Fate Agent เจตอารักษ์

บทที่ 2 เด็กหนุ่มนอกคอกผู้ถูกขับไล่ (ตอน ปลาย)



บทที่ 2 เด็กหนุ่มนอกคอกผู้ถูกขับไล่ (ตอน ปลาย)

หลังจากนั้นไม่นานฟรีนก็กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับเด็กหนุ่ม หน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งโทรหาเมื่อครู่นี้เอง

“อ้าว มาเร็วจังนะครับ” เทพินทักมุคินก่อนจะหันไปส่ง สายตาล้อเลียนให้ฟรีนที่แอบหน้าแดงนิด ๆ เมื่ออยู่ใกล้ ผู้ชายคนนี้

เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่ง ริมฝีปาก สีชมพูเป็นธรรมชาติ ผมสีด่าขลับสั้น มีดวงตาคู่สวยสี น้ำตาลแดง รูปร่างสูงโปร่งแข็งแรงเหมือนนักกีฬา มีรอย ยิ้มหวานอบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ที่สาว ๆ คนไหนเห็นเป็น ต้องหลงใหล บุคลิกโดยรวมดูเป็นผู้ชายอบอุ่นอ่อนโยน ราวเจ้าชายเลยทีเดียว

“ก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์มาเลยเร็วหน่อย รถก็จอดอยู่หน้า ร้านนั่นแหละ” มุคินตอบกลับมา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่าง ข้างเทพิน เด็กหนุ่มตาสีม่วงทําท่านึกเล็กน้อยก่อนจะพยัก หน้าเข้าใจ

“แล้วสอบเป็นยังไงบ้างล่ะคิน” ฟรีนถามขึ้นมาหลังจาก นั่งที่กันเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มสุดหล่อหันมายิ้มให้เพื่อน สาวคนสวยก่อนจะตอบอย่างภูมิใจ
“ทำได้แน่นอนอยู่แล้ว”

“คงได้ที่หนึ่งทุกวิชาสมใจหวังแน่นอนครับ” เทพินเอ่ย หยอกเย้าอย่างนึกสนุก

“แหม ทำเป็นพูดไปเทน นายเองก็ได้ทอปบางวิชา เหมือนกันนะ” ฟรีนแซวเพื่อนหนุ่มที่ดูเฉยชากับการสอบ คนนี้บ้าง เทพินกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วไหวไหล่

“ก็แค่บางวิชาที่ดูแล้วมันมั่วได้ง่าย ๆ เท่านั้นแหละครับ”

“เหรอ~ !!” สองหนุ่มสาวประสานเสียงใส่คนมั่วข้อสอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างสนุกสนาน พวกเขา ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเทพินมั่วข้อสอบ ก็ในเมื่อเด็กหนุ่มตา สีม่วงคนนี้ไม่เคยได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เลยสักครั้ง และ ในบางวิชาก็คะแนนสูงอย่างผิดวิสัยด้วยซ้ำไป

แม้ท่าทางของเขาจะเรียบเรื่อยจนดูไม่ออกว่าเรียนเก่งก็ เถอะ

“แต่ยังไงทอปของปีนี้ก็คงไม่พ้นนายหรอกคิน” เทพินพูด ก่อนจะหยิบขนมปังกระเทียมขึ้นมากินบ้าง “เธอเองก็น่า จะติดหนึ่งในสามกับเขาด้วยมั้งฟรีน”

“คิก ๆ ฉันว่านายก็ติดหนึ่งในสิบเหมือนกันนั่นแหละ”ฟรีนทำหน้าทะเล้นใส่คนเรียนดีแต่ไม่ยอมรับ

เทพินยิ้มขำแล้วส่ายหน้าพลางจุ๊ปากเบา ๆ

“จ๋ ๆ มันก็ไม่แน่หรอกครับ”

“นายก็ชอบแถไปเรื่อยจริง ๆ นะเทพิน ยอมรับเถอะว่า นายน่ะเรียนดี เหมือนกับพี่ ๆ ญาติ ๆ นายที่เรียนกันเก่ง ๆ จนออกทีวีบ่อย ๆ นั่นไง เป็นถึง ‘ไกรา’ ผู้โด่งดังเลยนะ เว้ย” มุคินส่ายหน้าอย่างปลง ๆ กับนิสัยของเพื่อนตา ม่วงคนนี้ที่ดูท่าจะไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ เลย

เทพินถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเท้าคางกับโต๊ะ แล้วเสมองไปทางอื่นอย่างไม่อยากจะต่อบทสนทนาด้วย

“เลิกพูดถึงพวกนั้นสักทีเถอะน่า พวกเขาเรียนเก่งหรือ เป็น ‘ไกรา’ ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมซะหน่อย ผมมันก็แค่พวก นอกคอกเท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มพึมพำออกมาเสียงขุ่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจนักกับเรื่องที่พูด

เฮอะ ! ใครจะไปชอบใจลงกันเล่า

“เทน ๆ คิดอะไรอยู่น่ะ ทำหน้าซะน่ากลัวเชียว” ฟรีนที่ เห็นเพื่อนตาสีม่วงเงียบไปนานก็สะกิดแขนเรียก เขาหันกลับมามองแล้วยิ้มแห้ง ๆ ใส่

“คิดเรื่อยเปื่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” เทพินตอบแล้ว โบกมือ ปัด ๆ อย่างไม่ใส่ใจ

“จริงเหรอ ? แต่หน้าตานายดูไม่ดีเลยนะเทน จะกลับ บ้านก่อนไหม ? ” มุคินถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย เด็กหนุ่ม ตาสีม่วงส่ายหน้าไปมายิ้มกว้างขึ้นแล้วตอบ

“ไม่ต้องหรอก ก็บอกแล้วว่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ ไม่ได้เป็นไข้อะไร

“แน่นะ”

“แน่นอนครับ หน้าอย่างผมไม่ป่วยง่าย ๆ หรอกน่า” ว่า แล้วเขาก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง พร้อมกับเบ่งกล้าม ให้อีกฝ่ายดูไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วฟรีนกับมุคินก็หัวเราะ ตามทันที เพราะมองไม่เห็นกล้ามของอีกฝ่าย เห็นก็แต่ แขนผอมบางที่ถูกบีบให้ดูนูน ๆ เหมือนกล้ามเท่านั้น

“หัวเราะกันสนุกเลยนะ อาหารมาเสิร์ฟแล้วจ้ะ” เสียง หวานเอ่ยแทรกขึ้นมากลางวงเสียงหัวเราะ พร้อมกับ อาหารร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย พนักงานเสิร์ฟจัดการ วางอาหารลงตรงหน้าเด็กทั้งสามคนได้อย่างถูกต้องเสร็จ เธอก็รีบออกมาทันทีเพื่อไปทำงานของเธอต่อ
“กินกันเลยเถอะ เดี๋ยวจะได้แยกย้ายกลับบ้านเลย” เทพินพูดกับเพื่อน ๆ ก่อนจะลงมือตักอาหารกินก่อนใคร ด้วยความหิว ถึงแม้จะกินสลัดและขนมปังรองท้องไปแล้ว ก็ตาม

“หา ! กินเสร็จกลับเลยเหรอ?” ฟรีนโพล่งขึ้นอย่างตกใจ “ไม่อยู่เดินเที่ยวซื้อของก่อนล่ะเทน”

“นั่นสิ สอบเสร็จทั้งทีไม่คิดจะผ่อนคลายหรือไงเทน” มุคิ นว่าเสียงสูง ปกติแล้วสอบเสร็จเทพินก็ชอบมาเดินเที่ยว ในเขตนี้กับฟรีนทุกครั้งนี่นา

“ไม่ล่ะ เหนื่อยแล้วอยากจะพักน่ะ” เทพินยังคงก้มหน้า ก้มตากินต่อไป “ถ้าพวกนายอยากเดินเที่ยวก็ไปเดินกัน สองคนแล้วกัน”

“บ้า ! นายไม่ไปฉันก็ไม่ไปหรอก”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วใส่ก่อนจะเขกหัวเด็กหนุ่มตาสีม่วงไปที อย่างหมั่นไส้ ส่วนเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม้ตอนแรก จะแอบดีใจเล็ก ๆ ที่เพื่อนเปิดทางให้ แต่เด็กหนุ่มสุดหล่อ กลับไม่รู้เรื่อง ปิดทางเสียเองแบบนี้ ทำให้ฟรีนจ่อยลงไป ถนัดตาเลย

เห็นแบบนั้นแล้วเทพินก็ต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ หันไปจ้องหน้ามุคินเขม็ง “นายก็ไปกับฟรีนหน่อยไม่ได้ไงดิน เพื่อนกันทั้งนั้นนะ”

“ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่นายก็รู้นี่ ถ้าขืนไปกันสองคน เดี๋ยวก็เป็นข่าวลือทั่วโรงเรียนอีก เหมือนเมื่อตอนมัธยม ปลายปี 1 ที่ฉันไปเดินเป็นเพื่อนฟรีน รุ่นน้องแล้วถูกหาว่า เป็นแฟนน่ะ บอกตรง ๆ แก้ข่าวเหนื่อยมาก ! ฉันเลยไม่คิด จะหาเรื่องให้เป็นข่าวรอบสองไง”

พูดแล้วเด็กหนุ่มก็ทำท่าขยาดออกมาให้เพื่อนทั้งสองได้ หัวเราะ

“มันคงไม่มีหรอกน่านายมุคิน เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเรา เพื่อนกัน คบกันมาตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่งจนตอนนี้ใกล้ จะจบปีสองเข้าไปแล้ว ใครมันจะเอาไปเป็นข่าวครับ” เทพินพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะใส่คนขี้กลัว

“นายเองก็เคยเป็นข่าว ”

“แต่ข่าวผมไม่ได้ดังไง เพราะหน้าตาไม่ดี”

“ชิ ! ยังไงก็ไม่เอา ! กันไว้ดีกว่าแก้นะรู้ไหม !!” มุคินยัง ยืนยันคำเดิม

ส่วนคนกลางอย่างฟรีนก็ไม่รู้จะไปทางใครดี ถึงใจจริง จะแอบเอียงไปทางเทพินก็เถอะ แต่จะให้เข้าข้างเลยก็คง ดูไม่ดี เด็กสาวคนสวยเลือกที่จะนั่งกินเงียบ ๆ แล้วมองสองคนเถียงกันไปมาแทน

“นาย… เรื่องมากกว่าที่คิดนะ” เทพินยกมือขึ้นเกาหัว อย่างจนปัญญาจะช่วยเพื่อนสาวแล้ว นายคินก็ช่างหัวดื้อ เหลือเกิน

“นายนั่นแหละหัวดื้อ” คินเถียง “กิน ๆ ไปได้แล้ว กิน เสร็จแล้วเดี๋ยวไปส่งที่บ้าน

“นายไปส่งฟรีนเถอะ ผมเอารถมา” เทพินว่าด้วยท่าทาง นิ่ง ๆ น่าเชื่อถือ แต่ที่จริงแล้วเขาโกหกออกไปคำโต เลยเชียว เขาไม่ได้เอารถมาจริง ๆ ที่พูดไปนั่นแค่อยาก สนับสนุนเพื่อนเท่านั้นเอง

“งั้นเหรอ… เออ ก็ได้” มุคินยอมรับง่าย ๆ ถึงแม้จะอยาก ขัดแต่ก็ ไม่รู้จะไปขัดตรงไหน เลยต้องก้มหน้ายอมรับไป ฟรีนที่นั่งเงียบส่งสายตายินดีให้กับเพื่อนคนเก่งของเธอที่ ช่วยเหลือ ก่อนจะพูดปิดการสนทนา

“งั้นก็รีบกินเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะเย็นหมด

หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนก็แยกทาง กัน เทพินก็เดินแยกออกมาคนเดียว เขาแวะซื้อของสด ภายในตลาดก่อนกลับบ้าน เพราะเขาอยู่บ้านเพียงลำพัง เลยต้องซื้อของไปตุนเอาไว้เอง
เทพินอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ แถวชานเมือง บ้าน ที่พักอาศัยก็เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เขาพักอยู่ที่นี่คนเดียว มาได้สามปีโดยไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยดูแล มีเพียงเงินที่ส่ง มาให้เดือนละครั้งเท่านั้นที่แสดงออกถึงความใส่ใจเล็ก ๆ ของคนในตระกูล ยังดีมีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือบ้าง ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยวนัก

แต่อันที่จริง เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ล่ะนะ

อีกทั้งบรรดาคนในตระกูลเองก็ไม่มีทางออกมายังชนบท แห่งนี้ แน่ ๆ เพราะในพื้นที่ที่เขาพักอาศัยเป็นพื้นที่ของ ‘ผู้ไร้พลัง’ เป็นคนธรรมดาผู้ไม่เป็นที่รักของเหล่าทวยเทพ

ในประเทศ ‘อินฟลัว’ แห่งนี้ผู้ไร้พลังคือชนชั้นกลางไปถึง ชนชั้นล่าง ในขณะที่ผู้มีพลังจะถือเป็นชนชั้นสูง ถึงการ ปกครองจะไม่ใช่ระบอบกษัตริย์แต่ก็แบ่งชนชั้นกันอย่าง ชัดเจน ผู้ไร้พลังจะอยู่ในเมืองชั้นนอก ขณะที่ผู้มีพลังอยู่ เมืองชั้นใน แน่นอนว่าระดับความเจริญก้าวหน้าของเมือง แตกต่างกันมาก

ที่แบ่งชนชั้นอย่างหนักเช่นนี้เป็นเพราะสมัยก่อนผู้มีพลัง คือผู้ที่ได้รับพรจากเทพ จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ สถานะจึงเป็นกึ่งเทพ ด้วยความหยิ่ง ยโสจึงได้สร้างเมืองแบ่งแยกชนชั้นขึ้น เรื่องของผู้ได้รับ พรนั้นมนุษย์ทั่วไปไม่อาจรับรู้เรื่องของพวกเขานอกจากสถานะความเป็นกึ่งเทพที่ต้องถูกยกย่อง สรรเสริญ

สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงผู้มีพลังคือ ‘ภูต’ ซึ่งบ่งบอก ลักษณะพลังของเทพที่มอบพรให้

ผู้มีพรเทพถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘ไกรา’

เทพินเกิดในตระกูลของผู้ได้รับพรจากเทพที่สืบทอด ต่อกันมา เขาที่ควรเกิดมาพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้มี พลัง ทว่าทุกสิ่งกลับไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น เมื่อเขาเกิด มาพร้อมกับ ‘พลัง’ ที่ควรมีแต่ ‘ไร้ภูติ’ ข้างกาย แปลก ประหลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แน่นอนว่าเขาไม่ จัดว่าเป็นไกราอยู่แล้ว มีพลังแต่ไร้ภูตถูกนับว่าเป็นผู้ไม่ ได้รับพรแห่งเทพล่ะนะ

ฉะนั้นเขาถึงถูกจัดเป็นเด็กนอกคอก… และถูกขับไล่

ออกมา

แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ไปเสียหมด อย่างน้อยเขาก็ได้อิสรภาพ ไม่ต้องถูกผูกติดกับภาระหน้าที่ของตระกูลอันแสนวุ่นวาย

เทพินเลือกซื้อของเสร็จก็เดินกลับบ้านที่อยู่ห่างจากเขต สถานีรถไฟไปไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่นั่นก็ไม่ได้เป็น ปัญหาอะไรสําหรับเด็กหนุ่มตาสีม่วงที่ร่างกายแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป

เขาเดินเข้าไปในบ้านปิดประตูอย่างเรียบร้อย ถอด รองเท้าวางบนชั้นแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่ระมัดระวัง ตัวเลยสักนิด เดินเข้ามาในบ้านได้เพียงสามก้าวก็มีร่าง สีขาวขนาดเท่าลูกบอลพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวเขาเต็มแรง ร่างเล็กหงายหลังไปในทันทีพร้อมกับข้าวของในมือที่ กระจัดกระจาย

ดวงตาสีม่วงอ่อนไม่ได้ก้มมองเจ้าสิ่งที่พุ่งชนที่ขณะนี้ กําลังเอาขาตบหน้าท้องเขาอย่างเมามัน และดูเหมือนแค่ เท้าจะยังไม่สะใจมันยังใช้หางช่วยตบอีกต่างหาก เขาท่ เพียงแค่กลอกตาไปมาก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ ติดจะกระด้างเล็กน้อย

“กลับมาแล้ว ขอโทษที่ให้รอ

เขาดันลืมไป ถึงเขาจะเป็นมนุษย์คนเดียวในบ้าน แต่ ยังเหลือที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่อีกหนึ่งตัว… เป็นจิ้งจอกสีขาว ‘อสูร’ สัตว์เลี้ยงของเขาเอง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ