Fate Agent เจตอารักษ์

บทที่ 19 อสูรอัญเชิญ (ตอนต้น)



บทที่ 19 อสูรอัญเชิญ (ตอนต้น)

กว่าสองชั่วโมง ไกราขึ้นไปบนโรงแรม เทพินและเค ไนน์ต่างได้ยินเสียงต่อสู้กันด้านบนระหว่างไกราและ ปีศาจ เสียงหนักเบาสลับกันไปฟังแล้วแปลก ๆ ฝ่ายหนึ่ง โจมตีหนักอีกฝ่ายโจมตีอย่างละมุนละม่อม… เหมือน ผู้ใหญ่หยอกเด็กเลย

“พวกนั้นสู้กันจริง ๆ หรือวิ่งไล่จับกันเล่นน่ะ” เทพินที่หัน มาดื่มน้ำเปล่าแทนกาแฟเงยหน้าขึ้นมองเพดาน การสั่น สะเทือนของสถานที่ไม่มีคนนอกรับรู้ เพราะอาณาเขตที่ ถูกสร้างขึ้นจากไกรา และตำรวจที่กันลูกค้าโรงแรมออก ไปข้างนอกแล้ว ที่เหลืออยู่มีแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งนั้น ตอน นี้คนภายนอกจะเห็นเพียงโรงแรมที่เงียบสงัด และเพิ่ม ความวังเวงด้วยอาณาเขตหมอกสีดำทมิฬที่ทำให้ดูคล้าย โรงแรมร้างกลาย ๆ

แต่จะว่าไป โรงแรมใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีไกราประจำการ อยู่สักคนสองคนไม่ใช่หรือ เพราะยังไงสถานที่ท่องเที่ยว เหล่านี้คนใหญ่คนโตทั้งเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอกต่าง เข้ามาพักกันเป็นประจำ มันต้องมีคนรักษาความปลอดภัย บ้าง แล้วทําไมไม่เห็นมีเลย แล้วยังต้องเรียกไกราจาก ข้างนอกมาอีก

ยิ่งอยู่นานยิ่งคิดฟุ้งซ่าน และเพราะฟุ้งซ่านไปเรื่อยก็เริ่ม จะจับเค้าลางแปลก ๆ ได้อีก ดูท่างานนี้จะเริ่มสัมผัสได้ถึง ปัญหาอีกแล้ว…
ปัญหายุ่งยากซะด้วยนะ

“เสียงต่อสู้หยุดไปแล้ว” เคไนน์เงยหน้าขึ้นมองตาม เสียงต่อสู้หยุดไปหลังจากเทพินเอ่ยทักไม่นาน แต่ไม่มี เสียงจากการต่อสู้เผด็จศึกดังขึ้นเลยสักนิดเดียว เหมือน กับเงียบหายไปเฉย ๆ

“คงจบแล้วล่ะมั้ง” เทพินไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ” จิ้งจอกอสูรหันมามองอย่าง คาดคั้น

“ก็ไม่รู้สิ แค่สังหรณ์ใจ…

“งั้นไปดูกันเถอะ”

“อื้ม สู้ ๆ นะเคไนน์”

..” จิ้งจอกอสูรชะงักแล้วหันมาจิกตามองเด็กหนุ่มข้า หมายถึงไปดูด้วยกัน ไม่ใช่ช้าไปคนเดียว จะมาบอกให้สู้ ๆ อะไรของเจ้า ”

“ก็ผมไม่ได้อยากไปนี่ นายขึ้นไปดูคนเดียวเถอะ”

“ขี้เกียจหรือไง”
“เปล่า มันยังไม่ถึงเวลางานของผม ตราบใดที่อาณาเขต ของไกรายังไม่หายไป งานในฐานะนักเก็บกวาดจะไม่เริ่ม ขึ้น การที่ขึ้นไปก่อนอย่างนี้มันเสี่ยงโดนลูกหลงนะ”

“แต่การต่อสู้อาจจะจบลงแล้ว…

“หากยังไม่มีไกราลงมาผมไม่มั่นใจว่าการต่อสู้จะจบลง จริง ๆ หรอกนะ” เทพินขมวดคิ้วยุ่งขณะจับจ้องไปยังที่ บันได “และผมจะยังไม่ขึ้นไปจนกว่าจะแน่ใจว่าทุกอย่าง ปลอดภัยสําหรับคนธรรมดาอย่างผม

เคไนน์เบ้ปากแล้วพึมพำ “ยังจะบอกว่าเป็นคนธรรมดา อยู่อีก”

“บ่นอะไร ?”

“เปล๊า ข้าแค่คิดว่าถ้ามันปลอดภัยแล้วน่าจะขึ้นไปเก็บ กวาดให้จบเร็ว ๆ ไม่ดีกว่าหรือ คนธรรมดาอย่างเจ้าจะ ได้พักผ่อนเสียที นี่พระอาทิตย์จะขึ้นอยู่แล้ว นอนไม่เป็น เวลาเสียสุขภาพ”

“มันก็…”

“ขึ้นไปกันเถอะน่า เจ้าในเวลานี้เองก็ไม่ต้องกลัว อันตรายอะไร มีข้าอยู่ด้วยจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าอย่าง ”

“แล้วเมื่อคืนที่ถูกลากลงน้ำนั่นล่ะ”

“เอ๊ย นั่นแค่ประมาทนิดหน่อย เพราะมีคนให้คุ้มครอง หลายคน แต่เวลานี้มีเจ้าคนเดียว รับรองไม่พลาดแน่”

“น่าเชื่อตายล่ะ”

“ข้าพูดความจริงนะ”

“เอาเถอะ ที่พูดมาก็มีส่วนจริงอยู่ มันอาจจะจบแล้วจริง ๆ ก็ได้” เทพินถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจกับจิ้งจอกอสูร ช่างตื้อ… แล้วเขาก็ใจอ่อนมันทุกที “ไปก็ไป อย่าลืมที่พูด ล่ะ รับผิดชอบชีวิตผมด้วย ถ้ามีแผลล่ะก็… คงรู้ใช่ไหมว่า จะโดนอะไรกลับไปบ้าง ?”

“ระ… รู้แล้วน่า” ตัวขาว ๆ นั่นดูซีดลงไปเล็กน้อยเมื่อถูก

จ้องมอง

“รู้แล้วก็นำไปสิ หรือจะให้ผมขึ้นไปก่อน ?”

“เออ ๆ ยังไงข้าก็ต้องนำอยู่แล้ว ก็จะเป็นโล่ให้เจ้านี่นา”

“ก่อนหน้านั้นก็กลับร่างมนุษย์ซะก่อนนะ ร่างแคระ ๆ นี่ดูจะเป็นโล่ไม่ไหวล่ะ เตี้ยเกิน”

“ข้าเตี้ยเฉพาะร่างจิ้งจอกนี่แหละเฟ้ย !” จิ้งจอกอสูร แคระแยกเขียวพองขนขู่ใส่เจ้านาย เด็กหนุ่มตาสีม่วงพ่น ลมให้ใจออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อจิ้งจอก อสูรกลับไปอยู่ในร่างมนุษย์ชายผมสีเงินแล้ว

ทั้งสองคนเดินขึ้นไปทางบันไดแบบเดียวกับไกรากลุ่ม ก่อนหน้านี้ จากรายละเอียดที่อ่านมาอย่างคร่าว ๆ เกี่ยว กับงานของตนเอง ชั้นที่เกิดเหตุฆาตกรรมอยู่ที่ชั้นหก แต่ เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้การต่อสู้ จบลงที่ชั้นไหน ที่แน่ ๆ มันคงไม่ได้อยู่ชั้นเดิม ดูจากระยะ เวลาและเสียงที่ได้ยิน

“พอจะตามกลิ่นไกรา กลิ่นเลือด หรือกลิ่นปีศาจได้ไหม” เทพินถามจิ้งจอกอสูรที่เดินหน้าเคร่งเครียดอยู่ด้านหน้า

“ตามกลิ่นยาก ในอาณาเขตที่มีหมอกสีดำนี่ทำให้กลิ่น อายปีศาจกระจายทั่ว กลิ่นเลือดก็เหมือนกัน กลิ่นไกราก็ เบาบางจนจับสัมผัสไม่ค่อยได้เลย

“นายนี่ไร้ประโยชน์ชะมัด”

“ข้าทำดีที่สุดแล้วเฟ้ย !” เคไนน์ถลึงตาใส่ “แล้วเจ้าตาม กลิ่นได้หรือไง มีพลังอะไรก็รีบ ๆ เอาออกมาใช้เสียอย่าเอาแต่กั๊กไว้”

“หึ ๆ นั่นต้องรอดูสถานการณ์ก่อนสิครับ”

“นี่แสดงว่ากั๊กไว้จริง ๆ สินะ !”

“นายเดินเงียบ ๆ แล้วหาพวกไกราเถอะ พูดมากเกินไป แล้ว”

“เชอะ !” จิ้งจอกอสูรสะบัดหน้าหล่อ ๆ กลับไปมองทาง

เขาใช้ประสาททั้งหมดในการรับรู้ ถึงแม้จะเป็นไปได้ ยากมากแต่หากเดินไล่ไปที่ละชั้นอย่างนี้ก็ต้องเจอแน่ เพียงแต่ต้องใช้เวลามากหน่อย

ตอนนี้พวกเทพินเดินผ่านชั้นเจ็ดมาแล้ว กลิ่นเลือดคละ คลุ้งและหมอกก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเป็นพิเศษ เทพินขมวด คิ้วอย่างพะอืดพะอม พลังของเคไนน์ที่ช่วยปัดเป่าหมอก สีดำก็ดูเหมือนจะกันไม่ค่อยอยู่แล้ว และจะให้เร่งพลังขึ้น มากกว่านี้ก็คงไม่ได้ พวกเขาต้องเหลือพลังไว้ใช้ในยาม ฉุกเฉิน

แต่… มันเหม็นเน่าจริง ๆ แฮะ นี่มันอาณาเขตแบบไหนกัน
เทพินใช้พลังของตัวเองเก็บกวาดสถานที่ไปด้วย เลือด ของใครก็ไม่รู้ถูกทำความสะอาดจนหมดจดไม่เหลือร่อง รอยอะไรตลอดทางที่เขาผ่าน

“ซู่… หยุดก่อน” เคไนน์ที่เดินนำหน้าหยุดชะงักลงเมื่อมา ถึงชั้นที่สิบเอ็ด ดวงตาสีทองกวาดไปรอบ ๆ อย่างระแวง ระวัง เสียงฝีเท้าของพวกเขาหยุดแล้ว แต่ในอากาศยัง ได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นอยู่… ได้ยินเบาบางมาก

แต่ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ

จากที่ฟังไม่ใส่เสียงฝีเท้ามนุษย์ !

“มาแล้ว ! จากทางบันไดด้านหลัง !” เคไนน์ร้องบอก ก่อนทั้งคู่จะหันขวับไปที่ทางขึ้นบันได

เงาร่างที่สะท้อนออกมาให้เห็นนั้นเป็นปีศาจขนาดใหญ่ที่ มีเขาแพะบนหัวแลดูดุร้าย แสงไฟในบริเวณที่พวกเทพิน อยู่เริ่มกะพริบติด ๆ ดับ ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหวั่น ไหวได้เลยสักนิดเดียว และพอร่างนั้นโผล่พ้นบันไดขึ้นมา พวกเทพินก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ

“เด็กเรอะ !?!”

ร่างสูงดูแล้วไม่น่าจะสูงเกินร้อยหกสิบเซนติเมตรนั่นกับ ใบหน้า เล็ก ๆ น่ารักน่าหยิก ติดแต่ว่ามีเขาแพะไม่เล็กไม่ใหญ่บนหัวที่ประกอบไปด้วยผมสีน้ำตาลอ่อน หยักศก ดวงตาสีแดงที่ดูเหม่อลอยนั้นไม่ได้จับจ้องไปที่ ใดเลยสักนิดเดียวราวกับวิญญาณหลุดอออกจากร่าง

เทพินขมวดคิ้วมองถึงจะรู้สึกว่าอสูรเด็กที่พบจะเหนือ ความคาดหมายไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ประมาท แต่เพียง กะพริบตาร่างเล็กตรงหน้า

ฉีวะ !!

มือเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมแทงเข้าเฉียดสีข้าง เทพินที่เอี้ยวตัวหลบได้ด้วยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มเบิก ตากว้างก่อนจะกระอักเลือดออกมากองโต แล้วทรุดตัวลง กับพื้นเมื่อร่างของอสูรเด็กดึงมือกลับ เลือดสีแดงสดที่มี กลิ่นหอมหวานไหลออกมาจากแผลเจิ่งนองไปบนพื้นเป็น วงกว้าง

“เทน !!” เคไนน์ร้องเสียงหลงทันที

อสูรเด็กที่เพิ่งจะเสียบร่างคนทะลุไปหมาด ๆ หันไปมอง เจ้าของเสียงร้อง มันไม่ได้สนใจเคไนน์ เท้าเล็ก ๆ นั่น กำลังยกขึ้นเตะซ้ำไปที่ร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งกุมแผลอยู่ที่ พื้น

“ถอยไปให้ห่างจากเด็กนั้นนะไอ้แพะอสูร !!” เคไนน์ ตะโกนเสียงดัง พร้อมกับสะบัดลูกไฟสีเงินหลายลูกเข้าใส่เด็กอสูรอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธจัด

ตูม !!

เมื่อลูกไฟระเบิดออกร่างของแพะอสูรกลิ้งไปบนพื้น และร่างสูงของจิ้งจอกอสูรสร้างลูกไฟสีเงินขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีทองที่เป็นประกายคมกล้าและจิตสังหารเข้มข้น พุ่งตรงเข้าใส่อสูรเด็กอย่างไร้ปรานี เสียงทุ้มที่ถูกลดให้ ต่ำลงกล่าวออกมาอย่างเชือดเฉือน

“ไอ้อสูรโง่ กล้าดียังไงมาแตะต้องเด็กน้อยของข้าฮะ !” อสูรเด็กยืนนิ่งให้เพลิงสีเงินปิดล้อมเอาไว้จนหมดทาง หนี ส่วนตัวจิ้งจอกอสูรก็ประคองเทพินขึ้นมาดูอาการ เด็ก หนุ่มกัดฟันข่มกั้นเสียงร้องก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ อสูรเด็กตรงหน้า

“เป็นยังไงบ้างเทน”

“ยะ… ยังไหว”

“แต่สภาพเจ้าไม่น่าไหวแล้วนะ” เลือดของเทพินไม่หยุด ไหลง่าย ๆ บาดแผลที่แค่โดนสีข้างแต่เลือดก็ออกมามาก นี่คงจะเป็นคำสาปที่ได้มาพร้อมบาดแผล

“งั้นขอนอนเป็นง่อยเฉย ๆ ได้ไหมล่ะ ?” ๆ
“ไม่ได้ ! เจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ยังจะพูดเล่นอีก เลือดไป เลี้ยงสมองไม่พอหรือไง !”

“ดูเหมือนจะอย่างนั้น” เลือดไหลไม่หยุดเลย ถึงแม้จะ ไหลออกมาไม่มากก็ตาม แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้เขาเสีย เลือดตายก่อนแน่ “ต้องทำอะไรสักอย่างกับอสูรนั่นก่อน”

“จะทํายังไงล่ะ ?”

“ตบเรียกสติได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่ได้ก็กำจัดเลย”

“งั้นข้าจัดการเอง ส่วนเจ้าก็หาทางรักษาตัวเองด้วย”

“อืม ฝากด้วยล่ะ” เทพินพยักหน้าพลางนั่งพิงกำแพงแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนออกแผ่วเบาเพื่อปรับจังหวะ ก่อนจะเริ่มเรียกใช้พลังที่ยังไม่เสถียรของตนเอง

ตอนสู้กับปีศาจในเขตแดนทับซ้อนกับเก็บกวาดงาน ใช้พลังไปไม่มากนัก ทำให้ตอนนี้เขามีพลังเหลืออยู่พอ สมควรทีเดียว พลังในร่างจึงถูกนำมาเพื่อล้างคำสาปและ ปิดปากแผลเสียก่อน

ที่จริงพลังเวทไม่ได้สารพัดประโยชน์ขนาดที่ทั้งแก้คำ สาปและรักษาแผลในเวลาเดียวกัน แต่เพราะเทพินไม่ได้ ใช้เวทปกติ อีกทั้งรูปแบบพลังของเขายังระบุไม่ได้จึงทำให้ใช้เวทได้หลากหลาย

ทางฝ่ายอสูรเด็กก็เริ่มขยับตัวเช่นกันเมื่อเห็นว่าพวก เทพินมีเจตนาจะสู้และเป็นภัยคุกคามในระดับที่ไม่ ธรรมดา ประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ มันก็กวาดตาสีแดงไป รอบ ๆ เพื่อหาช่องทางหลบหนี

“คิดว่าข้าจะยอมให้หนีง่าย ๆ งั้นเหรอ ?” เคไนน์ว่าเสียง ขุ่น ดวงตาสีทองจ้องแพะอสูรอย่างอำมหิต เขาแสยะยิ้ม เหี้ยมแล้วใช้ลูกไฟสีเงินนับสิบลูกที่ส่งออกไปแบบกะจะ เผาทำลายแพะอสูรให้สิ้นซาก แต่แพะอสูรกลับไวกว่าที่ เขาคิดนัก มันสามารถหลบหลีกได้หมดเลยแม้จะอยู่ใน พื้นที่แคบ ๆ ก็ตามที ทำให้จิ้งจอกสูรต้องขมวดคิ้วยุ่งยาก ใจ

อยากจะใช้พลังทำลายมากกว่านี้อยู่หรอก แต่ติดที่ว่า มันไม่ใช่สถานที่กว้างและยังมีเทพินที่ไม่สามารถหลบหนี ได้อีก ทำให้เขาต้องจำกัดพลังให้เหลือน้อยลง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ