ตอนที่ 36 ราวกับก้างในคอ
ตอนที่ 36 ราวกับก้างในคอ
หลี่เฉินเย่นน้องนิ่งๆอยู่ภายในถ้ำ สภาพของเขายามนี้ คล้ายคนที่ที่ไร้ลมหายใจไปแล้วเสื้อผ้าที่เคยทำจากไหม ชั้นดีก็ขาดวิ่นมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด เมื่อเขาเห็นคนเดิน เข้ามาในคราแรกก็ตื่นตระหนก ทว่าเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือ อ๋องเจิ้นหยวน เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา “ข้าไม่เป็นไร!”
อ๋องเจิ้นหยวนเมื่อเห็นสภาพของน้องชายตนต่อให้เขาจะ เป็นคนด้านชาแค่ไหนก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตนเองไว้ได้ เขาขยับกายเข้ามาโอบกอดน้องชายไว้ในอก ไม่เป็นไร พี่ ชายอยู่ตรงนี้”
หลี่เฉินเย่นรู้สึกสงบใจลงได้ก็จะค่อยๆขยับปากเอ่ยถาม สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด “หยิงหลง และพี่สะใภ้…ปลอดภัย ดีหรือไม่”
อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกว่าลำคอของตนตีบตันไม่สามารถกลืน น้ำลายได้ “พี่สะใภ้ของเจ้าปลอดภัยดีส่วนหยิงหลงนาง
กำลังรักษาตัวอยู่ในวัง”
หลี่เฉินเย่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับว่ายกภูเขาออกจาก อก เขาแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ “เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ก่อน สองมือของเขาจะค่อยๆตกลงสู่พื้น เปลือกตาปิดลงช้าๆ
เจ้าหยวนอ๋องรู้สึกตกใจอย่างมากส่งเสียงคำรามออกมา “ห้ามหลับเด็ดขาด พี่จะพาเจ้ากลับเดี๋ยวนี้!” แต่หลี่เฉินเย่ นกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หลีหนิงซึ่งอยู่ข้างกายจึงถลา เข้ามาใกล้เอานิ้วมืออังใต้จมูกของเขาก่อนถอนหายใจ อย่างโล่งอก โชคยังดีนัก ยังมีลมหายใจ เราต้องรีบแข่ง กับเวลานำเข้ากลับวังรักษาตัวห้ามชักช้าเด็ดขาด!”
เมื่อกลับมายังวังหลวงก็ย่างเข้าเช้าวันที่สองเข้าไปเสีย แล้ว แสงประกายจากดวงอาทิตย์ยามเช้าที่เพิ่งจะขึ้นมา ทางทิศตะวันออกช่างเป็นภาพความงามที่งดงามจับตายาก ที่ผู้พบเห็นจะถอนสายตาออกได้
ทว่าในความงดงามเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าจู่ๆบนท้องฟ้า ก็มีอีกาฝูงหนึ่งบินวนไปมารอบๆเหนือวังหลวงทำให้ ทัศนียภาพที่เดิมสวยงามยามนี้กลับถูกความหนาวเย็นและ อ้างว้างเข้ามาแทนที่
แม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะสามารถรอดชีวิตมาได้ ทว่ากระดูกขาทั้งสองข้างของเขากลับแตกและไม่สามารถรู้สึกอะไร
ได้เลย
ทั้งร่างกายของชายหนุ่มมีบาดแผลจากการต่อสู้อยู่หลาย แห่งซึ่งเดิมเขาก็สกัดจุดห้ามเลือดไว้แล้ว ทว่าเนื่องจาก บาดแผลไม่ได้รับการดูแลและถูกทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเวลา นานทำให้ในยามนี้บาดแผลเกิดการอักเสบขึ้นมาอย่างห้าม ไม่ได้ รวมทั้งขาทั้งสองข้างของเขาที่แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึก อันใดแต่ก็มีอาการอักเสบอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
หลี่เฉินเย่นสลบไสลไปถึงสามวันสามคืนด้วยกันเมื่อฟื้น ขึ้นมาก็ได้รับข่าวจากหมอหลวงว่าขาทั้งสองข้างของตน จะไม่อาจใช้การได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบ อยู่นานไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรขึ้นมาอีกเลย สายตาคอมทอด มองยาวไปไกลราวกับว่าไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวอะไรอีก แล้วในยามนี้องค์ไทเฮา ฮองเฮาและหลิวมีเหอที่ยืนอยู่ ข้างเตียงเห็นภาพเช่นนี้เข้าต่างก็ร่ำไห้ขึ้นมาด้วยความโศก เศร้า จนในที่สุดเขาก็หันกลับมามองพวกนาง ไม่ต้องร้อง ไปหรอก อย่างไรเสียข้าก็สามารถรอดมาได้แล้ว”
ฮ่องเต้เองก็หนักพระทัยและรู้สึกเป็นห่วงในตัวบุตรชาย ของตนยิ่งนัก “เย่นเอ๋อ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้ได้ เจ้าจะต้องหายอย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยท่านพ่อ” หลี่เฉินเย่นค่อยๆปิดเปลือกตาล งอย่างช้าๆราวกับเป็นการตัดบทสนทนา “ลูกเหนื่อยแล้ว อยากพักสายตาสักหน่อย ทุกคนก็กลับออกไปพักผ่อน เถิด”
หลิวมีเหอที่ร้องไห้จนตาบวมเอ่ยขึ้น “ข้าจะอยู่ที่นี่เป็น เพื่อนท่านเองเจ้าค่ะ ท่านนอนไปเถิด!”
แต่หลี่เฉินเย่นกลับสายศีรษะช้าๆ “ไม่จำเป็น ออกไปให้ หมด”
ฮองเฮาทราบนิสัยบุตรชายของพระองค์ดีกว่าใคร วันนี้ เมื่อเขาต้องรับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิตก็คงยากจะทำใจ และอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆลำพังสักพัก แม้พระองค์จะ อยากอยู่เคียงค้างบุตรชายในเวลาเช่นนี้มากเพียงใดก็ตาม ทว่าพระองค์ก็จำเป็นต้องให้เวลากับเขาบ้าง “ออกไปให้ หมดเถิด ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เถิดนะ”
หลิวมีเหอมีหรือจะยอมจากไปโดยง่าย นางรอคอยมานาน นานจนกระทั่งเขาปลอดภัยกลับมาในที่สุด ยามนี้นาง ต้องอยู่ใกล้เขาคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดถึงจะถูกต้อง
หลี่เฉินเย่นมองดูผู้คนรอบๆห้องเมื่อไม่พบคนที่ตนอยาก พบก็เอ่ยเสียงเยาะเย้ยออกมา “ข้าช่วยชีวิตนางจนเกือบทั้ง ชีวิตของตนเอง แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่มาเยี่ยมข้าเลย สักครั้ง”
ฮองเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ว่านางที่เขาเอ่ยขึ้นมา คงหมายถึงชูเซี่ยกระมัง พระองค์ถอนปัสสาสะออกมา “ห ยิ่งหลงนางบาดเจ็บหมดสติไปยังไม่ฟื้น”
ใบหน้าหลี่เฉินเย่นถอดสี ชายหนุ่มพยายามขยับตัวลุก ขั้นนั่งก่อนฝ่ามือจะกุมบาดแผลไว้ด้วยความเจ็บ แม้จะเจ็บ เพียงใดชายหนุ่มก็กัดฟันถามขึ้น “หมดสติหรือ เพราะเหตุ ใดจึงหมดสติได้เล่า ไม่ใช่ว่าเสด็จพี่บอกว่านางปลอดภัยดี หรือ”
ฝ่าบาทตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ บุตรชายของพระองค์ได้รับรู้ หลี่เฉินเย่นเมื่อได้รับฟังก็ตก ตะลึง ดวงตาคมฉายแววสับสนแล้วคาดไม่ถึงในเรื่องราวที่ ตนเพิ่งจะได้ยิน
ท้ายที่สุดเมื่อเขาหาเสียงของตนจนพบ จึงค่อยๆเอ่ยถาม ขึ้น “ท่านพ่อหมายความว่า ที่เสด็จพี่พบตัวลูกเป็นเพราะ น่างงั้นหรือ”
ใช่แล้วล่ะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นช่างชุลมุนวุ่นวาย เสียจริงจู่ๆพระชายาของเจ้านางก็โวยวายบอกว่าเจ้าอยู่ ในถ้ำก่อนจะล้มลงหัวกระแทกหมดสติไป อาการสาหัสนัก แม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าอาการของนางในยามนี้แม้แต่ เทวดาก็ยากจะช่วย”
หลี่เฉินเย่นที่เอนกายนอนอยู่บนเตียงภายในใจก็หวน กลับไปคิดถึงยามที่เขาบาดเจ็บสาหัสรอเผชิญกับความ ตายภายในถ้ำ ยามนั้นขาทั้งสองของเขาหักจนไม่อาจขยับ ตัวได้อีกทั้งบาดแผลตามร่างกายก็มาก เขาคิดว่าคงไม่อาจ มีชีวิตรอดออกไปจากที่แห่งนั้นได้อีกแล้ว ก่อนตายเขา คิดถึงนางเป็นคนแรกจึงเผลอหลุดเรียกชื่อนางออกมาคำ หนึ่ง เพียงคำเดียวท่านนั้น หรือว่าแท้จริงแล้วเขาและนาง ใจสื่อถึงใจได้หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาใจตรงกันกัน
แน่
“ลูกอยากไปพบนางพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นทูลขอองค์
ฮ่องเต้
“ไม่ได้ ตอนนี้ร่างกายเจ้าไม่อาจขยับกายได้ส่งเดช รอให้หยิงหลงฟื้นขึ้นมาข้าจะให้นางมาพบเจ้าเองดีหรือไม่”
ไทเฮาไกล่เกลี่ย
หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ ไม่ได้พะย่ะค่ะ หลานมีของสำคัญ มากอยู่ที่นางจำเป็นต้องเอากลับคืนมา”
“ท่านอ๋องต้องการอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันจะเป็นผู้นำ กลับคืนมาให้ท่านเอง ท่านอ๋องก็พักผ่อนอยู่ที่นี่เถิดเพคะ!” หลิวมีเหอสบโอกาสนี้ขันอาสา
ใบหน้าซีดขาวของหลี่เฉินเย่นหันไปขอความเห็นใจต่อฝ่า บาทหวังว่าท่านพ่ออนุญาติ “ท่านพ่อ ให้ลูกไปเถิดพะย่ะ ค่ะ ลูกยังมีของสำคัญอยู่กับนางจำเป็นต้องไปเอาด้วยตัว เองพะย่ะค่ะ!” เขาเอ่ยเพียงว่าของสิ่งนี้เป็นของสำคัญมาก เพียงแต่ก็ไม่ได้บอกว่าของสิ่งนั้นแท้จริงคืออะไรกันแน่
“เช่นนั้น ข้าจะให้คนมาหามเจ้าไป” เมื่อห้ามบุตรชายตน ไม่ได้ก็จนปัญญา
หลี่เฉินเย่นปิดเปลือกตาลงก่อนจะพยายามขยับร่างกาย ของตนเองนอกจากร่างกายที่เจ็บไปทั้งร่างก็มีเพียงขาทั้ง สองข้างเท่านั้นที่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย เขาได้ปรารถนาว่ามันจะรู้สึกขึ้นมาได้อีกครั้งทว่ากลับไร้วี่แวว ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นหลอกตัวเองว่าขาทั้งสองข้างรู้สึก เจ็บโดยการส่งเสียงร้องออกมา
ร่างของเขาถูกหามมาส่งถึงหอนอนของชูเซี่ยในเวลาต่อ มา ชูเซี่ยยังคงไม่ได้สติ ยามนี้ข้างกายนางมาเสี่ยวจี้และมา มาอยู่ข้างกายคอยดูแลปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง เมื่อทั้งสองเห็น ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาด้วยก็ย่อกายทำความเคารพ อย่างรวดเร็ว
ยามที่ทั้งสองเห็นว่าหลี่เฉินเย่นถูกหามเข้ามาภายในห้อง เพื่อมาดูอาการของพระชายาด้วยตนเองก็ให้รู้สึกดีใจและ ปลาบปลื้มยิ่งนัก
หลี่เฉินเย่นถูกหามมาจนถึงข้างเตียงบรรทมของชูเซี่ย ดวงตาคมกล้ามองร่างบอบบางของหญิงสาวบนเตียงอย่าง สำรวจ ใบหน้าของนางซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีปากบางแห้ง ผาก เปลือกตาของนางปิดสนิททำให้เขาได้มีโอกาสเห็น ขนตาที่เรียงกันเป็นแพของนาง ยามนอนนางนอนหลับนิ่งๆ อยู่บนเตียงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าแท้จริงนางเป็น เพียงแค่เด็กสาวที่อ่อนแอและบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น เขา เคยรังเกียจนางมากก็จริงทว่ายามนี้เมื่อเห็นนางนอนนิ่งไม่ ไหวติงอยู่บนเตียงเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก ยามที่เขา มาถึงได้สอบถาม
อาการของนางจากหมอหลวงประจำตัวพระชายาแล้วก็พบ ว่าต่อจากนี้นางจะฟื้นหรือไม่ก็แล้วแต่สวรรค์ลิขิตเท่านั้น
ยามที่เขานอนรอความตายอยู่ในถ้ำบนหุบเขาเทียนหลา ง ในใจของเขายามนั้นคิดถึงเพียงนาง รอยยิ้มของนาง เขา เคยคิดว่าหากมีโอกาสรอดชีวิตออกไป เขาจะเอ่ยคำขอ โทษต่อนาง เขารู้สึกเสียใจนักที่เคยทำผิดต่อนางมาโดย ตลอด
มาถึงยามนี้เขาปลอดภัยดีแต่นางกลับต้องมานอนอยู่เช่น นี้ เป็นตายเท่ากัน
“ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับนางเสียหน่อย พวกเจ้าออกไป ก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปสักพักเขาก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา
ฮ่องเต้รับสั่งให้คนอื่นๆออกไปรอข้างนอกให้หมด แม้ว่า สีหน้าของหลิวมีเหอจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยทว่าใน ใจกลับมีพายุที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แท้จริงแล้วมีเรื่อง ราวอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนกันแน่ เหตุใด ท่านอ๋องที่เคยตั้งแง่รังเกียจพี่สาวนางมาโดยตลอดกลับ กลายเป็นว่ายามนี้ราวกับเขารักใคร่นางถึงเพียงนี้
เมื่อเป็นรับสั่งของฮ่องเต้หลิวมี่เหอไม่อาจไม่ทำตามได้ แต่นางก็ไม่ได้หายไปไหนไกล นางเพียงไปยืนเงียบๆอยู่ น่อกหน้าต่างห้องนอนเพื่อแอบฟังพวกเขาคุยกัน
หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาทำเพียงนั่งนึ่งๆอยู่ ข้างเตียงนางเว้นระยะห่างเพียงเล็กน้อยฝ่ามือหนาเอื้อม ไปจับฝ่ามือของนางมากอบกุมไว้ เขาอยากจะเอื้อมมือไป สัมผัสใบหน้าของนาง ก้มไปกระซิบข้างใบหูของนางแต่ก็ ไม่อาจทำได้จึงทำได้เพียงยืนมองนางนิ่งๆอยู่เช่นนี้
เขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกของตนได้ในขณะนี้ และไม่ อาจบอกได้ว่าเหตุใดเขาต้องเห็นหน้านางจึงจะสงบใจลง ได้ เข้าไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ เขา ไม่อยากเอ่ยคำว่าตายออกมา หากนางต้องตายเล่าเขาไม่ อยากจะคิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตเช่นไรต่อไปได้อีก
เขานั่งเงียบๆกุมมือนางไว้เช่นนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว มีคำ พูดมากมายไหลเวียนอยู่ในหัวแต่ก็ไม่ทราบว่าควรพูด อะไรออกมาก่อนดี
ทว่าสุดท้ายแล้วคำพูดที่เอ่ยออกมาจากเขากลับเป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับใจของเขามากที่สุด “หากเจ้าตายข้าจะ ไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เมื่อกล่าวจบ กระบอกตาของเขาก็ร้อน ผ่าวขึ้นมาก่อนจะรีบเสหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนเป็น สีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
เมื่อชายหนุ่มหันกลมาอีกครั้งจึงได้พบว่ามีดวงตากลมตา กำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่
ดวงตาสองคู่สบประสาน เขาจ้องมองนาง นางจ้องตอบ เขา แล้วจู่ๆหญิงสาวตรงหน้าก็ผุดลุกอย่างรวดเร็วราวกับ ว่าร่างกายของนางไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใด นางเอื้อมมือ มาสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “ท่าน ไม่เป็นอะไรหรือ ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆใช่หรือไม่ สวรรค์ ท่านทำให้ข้าเกือบหัวใจวายตายรู้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบ นางก็โผเข้ากอดเขาก่อนร้องไห้ออกมาเสียงดังราวับปลด ปล่อยความเสียใจและความกังวลใจที่สะสมมาตลอดสาม วันให้ออกมาให้หมด
หลี่เฉินเย่นรู้สึกว่าลำคอของตนเองตีบตัน รู้สึกซาบซึ้ง ดีใจที่นางเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวโง่งม ที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะเสียใจที่นางนอนนิ่งๆบนเตียงไม่รู้จะ ฟื้นขึ้นมาเมื่อใดทว่ายามนี้นางกลับลุกขึ้นมากอดเขาเสีย แน่น ยามที่นางโอบกอดเขานางรัดเขาเสียแน่นจนเขาเจ็บ บาดแผลไปหมด เจ็บจนต้องกัดฟันตนเอง
“หากเจ้ายังไม่ปล่อยมือ ข้าคงตายแน่!” หลี่เฉินเย่นเอ่ย ออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจรีบคลายอ้อมแขนของตน ออกทันที เมื่อมองดูดีๆนางก็พบว่าใบหน้าคมของเขาซีด เผือดไร้สีเลือด ร่างกายของเขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงไม่ ขยับเขยื้อนก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเอาการ
นางรีบเอ่ยถามเขาอย่างร้อนใจ “ท่านบาดเจ็บตรงไหน หรือ หนักหรือไม่ ทำไมถึงไม่นอนพักผ่อนดีๆเล่า”
“ข้าดีขึ้นมาแล้ว เจ้าคิดว่าผู้ใดจะอ่อนแอเช่นเจ้ากัน แค่หัว กระแทกเล็กน้อยก็สลบไปเสียหลายวัน หากเป็นข้าต่อให้ ถูกคนทำร้ายเป็นร้อยบาดเจ็บถึงเก้าส่วนในสิบส่วน ภายใน สามวันก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้เป็นปกติแล้ว!”
ชูเซี่ยหัวเราะออกมาเล็กร้อย ใบหน้านางฉายยิ้มกว้าง ราวกับดอกไม้แรกแย้มที่ต้องแสงอาทิตย์ส่องแสงเปล่ง ประกายงดงามอยู่ภายในใจของเขา เขาทอดสายตามอง หญิงสาวที่ยิ้มเสียจนเห็นฟันครบทุกชี่แม้ว่าใบหน้านาง ยามนี้จะซีดเซียวเพียงใดแต่เขาก็ยังชอบที่จะมองรอยยิ้มนี้ อยู่ดี
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงในความคิดของเขาเท่านั้น เขาไม่มี ทางชอบยอมพูดออกมาเป็นแน่ เพียงแค่ยิ้มออกมาเอ่ย หยอกเย้าหญิงสาวตรงหน้าๆเล่นๆ “ทำไมหรือ ไม่พอใจใช่ หรือไม่ ไม่พอใจก็รีบๆหายดีได้แล้ว!”
ชูเซี่ยรับคำก่อนจะผุดรอยยิ้มซุกซน “ได้ เช่นนั้นเรามา แข็งกันดีหรือไม่ว่าใครหายดีก่อน!”
หลี่เฉินเย่นไม่หือไม่อือใบหน้าคมคายยังเรียบเฉยไม่ สนใจต่อการท้าทายของนางแม้แต่น้อย ชูเซี่ยสังเกตได้ ถึงบางอย่างที่ผิดปกติอย่างยิ่ง แต่เห็นท่าทางของเขาที่ สงบเสงี่ยมเช่นนี้นางก็จะไม่ถามอะไรมากนักก็แล้วกัน
จ่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ นั่นก็คืออาการป่วย ของอานเหยียนจึงรีบถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ข้าหลับไปนาน แค่ไหน”
ได้ยินผู้อื่นว่าเจ้าสลบไปถึงสามวันสามคืน!” หลี่เฉินเย่น
ตอบ
ชูเซียตกใจรีบลุกขึ้นจากเตียงใส่รองเท้า “อานเหยียนเล่า เป็นอย่างไรบ้าง อาการตัวเหลืองเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้าเพิ่งจะฟืนขึ้นมา ห้ามไปไหนทั้งนั้น” ชายหนุ่มรีบเอ่ย ห้ามนาง
ชูเซียเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ข้างเตียงมาสวมใส่ “ไม่ได้ข้าวางใจไม่ลง ท่านไม่รู้หรือว่าอานเหยียนอาการ หนักมากเพียงใด”
ทว่าทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง หลิว มีเหอเดินเข้ามาก่อนจะตวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้านาง “ท่าน อ๋องเป็นห่วงท่าน ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อเขาทราบว่าท่าน เกิดเรื่องก็รีบมาเยี่ยมท่านทันที แต่ท่านถามก็ไม่ถามถึง สารทุกข์สุขดิบท่านอ๋องแม้แต่คำเดียว เอาแต่ดื้อดึงจะไป ดูอาการพระชายาเจิ้นหยวน เสียแรงนักที่ท่านอ๋องดีต่อ ท่านถึงเพียงนี้”
ที่แท้แล้วหลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จกลับนางก็ แอบฟังพวกเขาอยู่ภายนอก นางเพียงต้องการจะทราบว่า แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่ นางเพียง ต้องการระบายความโกรธออกมาเพียงเท่านั้นทั้งๆที่นาง เองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะชูเซียหวังดีต่อพระชายาเจิ้นหยวน จากใจจริงจึงได้เป็นห่วงในพระราชนัดดาถึงเพียงนี้
ชูเซี่ยเหลือบตามองหลิวมีเหอก่อนจะเอ่ยถามอย่างงุนงง “ท่านอ๋องไม่ใช่หายดีแล้วหรือ”
“ดีงั้นหรือ เขาไม่สามารถเดินได้อีกตลอดชีวิต ขาของเขา พิการไปแล้วท่านรู้หรือไม่ เพียงเพื่อช่วยคนเช่นท่าน แต่ ท่านกลับทำร้ายเขาตลอดชีวิต!” หลิวมีเหอร้องไห้ออกมา อย่างเสียจริต
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ ชูเซียกลั้นหายใจหัน กลับมามองหลี่เฉินเย่นี่นั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงนาง นางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยออกมา ด้วยเสียงสั่นเทา “เป็นเรื่องจริงหรือ”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ