ตอนที่ 10 มีลูกคนหนึ่ง
ธัชชัยเพิ่งเอาอาหารเจของตอนเช้ามาถึงห้องนอนวรพล
วรพลนอนอยู่บนเตียงร่างกายดูเหมือนอ่อนแอมาก พูดก็ เหมือนไม่ค่อยมีแรง “เมื่อกี้เธอทะเลาะกับวังสา ใช่ไหม?” ตาของ ธัชชัยห้อยลง สงบเยือกเย็นมา
“เป็นไปได้ไง”
“อย่างนี้ก็ดี ได้ยินพ่อบ้านภูษิตพูดว่าพวกเธอสองคนชอบ ทะเลาะกันเรื่องที่ใครจะมาป้อนข้าวฉัน วรพลกินอาหารเจไปค่ หนึ่งที่ธัชชัยป้อน ที่จริงเรื่องพวกนี้ให้ป้าอ้อยทำก็ได้แล้ว จะได้ ปลูกฝังความสัมพันธ์กับวัสสา นี้ถึงจะเป็นเรื่องของเธอ ปรกติก็ ยอมใจสาหน่อย อย่างนี้ถึงเป็นสุภาพบุรุษที่ดี”
ธัชชัยเม้นปาก ไม่รู้ว่าใครเอาเรื่องเล็กพวกนี้มาบอกให้พี่จริง ด้วย ถ้าให้เขารู้ว่าเป็นใครนะจะเย็บปากทิ้งเลย เธออย่าโทษ ใครทั้งนั้น เรื่องส่วนมากฉันก็ดูจากกล้องวงจร” วรพลดูน้องชาย ที่ดื้อรั้นคนนี้ ทนไม่ไหวแล้วถอนหายใจอีก “ชัย อย่าเอาแต่ใจ
“พี่ล่ะสิ ไม่ต้องเอาแต่ใจ เมื่อไหร่จะเตรียมตัวไป หมอภาคินอ ยู่ไหน ฉันจะปรึกษาเรื่องนี้กับเขา” ธัชชัยคิดแล้วว่ายืดเวลาอย่าง นี้ไม่ได้แล้ว อาการก็เริ่มไม่ดีขึ้นทุกวัน ทุกวันนี้ก็ไม่รู้หายไปไหน
เขายังไม่รู้ว่าวรพลให้หมอภาคนหลบหน้าจากเขา
“เธออย่าเป็นห่วงแต่เรื่องของฉัน เธอกับวัจสาเตรียมตัวจะเอาไอ้พวกนิสัย โฉดชั่วเสมือน
ธัชชัยว่าวรพลพูดไปมันแค่คำแก้ตัว ขอแค่ธัชชัยอย่าง เทียบกับเรื่องพวกเขาต้องเตรียมแก้แค้น เขาจะไม่มี ให้คนพวกนั้นมีความสุขได้
” ทอง ลูกไม่เหมาะความสุขไม่ได้ ไม่จำเป็นให้เขามาอยู่ในใบนี้ ธัชชัย พูดอย่างเสียงเย็นเยือกและแน่วแน่
“วจสาใช่ผู้หญิงอย่างเธอคิด เธอแววตาเขาตอนเขา กับอื่นแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ใสซื่อ ถ้าไม่ใช้ หน้าของฉันหลอกเขา ค่อยรวมไป เขาแน่นอนธัชชัยเหยียมหยาม “ฉันออกเลยว่าเธอบริสุทธิ์และ จิตใจดีงามตรงหน้า เรื่องเถียงนี่จังเลยวรพลว่าตัวเอง พูดน้องชายคนยอมไม่ได้ แววตา ไปที่รอบโต๊ะรูป ถ่าย สายตาค่อยๆนุ่มนวลมา กนิษฐา เธอสอนฉันหน่อย ต้องทํายังไงถึงเขาได้
ผู้หญิงในสวยสดงดงามยิ้มอย่างงามเรียบ จองวรพลอยู่ บนเตียงอย่างอ่อนโยน ธัชชัยก็มองไปตามแววตาของเขา เป็นมาก ว่ารักคนที่จะใช้ชีวิตแทนเขาต่อไปเหรอ
วันรุ่งขึ้น วัสสาตื่นขึ้นมา ข้างเตียงเหมือนไม่มีใครนอนเลย หรือว่าเมื่อคืนวรพลไม่ได้เข้ามานอนในห้อง
แต่ก็นั่งคิดแค่แป๊บนึง เธอแปรฟันไปด้วยแล้วคิดในใจว่าวันนี้ จะทำอะไร
ที่จริงอยากถือโอกาสปิดเธอมนี้ยังมีเวลาอีกนิดน้อย ไปสถาน สงเคราะไปเล่นกับเด็กๆ แต่ว่าตอนนี้เธอแต่งงานมาที่วงศ์ตระกูล ศรีทองแล้ว ยังไม่พูดถึงผู้ชายที่เย่อหยิ่งคนนั้นรู้แล้วจะพูดอะไร ตัวเองก็ต้องดูแลสามีที่ดูแลตัวเองไม่ได้
กินอาหารเช้าเสร็จ วัดสาเตรียมตัวไปหาหมอภาคิน เพื่อที่จะ เรียนรู้การเช็คตัวให้วรพล เรื่องป้อนข้าวก็ถูกธัชชัยแย่งไปแล้ว ตอนนี้เขาคงไม่มาแย่งเรื่องนี้กับเธออีก
หมอภาคินให้เธอใส่เสื้อชุดป้องกันเชื้อ ตอนวจสากำลัง
เตรียมตัวจะใส่เข้าไป โทรศัพท์ที่อยู่ในโต๊ะก็ดังขึ้น
” สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าท่านใดค่ะ เพราะว่าเป็นโทรทัศน์ เลย ได้จําเบอร์ไว้
ทางโน้นพูดอย่างเร่งรีบมาก “พี่วังสา รีบมา ประธานของมูลนิ ธีคุณดนิดาไม่สบาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลน้ำขาว ยังช่วยชีวิต อยู่ในข้างหน้า”
ใจของวัจสาเสียงตุ๊กๆขึ้นมา “ไม่ต้องรีบ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ แหละ”พูดเสร็จก็ไปอธิบาย เดี๋ยวก็จะถึงโรงพยาบาลน้ำขาวแล้ว
ในระยะทางที่มาวจสาก็อธิษฐาน ประธานของมูลนิธิคุณดนิดาเป็นคนที่จิตใจดีงาม ขอให้เขาพ้นจากด่านนี้ไปเถอะ แต่ว่าครั้งนี้ ทำไมถึงได้เข้าโรงพยาบาล เมื่อก่อนร่างกายก็ไม่ได้อ่อนแอ ขนาดนี
ตอนที่คุณอาจยุต เธอไปฝากเลี้ยงไว้ที่สถานสงเคราะ เธอ กับประธานของมูลนิธิคุณดนิดาก็พึ่งพาอาศัยกัน ตอนไปอยู่ แรกๆเธอไม่ชอบพูด ยิ่งไม่ชอบอยู่รวมกับผู้อื่น แต่ที่เธอเจอ ประธานของมูลนิธิคุณดนิดาก็ยอมรับเธอเลย
เขาพาเธอไปกินข้าว และเล่นกับเธอ
ตอนนั้นร่างกายของประธานของมูลนิธิคุณดนิดาดีมาก ผมก็ เพิ่มจะขาวได้สองจอนผม นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะกลายเป็นแบบนี้ เวลาไม่รอคนจริงๆ ตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาล จิตอาสาของ สถานสงเคราะก็รอไว้ที่ข้างนอกห้องฉุกเฉินแล้ว ได้ยินจากปาก พวกเขาว่า เด็กที่เป็นมะเร็งในเมล็ดเลือดขาวหาเจอไขกระดูก แล้ว แต่ค่ารักษานี้ทำให้พวกเขาลำบากใจมาก
ประธานของมูลนิธิคุณดนิดาเพื่อที่จะระดมเงินให้เด็กที่ได้ มะเร็งในเมล็ดเลือดขาวหาเงินไปทั่วร่างกายไม่ไหว เลยเป็น ความดันเข้าโรงพยาบาล
“รออยู่แป๊บนึง ไฟของห้องฉุกเฉินก็ดับลง หมอที่ใส่กาวน์ขาว ก็เดินออกมา”ใครคือญาติผู้ป่วย
จิตอาสาและวันสาก็เดินขึ้นไป “พวกเราคือญาติของผู้ป่วย ไม่ ทราบว่าประธานของมูลนิธิคุณดนิดาเป็นไงบ้างครับ/ค่ะ” หมอมองไปรอบๆ ก็รู้แล้วว่าเป็นอะไรขึ้น เขาก็เคยเจอประธานของมูลนิธิคุณดนิดาเหมือนกัน เธอจะมาโรงพยาบาลบาลบ่อย มาก มาเด็กร่างกายค่อยแข็งแรง
“ประธานพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกเธออย่าให้เดินไปเรื่อย
วัจสารประธานของมูลนิธิคุณดนิดาจะไม่หยุด ดูเหมือนว่า
จะต้องไประดมเงินแล้วล่ะ
ปรึกษากับพวกอาสาค่อยว่า รักษาเมล็ดเลือดขาวต้องการสองแสน ยุคหลังต้องเงินต่อ
สองแสน สําหรับครอบครัวธรรมดาแล้ว มันถือเป็นเงินที่ เยอะมหาศาล สำหรับสถานสงเคราะแล้วเป็นภาระใหญ่มาก
เรื่องเงินถ้าเป็นฐานะบ้านอย่างวงศ์ตระกูลศรีทองวงศ์ ตระกูลเดิมขุนทด แน่นอนจะเป็นเรื่องแค่แบบแทบไม่ต้องออกไม่ว่าพวกเขาจะยอมไหม
ก่อนจะพิจารณาคือคุณอา
คราวที่แล้วที่บังคับก็ต้องรู้สึกผิดนิดน้อย อีกอย่างปรกติเขาดีกับสถานสงเคราะ มาก เพราะว่าเคยนำวัจสาไปฝากทดอีกนาน แต่ใครจะว่าตอนจะต้องกลับไป ช่วยไม่ได้ ถ้าชีวิตของคนคนได้ เธอเปรียบเปรยให้พวกเสียดายไปถึงวงศ์ตระกูลเดิมขุนทด ปยุตไม่อยู่ ได้ยินว่าธุระต่างจังหวัด ช่วงเวลานี้น่าจะไม่กลับมา คนที่เปิดประตูคือวราลีที่ วันๆอยู่แต่บ้านไม่ทำอะไรเลย” โย คุณผู้หญิงของตระกูลศรีทอง ทําไมกลับมาแล้ว? คงไม่ใช่ว่าทะเลาะกับท่านชายใหญ่?”
วัดสาไม่อยากพูดอ้อมไปอ้อมมา เลยบอกสาเหตุไปอย่าง ตรงๆ สุดท้ายนี้ก็ขอให้พวกเขาบริจาคสองแสน
วราลีได้ยินว่าสองแสน ตาจ้องอย่างใหญ่ “เธอไม่ได้โง่ใช่ ไหม? จะเอาเงินเยอะขนาดนี้ไปช่วยเด็กที่ไม่มีอะไรกับเธอเนี่ย นะ?”ความเห็นอกเห็นใจของเธอท่วมเอ่อผิดที่แล้ว อีกอย่าง สถานสงเคราะไม่ใช่ยังมีองค์กรการกุศลและยังรวบรวมเงินจาก ผู้อื่นอยู่หรอ?เธอจะเป็นห่วงทำไม”
วันสารู้ว่าอาสะใภ้คนนี้ของเธอจงเกลียดจงชังสถานสงเคราะ มาก ยิ่งรู้ว่าเขารักเงินยิ่งกว่าชีวิต แต่ว่าวันก่อนไม่ใช่เพิ่งได้ของ ขวัญมาสามล้านหรอ?เอาเงินสามล้านออกมาสองแสนก็ไม่ได้ หรอ มันก็ไม่ถือว่าเยอะ
เธอได้แต่ทนอารมณ์แล้วอธิบายกับวราลีว่า “ที่จริงทุกวัน ประธานของมูลนิธิคุณดนิดาก็หาคนบริจาคอยู่ แต่ว่าเขาแค่ เหนื่อยเกินไป เลยอยู่โรงพยาบาล เด็กคนนั้นก็รอไม่ได้นานแล้ว หาไขกระดูกที่เหมาะสมกับเขาได้แล้ว เหลือแต่เงินสองแสนก็ ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งได้แล้ว”
“สองแสนนี้? เธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่เงินเธอเลยไม่เจ็บใจใช่ไหม? เธอรู้ไหมว่าปรกติที่บ้านใช้เงินเท่าไหร่ เงินที่อาเธอให้ฉันมันก็ ไม่เยอะ ฉันให้เธอได้แค่หมื่นหนึ่งเพราะมันเป็นขีดจำกัดของฉันแล้ว อีกอย่าง ถ้าจะเมตากรุณา ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลให้หมอ ผ่าตัดให้เธอฟรีล่ะ?
วราลีฮีแล้วหยุดค่าพูดของวัสสาไว้ หน้าของเขาเริ่มรำคาญขึ้น มา
วัดสาฟังคำพูดของเขาที่ไม่รู้จะพูดอะไร
เธอไม่ชอบที่เขาต้องใช้เหตุผลนี้มาปฏิเสธเธอ ทั้งที่มีความ สามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ นี่ไม่ใช่การหลอกใช้พันธนาด้วย จริยธรรม แต่ว่าครั้งนี้วจสารู้สึกโกรธมาก นี่ไม่ใช่เบิกตาโพลงดู เขาตายไปหรอ?
“อาสะใภ้ค่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิด วันก่อนเพิ่งได้ค่าสินสอดมาจาก วงศ์ตระกูลศรีทองมาสามสิบล้าน เอาเงินออกมาจากในนี้นิด หน่อยคงไม่เป็นไรนะค่ะ”
ไม่น่าเชื่อปฏิกิริยาของวราลีจะรุนแรงอย่างนี้ เขาจมูกของวัน สาแล้วด่าไปว่า “คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นหมาป่าจริง เพิ่งแต่งไปอีก วันเอง? ตอนนี้ก็มาช่วยสามีเธอขุดเงินจากวงศ์ตระกูลเดิมขุนทด แล้วหรอ? ฉันยังคิดว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลศรีทองจะใจกว้าง ขนาดไหน ยังให้เธอกลับมาเอาเงินที่บ้านอีก?”วังสาบิดคิ้ว ไม่ คิดว่าอาสะใภ้จะเข้าใจผิดอย่างนี้ “อาสะใภ้ มันไม่ใช่อย่างที่เธอ คิด วรพลไม่รู้เรื่องนี้เลย แค่ฉันอยากระดมเงินเอง นี้เป็นความ หมายของฉัน เพื่อที่จะช่วยเหลือเด็กคนนั้นกับประธานของมูลนิธิ คุณดนิดา”
“อืม ไม่ต้องอธิบายแล้ว ฉันไม่อยากฟัง ถ้าอยากเงินกลับไปตอนนี้ก็โทรหาวรพล ให้เขามาพูดกับฉันเอง ฉันจะรีบคืนเงินเขา เลย” เป็นไปได้ไงที่วราลีจะไปทะเลาะกับตัวเงินตัวทองอย่างวงศ์ ตระกูลศรีทอง? เธอแค่ไม่อยากเงินใจสายนี้ มันมีมีสิทธิ์ที่ไหน มาขอตังค์ฉัน ถ้าทั้งสองคนคุยกันไม่รู้เรื่อง วัดสาก็ไม่อยาก บังคับ เธอก้มหัวถามแล้ว อาสะใภ้ไม่มีใจที่อยากบริจาคเงินเลย อย่าบอกว่าบริจาคเลย แม้กระทั่งยืม อาสะใภ้คนนี้ของเธอก็ไม่ ยอม
วังสาส่ายหัว ไม่อยากจะพูดอะไร แล้วเดินออกไปจากวงศ์ ตระกูลศรีทอง
แต่ว่าเธออยากจะช่วยเหลือพวกเขามาก นึกถึงประธานของ มูลนิธิคุณดนิดาร้อนใจจนไม่สบาย ใจของเธอก็เจ็บมาก คนมี ร่ำรวยมีตั้งเยอะ คนใจบุญทำไมถึงมีน้อยขนาดนี้? ทั้งๆที่วราลี สามารถช่วยเหลือเด็กพวกนี้ได้ แค่ง่ายๆสบายๆแบบแทบไม่ ต้องออกแรง เขายังปฏิเสธได้เร็วขนาดนี้
ช่างเหอะ คิดวิธีเองดีกว่า ถ้าเทียบกับประธานของมูลนิธิคุณด นิดาแล้ว ทางเธอมีช่องทางเยอะกว่า
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ