ยั่วสวาทท่านอ่องโฉมงาม

ตอนที่ 67 ลูกสาวที่มีความทะเยอทะยาน



ตอนที่ 67 ลูกสาวที่มีความทะเยอทะยาน

คำก็สัตว์เลี้ยง สองคำก็สัตว์เลี้ยง ดั่งเป็นมีดสัก เล่มที่แทงแล้วแทงอีกบนหัวใจของนางอย่างสาหัสสากรรจ์ เขาไม่เคยมีความจริงใจอย่างที่คิดไว้ นางทุ่มเทประจบ อย่างยากลําบาก บางทีในความคิดของเขาเหมือนเป็น เพียงการดูสัตว์เลี้ยงที่ใช้ลูกเล่นเพื่อได้รับความโปรดปราน เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา นั่น จึงเป็นสาเหตุที่เขาปล่อยนาง

โม่จื่อเฟิงก้มศีรษะลงไปจุมพิตทาบเรียวริมฝีปากแดงระ เรือของนาง ริมฝีปากอุ่นๆสัมผัสเข้าด้วยกัน ยามเมื่อนาง ไม่ตอบสนอง เขาจึงถอยออกไป

หลังจากที่รอโม่จื่อเฟิงจากไป หลินชินเยียนกลับไม่ ร้อนรน แต่กลับยืนอยู่ใต้ต้นเหมยเป็นเวลานานสองนาน

ในค่าคืนนั้น หลินซินเยียนนอนหลับด้วยจิตใจที่ไม่สงบ จนกระทั่งวันถัดมาจินมู่มาแจ้งให้ทราบว่าสมควรแก่เวลาที่ จะกลับจวนอ๋อง นางจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วจ้องที่รอยคล้ำ

รอบดวงตา

เมื่อคืนมีฝนตกลงมา ในรุ่งเช้านี้จึงปรากฏรุ้งกินน้ำ สายหนึ่งที่ขอบฟ้า เพราะรุ่งสายนี้เหล่าหนุ่มสาวผู้ศรัทธา ที่อาศัยอยู่ในวัดจึงครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง วัยรุ่นหนุ่มสาว

บางส่วนเกาะกลุ่มคุยกันแต่เช้าเพื่อค้นหาปลายสายรุ้ง

ในยามที่หลินซินเยียนกำลังเตรียมจะออกจากวัด วัยรุ่นเหล่านั้นก็กำลังเตรียมจะออกเดินทาง ในเรื่อฟังเหมือน มองด้วยสายดาราเรียนเสนานนามว่าอยากไป ไม่?

นางตะลึงอย่างไร คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามคน เมื่อ ได้ใคร่ครวญคุณนางจึงสายศิรษะ “ไม่ดีกว่า และยังต้องกลับ ไปศึกษางานของหล่อนกัน

ไม่จื่อเพิ่งจึงพยักศีรษะสั่งให้วันออกเดินทาง

เส้นทางบนภูเขาไม่ค่อยดีนัก พวกเขาได้แต่ที่นำมา ตลอดทาง จนนั่งประคองฉันฟัง ไม่เชื่อเพื่อประกอ หลินชิ้นเยี่ยม ความเร็วในการออกหมาขาดเร็วกว่าการ ขึ้นเขาตั้งไม่รู้กี่เท่า

ด้วยความพยายามอยู่ค่อนวันหลายคนก็กลับมาถึงเมือง เพิ่ง ในยามที่ถึงหน้าประตูเมือง ไม่ถือเปล่อยหลับ นเขียนลงจากหลังม้า สั่งให้เดินทางสองกลับจาน ส่วน เราจะมากลับไปล่วงหน้าเพียงลำพัง

หลินซินเทียนจ้องมองเงาร่างแผ่นหลังของเขาที่จาก ไป อดที่จะยิ้มเย็นไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เขาก็ต้องเช ยนของผู้สูงส่ง ในบางครั้งบางรู้สึกว่านราษย่างไร้สาระ เมื่อยามจะทำเรื่องที่ต้องการ เทพจะมาประคองขึ้นสวรรค์ แต่เมื่อถึงยานกลางวัน กลับแสร้ง ทำเป็นอาชนะ แสร้งทำ เป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยามเมื่อปล่อยตามอารมณ์เปลี่ยนเป็นคน ธรรมดาโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ไม่ใช่ว่านางเป็นเมียเก็บที่ถูกซ่อนไว้อย่างนั้น หรือ? ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นแท่นตำแหน่งได้

“แม่นางหลิน พวกเราไปกันเถิด” เนื่องจากเหลือม้า เพียงแค่ตัวเดียว จีนจึงลงจากหลังม้าเพื่อเดินเท้ากลับ กับพวกนาง

หลินซินเยียนจูงมือของอี้เซิงแล้วพยักศีรษะให้กับจิน

ทั้งสามมุ่งตรงไปยังจวนอ๋อง ในขณะที่ใกล้จะถึง ถนนสายหลักสู่จวนอ๋องได้เห็นริ้วขบวนแถวอันใหญ่โตเดิน ผ่านที่ด้านหน้าอย่างเป็นระเบียบ บนม้าที่นำหน้าขบวน มีขันทีระดับสูงนั่งอยู่ ริ้วขบวนนี้ออกมาจากพระราชวัง ดู เหมือนว่าทิศทางที่กําลังไปคือจวนของอู่เซวียนอ๋อง

“ได้ยินว่านี่เป็นพระราชโองการสมรสพระราชทานของ ฝ่าบาท ครั้งนี้คุณหนูใหญ่สกุลเซียวได้สร้างคุณงามความ ดีที่ในนามเป็นทูตไปยังประเทศเป่ยหมิง เมื่อวานยังได้ขอ อนุญาตพระบรมราชโองการจากฝ่าบาทด้วยตนเอง

“สตรีสูงศักดิ์สกุลใหญ่โตร้องขอสมรสพระราชทานด้วย ตนเอง? นี่ นี่มันไม่ค่อย…

“ก็ใช่ แต่เรื่องที่คุณหนูใหญ่สกุลเซียวรักใคร่ชอบพอ อู่เซวียนอ๋องก็เป็นที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ครั้งนี้ถ้าไม่ถือ โอกาสขอพระบรมราชโองการ เกรงว่าคงจะไม่ได้นั่งตำ

แหน่งหวางเฟยของอู่เซวียนอ๋องเสียแล้ว เดือนหน้าก็เป็น วันคัดเลือกหญิงงามเข้าวังหลวงทุกสามปี มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากฝ่าบาทพบเห็นคุณหนูใดที่มีฐานะมั่งคั่ง เหมาะสมกับอเซวียนอ๋องก็จะเลือกให้มาเขานับหลายสกุล

“แต่ว่าเรื่องเช่นนี้ริเริ่มโดยฝ่ายหญิง นี่มันไม่ค่อย เหมาะกับกฎบ้านกฎเมืองสักเท่าไหร่นา

หลายๆคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ฟังจับใจความได้ว่า มี หนึ่งในญาติพี่น้องของคนที่เดินผ่านเป็นองครักษ์อยู่ในวัง หลวง และข่าวทั้งหมดก็ล้วนมาจากวังหลวง สำหรับข่าว ซุบซิบที่ใหญ่โตเช่นนี้มีความรวดเร็วในการแพร่กระจายที่ เห็นได้อย่างชัดเจน

หลินซินเยียนเหลือบมองจิน จินยิ้มอย่าง กระอักกระอ่วนโดยที่ไม่ได้กล่าวอันใด นางกลับเข้าใจ ข่าวสารเช่นนี้เกรงว่าพวกเขาน่าจะทราบอยู่ก่อนนานแล้ว

“แม่นางหลิน อย่างไรท่านอ๋องก็ได้ถึงวัยที่จะแต่งงาน แล้วขอรับ ดังนั้น…. จินม่อยากกล่าวอะไรบางอย่างแต่กลับ ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมมากล่าวต่อได้

“ไม่เป็นไร ข้าก็แค่สาวใช้อุ่นเตียงนางหนึ่งเท่านั้น เรื่องแต่งงานของท่านอ๋องยังห่างไกลสำหรับข้าที่จะพูด คุย” หลินซินเยียนฝืนยิ้ม นางไม่รักเขา ดังนั้นนางจึงไม่ สนใจ แต่ทว่าภายในใจคงยากที่จะหลีกเลี่ยงความไม่สบ อารมณ์ ไม่เกี่ยวกับความรัก เพียงแค่รู้สึกบุรุษจริงๆแล้ว ทำตามความต้องการทางร่างกายและแยกแยะคัดเลือก ภรรยาได้อย่างชัดเจน
กลับเป็นอี้เชิงที่คว้ามือของนางไว้ ความเกลียดชัง ที่รุนแรงปะทะขึ้นในดวงตา หลินซินเยียนตกใจ รีบดึงอี้เซิง ไว้ข้างลำตัวก่อนที่จินจะสังเกตเห็น เซ็งได้สติ จึงรีบก้ม ศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดความเกลียดชังในดวงตา

ของเขา

นางไม่สนใจหรอก จริงๆนะ

หลินซินเยียนถอนหายใจ จูงเชิงเดินไปตลอดทาง

ที่มุ่งสู่จวนอ๋อง

ในเวลานั้น ภายในห้องโถงแห่งจวนเซียวกั๋วกง เซียว เฉิงเหอชี้ไปยังบุตรสาวคนโตที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าตน ด้วยความโทสะจนเปล่งวาจาไม่ออก พระชายาวกงที่อยู่ ด้านข้างรีบส่งถ้วยชาร้อน

เซียวเฉิงเหอดื่มชาร้อนลงไปเพื่อดับโทสะในอก และตะโกนชี้ว่ากล่าวเซียวฉางเยว่ ไม่รู้จักความละอาย ทำไมข้าเซียวเฉิงเหอจึงได้ให้กำเนิดบุตรีที่ไม่รู้จักศักดิ์ศรี เช่นเจ้า? เจ้ารู้บ้างไหมว่ายามนี้ผู้คนทั้งเมืองพูดเกี่ยว กับสกุลเซียวของพวกเราว่าอย่างไร? ข้าเซียวเฉิงเหอผู้ เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายรุ่น กลับให้กำเนิดบุตรีที่ไม่รู้จัก มารยาทยางอาย เจ้าได้ทำลายชื่อเสียงบริสุทธิ์นับร้อยปี ของสกุลเซียวข้า

“ท่านพ่อ ! ข้ารู้ว่าผิด แต่ทว่า…ข้ามเสียใจ!” เซียวฉาง เยวโขกศีรษะอย่างหนักแน่นพลันกล่าวต่อว่า เดือนหน้าใน วังหลวงก็ใกล้จะคัดเลือกสาวงาม ข้าจะถูกกำหนดให้แต่งกับใคร แล้วใครจะได้แต่งให้กับอู่เซวียนอ๋องก็มิทราบได้ หากข้าไม่ใช้โอกาสนี้ขอร้องฝาบาท ก็อาจจะพลาดโอกาส ทองเช่นนี้!”

“อู่เซวียนฮ่องเสเพลนั่นมันมีอะไรดี?” เซียวเฉิงเหอ โกรธจนหน้าแดง อีกครั้ง อีกอย่าง เมื่ออำนาจอเซวีย นอ๋องอยู่เหนือฝ่ายต่อต้าน และยังมีแนวโน้มที่จะได้รับการ สนับสนุนอย่างใหญ่หลวง ในยามนี้เจ้ากลับนำสกุลเซียว ของข้าไปผูกเข้าไว้กับเขา นี่ไม่ใช่การผลักสกุลเซียวเข้า กองไฟหรืออย่างไร! ถ้าหากสกุลเซียวของข้าถูกทำลายใน น้ำมือของเจ้า ดูซิว่าข้าจะไม่ฆ่าบีบคอเจ้าเวรกรรมนี้ด้วย ตนเองไหม!”

เซียวเฉิงเหอยิ่งพูดยิ่งร้อนใจ นี่จึงเป็นสิ่งที่เขา กังวลมากที่สุด

ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงแสดงความอ่อนแอ เขาเป็นผู้นำ ขุนนางราชสำนักฝ่ายบุ๋น ส่วนเว่ยจวิ้นเป็นผู้นำบัญชาการ ทหารฝ่ายบู๊ และบวกกับกองกำลังขนาดใหญ่ของอู่เซวี ยนอ๋อง เช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรักษาสภาวะสมดุล อย่างหนึ่ง ถ้าหากสกุลเซียวเกี่ยวดองกับอู่เซวียนอ๋องก็จะ เป็นการทำลายสมดุลนี้ เมื่อถึงยามนั้นจะเกิดความชุลมุน อะไรบ้างก็ไม่มีใครที่จะกล้ารับประกัน

“ท่านพ่อ! อู่เซวียนมีทหาร พวกเรามีขุนนางฝ่ายวิชาการ สองสกุลรวมกันจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือเจ้าคะ? อีกทั้งท่าน ก็ได้บุตรเขยที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ย่อมดีกว่าลูกเขยที่ไร้ ประโยชน์ เมื่อเราอ่อนแอแล้วถูกคนกำจัดก่อน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย ในยามนี้ ใครๆต่างก็ต้องการให้ตนเอง จะแข็งแกร่งขึ้น ท่านพ่อกลับกลัวที่ตนเองจะแข็งแกร่งขึ้น ท่านพ่อ เมื่อไหร่กันที่ท่านเปลี่ยนเป็นคนขี้ขลาดตาขาว?

เซียวฉางเยว่เงยศีรษะขึ้น กล่าวด้วยเสียงอันแข็งขัน

เซียวเฉิงเหอหันมามองลูกสาวในทันที เมื่อได้เห็น ภาพนั้นเขาพลันประหลาดใจ ท่าทางเช่นนี้ดูเหมือนว่า ความทะเยอทะยานของบุตรีมีมากมายกว่าเขายิ่งนัก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ