ตอนที่ 39 คิดอุบายวางแผน
ตอนที่ 39 คิดอุบายวางแผน
เหล่าขุนนางอำมาตย์ค่อยๆทยอยออกมาจากห้องจน เหลือเพียงอ๋องเจิ้นหยวนและชูเซี่ยที่ยังยืนอยู่หน้าห้อง พระอักษร
ชูเซี่ยรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง นางไม่ค่อยรู้เรื่อง ขนบธรรมเนียมภายในวังนักนางรู้เพียงแน่ชัดเพียงเรื่อง เดียวเท่านั้นคือฮ่องเต้เมื่อตรัสออกไปแล้วย่อมไม่คืนคำ กษัตริย์เมื่อเอ่ยคำได้ออกไปแล้วถ้อยคำนั้นก็ยากจะ เปลี่ยนแปลง แต่จะให้นางยืนมองผู้บริสุทธิ์ตายไปต่อหน้า ต่อตาได้อย่างไรกัน นางทำไมลง
ห้องอักษรกว้างใหญ่นัก ภาพตรงหน้านางคือสถานที่ที่ ฮ่องเต้ใช้อักษรตรวจฎีกาต่างๆหรือปรึกษาหารือกับเหล่า ขุนนางอย่างเป็นการส่วนตัว มีฉากหลังที่ปักเย็บลวดลาย มังกรบนผ้าไหมเนื้อดีสีทองอย่างปราณีตงดงาม เก้าอี้บัล ลังค์มังกรที่ถูกเคลือบไว้ด้วยสีทองมันวาว ซ้ายขวาถูก ขนาบไปด้วยเก้าอี้หรูหราที่คลุมด้วยผ้าไหมสีทองเย็บปัก ลวดลายด้วยด้ายสีฟ้าเข้ม สองสีที่ถูกจับคู่กันทำให้เกิด ความโดดเด่นคงเป็นที่นั่งของเหล่าขุนนางอำมาตย์ที่มา ประชุมหารือเมื่อสักครู่กระมัง ชูเซี่ยมองดูภาพรวมตรงหน้า แล้วช่างเป็นห้องงานที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์เหลือเกิน
ฮ่องเต้ประทับอยู่บัลลังค์มังกรเบื้องบนมองลงมายังผู้มา ใหม่ทั้งสองที่ยืนซื้อใบไม่ยอมโค้งคำนับแก่พระองค์เสียที จึงยิ่งกริ้วขึ้นไปอีก “พวกเจ้าทำเรื่องเหลวไหลอันใดกัน อยู่ หยิงหลงไม่รู้ขนบธรรมเนียมในวังข้ายังเข้าใจ แต่แม้ กระทั่งเจ้าก็ไม่รู้จักหรือถึงได้ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้”
อ๋องเจิ้นหยวนรีบโค้งกายคำนับในทันที “ท่านพ่อ รับฟัง คำของลูกด้วยเถิด!”
ฮ่องเต้กริ้วหนักจนไม่อยากฟังคำพูดเหลวไหลของทั้ง สองเลยแม้แต่น้อย “หากเจ้าจะมาขอร้องให้ปล่อยตัวก็ กลับไปเสียเถิด ยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งเรื่องภัยพิบัติ น้ำท่วมและภัยแล้งไม่อาจล่าช้าได้ เจ้าไม่นึกจะช่วยแบ่ง เบาภาระให้พ่อยังจะหาปัญหาเล็กน้อยมากวนใจเพิ่มอีก หรือไร ช่างเหลวไหลเสียจริง!”
อ๋องเจิ้นหยวนที่ตระเตรียมคำพูดมาเสียมากมายกลับถูก ท่านพ่อของตนเอ่ยปากดุจนบื้อใบ้ไปเสียแล้ว ยามนี้พูดยัง ไม่กล้าพูด เอ่ยยังไม่กล้าเอ่ จึงไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา จากปากเข้าสักคำ
ทว่าเขาก็ได้รับปากชูเซียไว้แล้ว แม้จะไม่รับรู้มาก่อนว่า นางมีความสัมพันธ์เช่นใดกับท่านหมอซั่งกวน แต่หากไม่ เกี่ยวข้องอันใดกันนางก็คงไม่เอื้อมมือลงมาช่วยถึงเพียง นี้หรอกกระมัง เนื่องด้วยชูเซี่ยก็เป็นผู้มีพระคุณของภรรยา หากเขาไม่อาจช่วยนางได้เขาก็คงรู้สึกละอายใจ แต่ยา มนี้สเด็จพ่อกลับทำให้เขารู้สึกจนปัญญายิ่งนัก
เขาสงบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยทูลอีกครั้ง “ท่านพ่อสั่งสอน ลูกได้ถูกต้อง แต่ลูกเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาท่าน หมอซังกวนทำความดีความชอบไม่น้อย ยามนี้เพียงแค่ผิด พลาดเล็กน้อยคงไม่ถึง…
ฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้เขากล่าวจนจบก็ตรัสขึ้น “เจ้าไม่จำเป็น ต้องเอ่ยอะไรอีก เขาควรตายหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”
ชูเซี่ยได้ยินขับกล่าวนั้นหัวใจก็วูบโหวง นึกแล้วไม่ผิดว่า ฮ่องเต้ก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่าท่านหมอซังกวนไม่มีความผิด แม้แต่น้อย ทว่าเมื่อพระองค์รับสั่งออกไปแล้วย่อมไม่อาจ คืนคำของตนเองได้ หากพูดอย่างถูกต้องแล้วก็คงเป็น เพราะฮ่องเต้หงุดหงิดแล้วไม่อาจหาที่ระบายอารมณ์ได้จึง สั่งประหารคนเล่นกระมัง
ชูเซียนางรู้ดีว่าไม่ควรท้าทายอำนาจของกษัตริย์ ฮ่องเต บางครั้งก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลคนหนึ่งได้เช่นกัน หาก น่างดื้อดึงจะท้าทายอำนาจพระองค์ก็คงมีแต่จะทำให้ท่าน หมอซังกวนตายเร็วขึ้นทั้งยังอาจลากครอบครัวเขามาถูก ประหารเก้าชั่วโคตรอีกด้วย
หากนางไม่สามารถท้าทายอำนาจพระองค์ได้ เช่นนั้น เหลือเพียงทางเดียวคือแก้ปัญหาให้พระองค์แทน
นางนึกถึงคำพูดของจงเจิ้งเมื่อสักครู่ก่อนจะครุ่นคิดถึงวิธี การบางอย่างในหัว จากนั้นนางก็ย่อกายคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านพ่อเพคะ หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อขอพระราชทานอภัย ท่านหมอซึ่งกวนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีความรู้สึกว่า เขา กระทำผิดครั้งนี้หากประหารชีวิตเขาไปย่อมไม่เกิดผลดี อะไร พระราชนัดดาของพระองค์ก็ไม่อาจหายได้ ทุกอย่าง ที่ทำไปล้วนไม่มีค่าใดๆ เหตุใดท่านพ่อจึงไม่ให้เขาทำดีไถ่ โทษโดยการส่งเขาไปควบคุมดูแลรักษาเมืองที่เกิดโรค ระบาดเล่าเพคะ ข้อแรก ด้วยวิชาการแพทย์ของท่านหมอ ย่อมสามารถช่วยเหลือผู้คนได้จริงๆ ข้อสอง การที่พระองค์ ส่งหมอหลวงไปดูแลรักษาประชาชนจะยิ่งทำให้พวกเขา รับรู้ได้ถึงความห่วงใยและความรักที่พระองค์มีให้พวกเขา อย่างแท้จริงอีกด้วยเพคะ”
สีพระพักต์ของฝ่าบาทอ่อนลง ก่อนจะตร์ส่ออกมา “หยง หลง นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง เจ้าเป็นเพียงสตรีในห้องหอ ย่อมไม่อาจเข้าใจได้ ทว่าเจ้ากลับพูดออกมาได้อย่างสม เหตุสมผลนัก ทว่าซั่งกวนเป็นหมอรักษาเด็กอาจจะไม่มี ประโยชน์อันใดก็ได้
ชูเซียรู้สึกโล่งใจยิ่งนักเมื่อฝ่าบาทรับฟังในสิ่งที่นางกล่าว ออกไป จึงกล้าทูลออกไปมากขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ ท่าน สามารถใช้นามของท่านหมอซึ้งกวนในการรวมกลุ่มกับ เหล่าหมอชาวบ้านทั่วไปได้ ยามนี้ชาวบ้านในดินแดนที่ ประสบภัยพิบัติมีมากมายนักและในยามนี้พวกเขาต้องทน ทุกข์ทรมานจากโรคระบาดและความสิ้นหวัง หากฝ่าบาท ถ่ายทอดราชโองการออกไปว่ามีพระเมตตาพระชาทาน หมอหลวงมาช่วยบรรเทาสาธารณภัย รักษาโรคระบาด รวมถึงพระองค์ยังสามารถแบ่งปันอาหารจากกองคลัง ให้แก่ชาวบ้านเพื่อบรรเทาความหิวโหย นั่นจะไม่ใช่เป็น กายช่วยเหลือกายเท่านั้นแต่เป็นการช่วยเหลือจิตใจของ ชาวบ้านอีกด้วย ยามที่ผู้คนอ่อนแอท้อแท้สิ้นหวังที่สุดแต่ ฮ่องเต้กลับไม่ละทิ้งพวกเขานั่นจะยิ่งทำให้พวกเขารักใคร่ และเทิดทูนในตัวฝ่าบาทมากขึ้น รวมถึงชื่อเสียงความดี งามของพระองค์ที่จะแพร่กระจายออกไปจนถึงดินแดนอีก หลายๆดินแดงด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ยืนขึ้นก่อน ตรัส “ดีมาก หยิงหลง นึกไม่ถึงเลยว่าสตรีในห้องหอเช่น เจ้าจะมีความคิดอ่านที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ท่านอุปราชเลี้ยงบุตร สาวของตนได้ดียิ่งนัก”
ชูเซี่ยรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกก่อนจะเริ่มหัวเราะ ออกมาเล็กน้อย “ท่านพ่อเยินยอหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่รู้สึกว่าการสังหารคนเป็นเรื่องง่าย ทว่าหากเราสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่ง กว่าการฆ่าตายเสียเปล่าๆ หม่อมฉันเพียงแต่ทำเพื่อฝ่าบาท อีกอย่างหนึ่งท่านหมอซั่งกวนเป็นนักโทษที่รอวันประหาร หากทราบว่าฝ่าบาทมีพระเมตตาต่อเขายอมมอบโอกาสให้ เขาจะต้องรู้สึกปลาบปลื้มในพระคุณของพระองค์ และยอม ทำตามรับสั่งของฝ่าบาทช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ อย่างเต็มที่ เช่นนี้แล้วย่อมดีกว่าการฆ่าสังหาร ทั้งยังมี ประโยชน์ต่อพระองค์ด้วยเช่นกันเพคะ”
“อ้อ ความคิดความอ่านของหยิงหลงช่างล้ำเลิศ ข้าไม่พูด คงไม่ได้ ห้ามเจ้าถ่อมตนเป็นอันขาด!” ฮ่องเต้ดีพระทัยยิ่ง นัก พระหัตถ์ของพระองค์เคาะลงบนโต๊ะอักษรเป็นจังหวะ เบาๆ ก่อนตรัสเรียกขันทีคนสนิท “จงเจิ้งอยู่หรือไม่”
จงเจิ้งรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องทันที “กระหม่อมอยู่นี่พะยะ ค่ะ!”
“ถ่ายทอดรับสั่งของข้า ละเว้นโทษตายซังกวนลี่ สั่งให้ เขาทำดีไถ่โทษตนเองโดยการเดินทางไปรักษาโรคระบาด ช่วยเหลือประชาชนให้รอดพันจากทุกข์ภัยในครั้งนี้ไปให้ ได้
จงเจิ้งเหลือบมองอ๋องเจิ้นหยวนก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ เท้าทั้งสองก้าวถอยหลังก่อนจะยืนฝนหมึกอยู่ข้างๆโต๊ะตัว หนึ่ง
เมื่อมีการถ่ายทอดคำสั่งใหม่ชูเชี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนก็ตั้ง ท่าจะทูลลาทว่าฝ่าบาทกับหยุดนางไว้ก่อน “หยิงหลง มา ข้างกายของข้า!”
หยิงหลงตกใจจนแทบสิ้นสติ ท่านอ๋องก็เช่นกันจน กระทั่งเขาพยักหน้าให้นาง นางจึงรวบรวมความกล้าเดิน ไปข้างๆองค์ฮ่องเต้
ฮ่องเต้หยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมาจากฎีกากองเท่าภูเขา ข้างกาย ก่อนจะยื่นให้ นาง “ลองอ่านนี่ดู และบอกกับข้าว่า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
ชูเซียตื่นตระหนกอย่างมาก เท่าที่นางทราบมาไม่มีสตรี คนในในวังได้รับอนุญาตให้ก้าวก่ายเรื่องงานของบุรุษได้ หากนางทำเช่นนี้ภายนอกอาจมีเรื่องครหาได้กระมัง
นางถอยออกมาก้าวหนึ่ง สายศีรษะ “หม่อมฉันไม่บังอาจ เพดะ”
ยามนี้พระทัยของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว ไม่ถือสาหาความ ท่าทีไร้มารยาทของนาง “ข้าให้เจ้าอ่านเจ้าก็อ่าน ไม่มี ปัญหาอะไรหรอก”
ซูเซียรับฎีกามาไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนจะเริ่มเปิดอ่าน นางใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปิดมันลง
เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่านางปิดฎีกาลงแล้วก็นึกว่านาง อ่านไม่เข้าใจจึงรู้สึกผิดหวัง “อ้อ ข้าลืมไปว่าในนั้นอาจมี คำบางคำที่ยากเกินไปสำหรับเจ้า เจ้าเป็นเพียงสตรีในห้อง หอจะอ่านออกได้อย่างไร จงเจิ้งเจ้ามาอ่านให้พระชายาฟัง เสียหน่อย”
ซูเซี่ยยิ้มตอบพระองค์ “ท่านพ่อ ไม่จำเป็นหรอกเพคะ หม่อมฉันอ่านออกและอ่านจนจบแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองนางอย่างพิจารณา “อ่านจบแล้ว หรือ ฎีกาเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนเชียวนา เจ้าอ่านจนจบ แล้วแน่หรือ”
ชูเชียพยักหน้าขึ้นลง “อ่านจบหมดแล้วเพคะ ส่วนแรก เกี่ยวกับการระบายทางน้ำที่มีการอุดตันไม่สามารถระบาย ได้กอปรกับช่วงนี้เป็นฤดูฝนทำให้แม่น้ำหลงเจียนไม่ สามารถรองรับน้ำเหล่านี้ไว้ได้ทั้งหมดท้ายที่สุดก็เกิดภัยน้ำ ท่วม ส่วนที่สอง มีหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อภัยพิบัติ น้ำท่วมนี้ทำให้สามมณฑล บ้านเรือนกว่าสามหมื่นเจ็ดพัน ห้าร้อยครัวเรือนเสียหาย รวมถึงประชาชนเกือบเจ็ดล้านคน ต้องเสียชีวิต ส่วนที่สามเป็นการกล่าวถึงโรคระบาดที่เกิด ขึ้นแต่ในฎีกาไม่ได้ระบุมาชัดเจนนักมาเกิดจากอะไร โรค เป็นอย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองนางนิ่งๆ ไม่ได้ตรัสอันใดออกมา อยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดพระองค์ก็เรียกบุตรชายของตน “ยุนกาง เจ้ามาอ่านดูสิ”
ท่านอ๋องรับบัญชาสาวเท้าเข้ามาใกล้
ให้อ่านฎีกาเล่มเดียวกัน ทว่าอ๋องเจิ้นหยวนกลับใช้เวลา อ่านถึงครึ่งชั่วยามจึงจะอ่านจบฮ่องเต้ตรัสถาม “ผู้ประสบภัยพิบัติตายกี่คน”
อ๋องเจิ้นหยวนเงียบไปก่อนจะรีบเปิดฎีกาเพื่ออ่านอีกครั้ง
ฮ่องเต้ก็ตรัสถามขึ้นอีก “ภัยพิบัติทำลายไปกี่ครัวเรือน”
ข้อมูลเดิมเจิ้นหยวนหวังยังหาไม่เจอเมื่อเจอคำถามใหม่ก็ ยิ่งเร่งเปิดหาเร็วขึ้นไปอีก
ท้ายที่สุดเมื่อพบคำตอบเขาก็ตอบออกมาเสียงเบาราวกับ
ยุง
ฮ่องเต้ส่ายศีรษะ “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
ตรัสออกมาลอยๆไร้หัวไร้ท้าย อ๋องเจิ้นหยวนไม่ทราบว่า พระองค์คิดเห็นเช่นไรจึงได้แต่คุกเข่าขอภัยโทษไว้ก่อน “ลูกผิดไปแล้วพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยสีพระพักต์ที่จริงจัง “เจ้าทำสิ่งใดผิด
เล่า”
อ๋องเจิ้นหยวนมีสีหน้าลำบากใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ย เล็กน้อยก็เอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “ลูก…ลูก..แต่จนแล้วจนเล่า เขาก็ไม่สามารถตอบได้
ฮ่องเต้จึงตรัสถามชูเซีย “เจ้าว่าเขาทำสิ่งใดผิด”
ชูเซี่ยไม่เห็นว่าเขาจะทำสิ่งใดผิด นางจึงส่ายศีรษะ น้อยๆ “หม่อมฉันไม่เห็นว่าท่านอ๋องจะทำสิ่งใดผิดเพคะ ความจำของหม่อมฉันดีเช่นนี้ตั้งแต่วัยเด็ก ทุกคนต่างก็ มีความสามารถพิเศษของตนเอง ดังที่หลี่ไป๋ได้กล่าวไว้ “ฟ้าให้กำเนิดความสามารถของข้าพเจ้ามา จึงมีประโยชน์ แน่นอน ท่านอ๋องเป็นชายชาตรีที่เชี่ยวชาญเรื่องรบทัพ จับศึก สามารถวางแผนการสู้รบ ชื่อเสียงระบือไกลทำให้ หม่อมฉันรู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง ดังเช่นฝ่าบาทก็เหนือผู้คน ในแผ่นดินเป็นที่รักของเหล่าประชา อยู่เหนือผู้คนแต่ ก็มีจิตใจรักใคร่ห่วงใยประชาชนของตนเอง พระปรีชา สามารถ เมื่อประชาชนเดือดร้อนพระองค์ก็ไม่เคยนิ่งนอน พระทัย พยายามหาทุกทางเพื่อรักษาบรรเทาทุกข์ให้แก่ ประชาชนของตนเอง พระเมตตากรุณาเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึก เทิดทูนในตัวฝ่าบาทยิ่งนักเพคะ แท้จริงแล้วหม่อมฉันก็ไม่ ได้เก่งกาจอันใดหรอกเพคะ เพียงแค่หม่อมฉันค้นพบใน ความสามารถของตนเองเพียงเท่านั้น เป็นตัวของตัวเองทำ ทุกอย่างให้ออกมาดีเพื่อที่ตนเองจะสามารถช่วยแบ่งเบา หน้าที่ของฮ่องเต้และฮองเฮา ยังมีท่านพ่อท่านแม่อีกด้วยเพคะ”
เมื่อชูเซี่ยกล่าวจบนางก็รู้สึกถึงความร้อนที่เริ่มเห่อบน ใบหน้า นางรู้สึกว่าที่ตนเองพูดเหตุผลออกไปเสียยาวกลับ ฟังดูคล้ายประจบสอพลออย่างไรชอบกล ทว่าคำพูดเช่นนี้ ก็ดูจะเหมาะสมแล้วในสถานการณ์ที่นางต้องพูดคุยกับผู้มี อำนาจเหนือคนทั้งปวงเช่นนี้
ฝ่าบาทสรวลออกมาในที่สุด พินิจวิเคราะห์ชูเซี่ยอยู่นาน สองนาน “ดีมาก เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ” แล้ว พระองค์ก็เรียกให้บุตรชายของตนลุกขึ้น “ลุกขั้นมาเถิด จริงเช่นที่หยิงหลงกล่าวมา เจ้าไม่ได้ทำความปิดอันใด ตรงกันข้ามเจ้ากลับทำคุณให้แผ่นดินนี้ใหญ่หลวงนัก”
อ๋องเจิ้นหยวนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองชูเซี่ยด้วย สายตาขอบคุณ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรชูเซี่ยอีกครั้ง “เจ้าก็ได้อ่านฎีกาไป แล้ว มีความเห็นเช่นไรบ้างเล่า”
ชูเซี่ยไม่คิดจะเสแสร้งปกปิดความสามารถของตนเองอีก “ท่านพ่อ การบรรเทาทุกข์ภัยในครั้งนี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่อย่างไรเพคะเราเพียงแค่ต้องลงทุนลงแรงปฏิบัติต่อ ชาวบ้านดังเช่นครอบครัวของตนเอง เวลานี้ภัยพิบัติก็ได้ เกิดขึ้นมาแล้ว พวกเราควรจะหาวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น อีกครั้งจะดีเสียกว่า ท่านพ่อมีแผนที่หรือข้อมูลเกี่ยวกับดิน แดนที่ประสบภัยแล้งหรือไม่”
ฮ่องเต้ส่ายศีรษะ “กล่าวเช่นนี้ก็ดี หลายวันมานี้ก็มีการ ปรึกษาหารือวิธีป้องกันอยู่บ้าง ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจหา วิธีแก้ไขได้เสียที ทว่าเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ข้าก็พอจะหาวิธี ได้บ้างแล้วล่ะ หากต้องมามัวนับทองในมือของตนเองสู้ แบ่งจ่ายให้แก่ประชาชนของตนเองเสียดีกว่า นำเงินไป แจกจ่ายชาวบ้านช่วยเหลือพวกเขาย่อมดีกว่าเก็บไว้เฉยๆ ในท้องพระคลังโดยไม่รู้จักออกดอกออกผล” ส่งฎีกาเล่ม เล็กๆที่บันทึกข้อมูลดินแดงที่ประสบปัญหาภัยแล้งให้ชู เซี่ย และรับสั่งให้จงเจิ้งนำแผนที่มาให้นางอีกด้วย
ชูเซียศึกษาแผนที่อยู่นาน พื้นที่ที่เกิดภัยแล้งมีขนาดใหญ่ มาก รอบนอกมีแม่น้ำฮวงโหไหลผ่านบางทีหากมีการขุด ลอกแม่น้ำคูคลองอาจพอแก้ปัญหาภัยแล้งได้อยู่หลายปี เลยทีเดียว
ชูเซี่ยไตร่ตรองอยู่นานก็จะเงยหน้าขึ้น “ท่านพ่อเพคะหม่อมฉันอยากปรึกษากับขุนนางกรมโยธาเสียหน่อยได้ หรือไม่เพคะ”
ฝ่าบาทนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสออกมา “หัวหน้าขุนนาง กรมโยธาก็คือเฉินเย่น”
ชูเซี่ยก็นิ่งไปเช่นกัน เขาเป็นหัวหน้ากรมโยธาหรือ เหตุใด นางจึงไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงกันนะ ในความจำที่หลิวหยิง หลงหลงเหลือให้นางไม่มีข้อมูลนี้เลยแม้แต่น้อย หรือว่า แม้กระทั่งหลิวหยิงหลงก็ไม่ทราบเช่นนั้นหรือ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ