่น่าหลงไว้ใจ พระชายาหนิงอานเลย!”
หลงเฟยและหมอหลวงหลานเดินกลับออกมาจากตำหนัก ชูหยางสีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึม ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหาก องค์ชายอานเหยียนตายไปจริงๆก็ถึงเวลาตายของพวกเขา หากไม่ต้องโทษจำคุกก็คงต้องโทษประหาร นี่เป็นเรื่องจริง แท้ของเหล่าราชนิกุล ในวังหลวงราชนิกุลทุกคนล้วนมีชีวิต ที่สูงค่ากว่าคนทั่วไป ไม่ว่าผู้ใดสิ้นวาสนาก็สามารถสังหาร ผู้ใดก็ได้ตามไปด้วย หากครั้งนี้พระราชนัดดาเกิดมีอันเป็น ไปไปจริงๆฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาจะรับสั่งประหารพวกเขาก็ไม่ แน่
หลังจากที่ทั้งสองเห็นอาการของพระราชนัดดาในคืนนี้ แล้วก็กล่าวคำลาต่อครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ราวกับยอม จำนนต่อชีวิตของตนต่อจากนี้แล้ว
“น้องหลง…” หมอหลวงหลานรู้สึกจิตใจไม่สงบ ดวงตา ของเขามีประกายอยากมีชีวิตฉายชัดในดวงตา เขา กระหายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หมอหลวงหลานเอ่ยเรียกหลง เฟยครั้งหนึ่งก่อนจะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก
หลงเฟยรับรู้ถึงความกลัวที่ฉายชัดอยู่แววตาของหมอ หลวงหลาน แล้วเขาไม่กลัวหรือไร ในใจของเขารู้สึก สับสนวุ่นวายก่อนถอนหายใจออกมา “ข้าไม่น่าหลงไว้ใจ พระชายาหนิงอานเลย!”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ