ยั่วสวาทท่านอ่องโฉมงาม

ตอนที่ 56 เรียนรู้จากอาจารย์



ตอนที่ 56 เรียนรู้จากอาจารย์

ในการเดินจากตีนเขาไปยังยอดเขาต้องใช้เวลา ทั้งหมด 2 ชั่วยาว ในระหว่างทางมีโรงน้ำชาอยู่หนึ่งแห่ง เพื่อที่จะได้ขายน้ำชาให้กับคนที่เหนื่อยจากการเดินขึ้นเขา

ระยะทางแค่นี้ไม่มีผลอะไรกับผู้มีวรยุทธอย่างไม่ จื่อเฟิงและจินมู่อยู่แล้ว อย่าเอ่ยถึงเดินขึ้นเขาเลย พวกเขา ใช้วิชาตัวเบาเดินขึ้นเขาก็ถือว่าไม่ใช่ที่เรื่องยากลำบากอะไร

แต่ทว่า สําหรับหลินซีนเยียนและอี้เซิง พวกเขาต้อง สิ้นเปลืองแรงไปมาก

ระหว่างทาง 2 คนนั้นก็จะเดินไปเลือกดูของไปตาม ร้านค้าริมทาง จนเดินมาถึงกลางเขาทั้ง 2 คนก็ถือของ พะรุงพะรัง เมื่อมาถึงกลางเขา หลินซีนเยียนบ่นว่าเดินต่อ ไปไม่ไหวแล้ว เอะอะก็บอกว่าขอพักก่อน

เมื่อ โม่จื่อเฟิงมอง 2 คนนั้นก็ถอดถอนหายใจอย่าง ฉุนเฉียว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงมองไปยังโรงน้ำชาที่ ตั้งร้านกันอย่างลวกๆ อยู่ริมทางด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ เอามาก จะให้เขาดื่มชาคุณภาพต่ำในที่แบบนี้ ฝันไปเถอะ!

“สามี พวกเราเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ หากเจ้าไม่อยากดื่ม ชาที่นี่ก็เดินล่วงหน้าไปก่อนได้เลย อีกสักพักข้ากับอี้เซิงจะ ตามไปทีหลัง ดีหรือไม่? “หลินซีนเยียนไม่สนว่าเขาจะทำ หน้าลำบากใจแค่นี้ เพียงจูงมืออี้เซ็งเข้าไปนั่งในร้านน้ำชา จากนั้นก็รินชาใส่ถ้วยให้ตนเองและอี้เซิง
โม่จื่อเฟิงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์นัก ยังกล้ารินชา ใส่ถ้วยแล้วดื่มอีก ถ้วยนั้นไม่รู้ว่ามีใครต่อใครเคยใช้แล้วบ้าง เขาขมวดคิ้วแน่น “ช่างเถิด จินมู่ ตามพวกเขาไปแล้วกัน”

พอหลังจากพูดจบ เขาก็เดินขึ้นเขาไปโดยไม่หันกลับ

ไปมองคนพวกนั้นอีกเลย

หลินซีนเยียนแอบเบะปากลับหลังเขา จากนั้นก็หันมา ยิ้มให้กับจินมู่ “หัวหน้าจินมู่ ท่านก็มาดื่มชาก่อนเถิด”

จินจู่ไม่ได้เรื่องมากอะไร เพียงนั่งลงดื่มชากับพวกเขา

“หัวหน้าจินมู่ ข้าขอถามท่านสักเรื่องได้หรือไม่ ? “หลิน ซีนเยียนรินน้ำชาให้จินมู่อย่างกระตือรือร้น

“แม่นางหลินอยากถามอะไรก็รีบถามมาได้เลยขอรับ

“จินมู่เป็นคนซื่อตรงและเปิดเผย เพียงแค่เอ่ยขึ้นเขาก็จะ รับปากทันที

หลินซีนเยียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หัวหน้าจินมู่ ท่าน ว่าอี้เซิงสามารถฝึกวรยุทธได้หรือไม่ ? ”

คิดไม่ถึงว่านางจะถามคำถามนี้ จินมู่มองไปที่อี้เซิง คิ้วขมวดติดกัน “แม่นางอยากให้ข้าสอนวรยุทธให้เด็กคนนี้

รึ?”

“เหอเหอ”หลินซีนเยียนหัวเราะเก้อเขิน “ข้าว่าหัวหน้า จินมู่เป็นคนตรงไปตรงมา งั้นข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว หากหัวหน้าจินมู่ช่วยชี้แนะให้เขา ข้าคงมีความสุขมากอย่างแน่

จินมู่ฟังไปดื่มชาไป ตอนที่วางถ้วยน้ำชาลงก็ทำท่า ขมวดคิ้ว เขาเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “แม่นางหลิน ไม่ใช่ข้า ไม่อยากรับปาก แต่ข้าแต่องครักษ์ประจำตัวของท่านอ๋อง ไม่มีเวลามาสอนเด็กคนนี้เท่าไรนัก เกรงว่าจะทำให้เด็กเสีย เวลาเปล่าประโยชน์เอาได้ ”

เขาพูดจาอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ หลินซีนเยียนเข้าใจ เหตุผลนี้ดี แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวัง

จินมู่เห็นนางทำหน้าผิดหวัง พอคิดไปคิดมาก็เอ่ยขึ้น “แต่ว่า….หากแม่นางหลินอยากให้เขาฝึกวรยุทธล่ะก็ ข้าลอง คิดวิธีได้แล้ว ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทนลำบากได้หรือไม่”

หลินซีนเยียนตาสว่าง รีบตอบไปทันที “เขาไม่กล้า ลำบากแน่ เพียงทำให้เขาเป็นคนแข็งแกร่งได้ ไม่ว่าจะ ลำบากแค่ไหนเขาก็ทนได้ ! จริงหรือไม่ อี้เซิง ? ”

เมื่อเรียกชื่ออี้เซิง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที เขามอง ไปที่หลินซีนเยียนแล้วก็มองไปที่จินมู่ จากนั้นก็พยักหน้า อย่างจริงจัง

เมื่อจิมมู่เห็นว่าทั้ง 2 คนนี้เอาจริงเอาจังอย่างมาก เขา ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีก 2-3 วัน ข้า จะเขียนจดหมายส่งไปให้ศิษย์พี่ของข้า แต่เขาคงจะไม่ ยอมรับอี้เซิงเป็นศิษย์ได้โดยง่ายหรอก วรยุทธของศิษย์พี่ ข้าคนนั้นห่างไกลเกินกว่าของข้าอยู่มาก เขาเป็นคนที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง มักจะชอบออกเดินทางไปทั่ว หากเขา ยอมรับ เชิงเป็นศิษย์ เกรงว่าอี้เซิงจะต้องติดตามเขาไปฝึก วิชาอยู่หลายปี นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ จะยืนหยัดได้ถึงที่สุดหรือไม่… ”

“ข้าทำได้!”ครั้งนี้ หลินซีนเยียนไม่ได้เรียกอี้เซิง เขาก็ หันหน้าไปยิ้มให้หลินซีนเยียนอย่างมั่นใจ หากวรยุทธของ คนผู้นั้นเก่งกาจจริงล่ะก็ เขาต้องยอมไปเรียนด้วยอย่าง แน่นอน ขอเพียงวันนั้นที่เขาฝึกวิชาได้สำเร็จลุล่วง บุรุษผู้ นั้นอาจจะไม่มารังแกเธอได้อีกไม่ใช่หรือ ?

หลินซีนเยียนไม่รู้ว่าอี้เซิงคิดอะไรอยู่ในใจ แต่พอได้ ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็ยิ้มให้เขาอย่างปลื้มปีติ “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าอี้เชิงของเรานั้นเก่งที่สุด ! ”

อี้เซิงเขินจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่เธอมาลูบหัว อย่างปลอบประโลมใจ

“เช่นนั้นก็ดี ข้าเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้แล้ว ไม่เลว เลยทีเดียว รอกลับถึงจวนก่อน ข้าจะติดต่อกับศิษย์พี่ของข้า ให้”จินม่รับปากทันที ทำให้หลินซีนเยียนและอี้เชิงดีใจจน ยิ้มไม่หุบ

หลังจากที่ดื่มชาไปสักพักก็ต้องเริ่มเดินทางกันต่อ

ใครๆ ก็พูดว่าสภาพอากาศยากจะคาดเดา คำพูดนี้เชื่อ ถือได้อย่างแน่นอน ตอนแรกแสงแดดยังเจิดจ้าอยู่เลย พอ มาถึงตอนนี้ อีกสักพักก็มามีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
“ข้างหน้าไม่ใกล้กับหมู่บ้าน ข้างหลังก็ไม่ใกล้กับร้านค้า พวกเรารีบไปหาที่หลบฝนกันเถอะ”จินมู่แหงนหน้ามองบน ท้องฟ้า แล้วหันไปพูดกับทั้ง 2 คนที่เดินมาตามหลังมา

ระหว่างทางมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็รีบวิ่งลง เขา หรือไม่ก็หาที่หลบฝนกัน

โม่จื่อเฟิงน่าจะถึงยอดเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ สามารถลงเขาได้ ทำได้เพียงหาที่หลบฝนกัน หลินซีน เยียนพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเห็นใจ”ข้าเห็นพวกชาวบ้าน ต่างไปหลบฝนกัน พวกเราตามพวกเขาไปกันเถอะ ”

จินม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงเดิน ตามชาวบ้านไปบนทางเดินเล็กๆ เพื่อไปหาที่หลบฝนกัน

พอพวกเขาเดินไปสักพักก็เห็นวัดลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง ซึ่ง เป็นวัดที่ทรดโทรมอย่างมาก ไม่เหมือนวัดที่ตั้งบนทางเดิน บนภูเขา 2 ข้างเหล่านั้นที่ผ่านการบูรณะใหม่ได้อย่างงดงาม จนดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากกว่า

ในที่สุดฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก หยาด ขนาดใหญ่เท่ากับเม็ดไข่มุก เมื่อหยดมาลงสู่พื้นได้ทำให้น้ำ ฝนที่เทลงมาเกิดเป็นหลุมขนาดเล็กๆ

พวกชาวบ้านต่างก็วิ่งหลบฝนที่ชายคาของวัดลัทธิ เต๋าแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะตอนนี้เสื้อผ้าของทุกคนได้ เปียกโชกไปหมดแล้ว
จิน ก็พาทั้ง 2 คนมาถึงหน้าวัดลัทธิเต๋า พร้อมกับชาว บ้านอีกหลายคนเพื่อมายืนหลบฝนตรงนี้ด้วย

ประตูขนาดใหญ่ของวัดลัทธิเต๋าที่กำลังปิดสนิทอยู่ ชาวบ้านพวกนั้นที่มายืนก็ไม่ได้เคาะประตูแต่อย่างใด เพียง แค่มายืนหลบฝนด้านหน้าวัดเท่านั้น แต่ละคนหนาวสั่นจึง เอามือมากอดตัวเอง

เดิมทีเค้าโครงรูปร่างของหลินซีนเยียนถือว่างดงาม ได้สัดงส่วนอย่างมาก แต่พอหลังจากเสื้อผ้าเปียกโชกไป ด้วยน้าฝน ทําให้มองเห็นเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอได้ ชัดเจนเลยทีเดียว

เมื่อจินมู่มองมาก็รีบเบี่ยงหน้าหนีไปเกือบไม่ทัน แม่ นางหลิน พวกเราลองเข้าไปในวัดลัทธิเต๋าดูว่ามีคนอยู่หรือ ไม่ หากว่ามีคนอยู่จะได้หาเสื้อผ้าใหม่ๆ มาเปลี่ยนให้กับ ท่าน”

หลินซีนเยียนที่ยืนกอดอกตนเอง เริ่มรู้สึกถึงสายตา อันเร่าร้อนจากผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นมองมา “งั้นก็ดี พวกเราลองเข้าไปดูกันเถอะ”

เมื่อเธอเห็นด้วย จินมู่ก็หมุนตัวไปเคาะประตูใหญ่ ของวัดลัทธิเต๋า หลังจากผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้า จากด้านในดังมา ใบหน้าของเขาแสดงความปีติยินดีเป็น อย่างมาก ตอนที่ประตูได้เปิดออก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา กลับหุบลงทันที
ที่แพ้คนที่มาเปิดประตูเป็นนักพรตหญิงคนหนึ่ง

ละชาวบ้านพวกนั้นไม่ยอมเข้าไป หากว่าวัดลัทธิ เท่านี้เป็นของนักพรตหญิง คงไม่สะดวกให้ผู้ชายเข้าไป เท่าไร


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ