Super Bodyguard

บทที่ 018 อาจารย์สู



บทที่ 018 อาจารย์สู

“เย่หลิงเทียน นายออกมานี่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย” สู เสี่ยวจึงมองดูแล้ว หลังจากที่เย่หลิงเทียนพูดเสร็จ ตัวเธอเองเดิน ออกไปก่อน

“นักเรียนทุกคน พวกเธอนั่งกันก่อนนะ” เย่หลิงเทียนสั่ง นักเรียนคนหนึ่งไว้ แล้วก็เดินตามออกไป

“อาจารย์ส มีเรื่องอะไรเหรอ” เดินตามเสี่ยวนิ่งจนมาถึงตรง ปากทางบันได เย่หลิงเทียนถามเสี่ยวจึงขึ้นมา

“ทำไมนายถึงไม่รับไว้ นายโง่หรือว่าเป็นอะไร ถือว่าตัวนาย เก็บเงินรักษาค่าพยาบาลของเยซวงได้แล้ว พวกนายก็เลยไม่ ต้องการเงินแล้วเหรอ ค่าเทอมของเซวงในเทอมหน้าละ ค่าใช้ จ่ายชีวิตประจำวัน ค่าดูแลรักษาหลังจากนี้ละ มันไม่ใช่จำนวน เงินเล็กๆเลยนะ แม้ว่านายพอที่จะหามาได้ แต่ว่าเงินที่หามาได้ มันมากพอเหรอ เงินก้อนนี้นายเองไม่ได้ขโมยหรือแย่งมาจาก ไหน มันคือน้ำใจเล็กๆของอาจารย์และนักเรียนทั้งหมด ทำไม นายถึงไม่รับมันไว้” สูเสี่ยวจึงพูดออกมาด้วยความโกรธ

“ขอบคุณในความหวังดีของคุณอาจารย์ แต่ว่าเงินก้อนนี้ผม รับไว้ไม่ได้จริงๆ เย่ซวงเป็นน้องสาวของผม ตอนนี้พ่อแม่ของเรา ก็ไม่อยู่แล้ว ผมก็คือผู้ปกครองของเธอ ทั้งหมดนี้คือความรับผิด ชอบของผมและก็คือสิทธิของผม ผมมีมือมีเงิน ผมสามารถเลี้ยง ดูเย่ซวงได้ ผมไม่คิดและไม่ต้องการรับความช่วยเหลือของคนอื่นและอีกอย่าง ตอนนี้ผมก็เก็บสะสมเงินได้ทั้งหมดสำหรับค่า เครื่องมือ แล้วก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะรับเงินบริจาคนี้ด้วย แน่นอน ผมขอบคุณน้ำใจของอาจารย์และนักเรียนทุกคนจริงๆ” เย่หลิง เทียนพูดออกมาเบาๆ

“ไม่แปลกใจเลยที่ออู่ซินบอกว่านายคือท่อนไม้ นายมันก็คือ ท่อนไม้ท่อนหนึ่งนี่เอง เงินกองไว้ข้างหน้าแล้วนายยังไม่ต้องการ ค่ารักษาพยาบาลนายเก็บครบแล้วจริงเหรอ นายอย่ามาโกหก ฉัน นี่มันไม่ใช่เงินจำนวนเล็กๆ เลย ฉันทำความเข้าใจมา น่าจะ ใช้ประมาณที่แสนกว่าบาท นายจะหาเงินได้เยอะแบบนี้จากไหน กัน”

“สภาพครอบครัวพวกนายฉันรู้ดี ตั้งแต่เยซวงเข้าเรียนวัน แรกฉันเป็นคนดูแลเธอ ฉันเคยไปเยี่ยมบ้านของพวกนายมาหนึ่ง ครั้ง ช่วยเย่ซวงยื่นทุนการศึกษาเด็กยากจน เคยได้ยินเย่ซวงพูด นายเคยเป็นทหาร ถึงแม้ว่าตอนนี้นายจะออกจากกองทัพแล้ว ฉันว่าก็ไม่ได้มีเงินเท่าไหร่หรอกใช่ไหมเย่หลิงเทียน นายอย่าทำ เพื่อไม่เต็มใจในความภาคภูมิใจของตัวเองแล้วเพิกเฉยกับ ความเป็นความตายของน้องสาวจะได้ไหม” สูเสี่ยวจึงไม่เชื่อว่า เย่หลิงเทียนจะเก็บสะสมค่ารักษาพยาบาลของเซวงได้แล้ว

“ขอบคุณนะอาจารย์สู ผมเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลของเซวง ได้แล้วจริงๆ ทั้งหมดห้าแสนบาท ผมจ่ายเงินค่าผ่าตัดครั้งนี้ให้ กับโรงพยาบาลไปแล้ว สองแสนกว่าบาท แล้วก็ยังมีอีกสองแสน บาทสำหรับค่ารักษาหลังจากนี้ อาจารย์ ไม่ว่าผมจะรับหรือไม่ รับเงินก้อนนี้ แต่ว่า ผมยอมรับในน้ำใจครั้งนี้ของทุกคน ผมจะบอกกับเย่ซวง สอนให้เธอความกตัญญูตอบแทนบุญคุณ คนเทียนพูดออกอย่างตั้งใจ

นายโกหกเหรอ มันเกี่ยวกับชีวิตของเซวงเลยเสี่ยวจึงไม่มั่นใจจึงครอบครัวเยซวงเป็นอย่างและ ห้าแสนบาทไม่จำนวนเงิน น้อยๆเลย

เทียนหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่พูดว่า อาจารย์ผมบอกความจริงกับคุณละกัน ผมกับคุณพ่อของหล่อ ซินเซนต์ ข้อไว้ซิน หนึ่งแสนบาทให้ล่วงหน้าแล้ว ผมมีเงินมาจ่ายค่ารักษาให้กับเยซ

“เธอเป็นน้องสาวผม เป็นคนสำคัญที่สุดโลกนี้สำหรับผม ชีวิตผมมาล้อเล่นไม่ ได้หรอก หลังจากหนึ่งไป ผมเชื่อว่าผมความสามารถ พอจะเลี้ยงดูเธอจนเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะทำให้เธอ มีชีวิตดีกว่าได้ แต่ว่าก็มือมีเท้า พื้นฐานชีวิตของสองพี่น้องน่าจะปัญหาขอบคุณอาจารย์ส

“เป็นแบบมันมากเลย แล้วฉันหวังยอมรับ เงินบริจาคก้อนด้วยนะ เงินเยอะหน่อยมันเป็นเรื่องดีนะ อย่างยังช่วยเสริมค่าเลี้ยงดูของเย่ซวง แล้วอีกอย่าง นาย ทำหนึ่งเงินเดือนห้าแสนบาทเท่าว่าปกตินายไม่มีเดือนแล้ว ห้าแสนนี้จ่ายให้พยาบาลทั้งหมด พวกนายสองพี่น้องทุกที่ใช้กินกันยังไง” สูเสียวจึงยังพูดชักชวน เย่หลิง เทียน

“มันมักจะมีทางออกเสมอ ผมทำแบบนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวของ ผมเอง จริงๆแล้วก็สั่งสอนเยซวงอยู่เสมอ ผมหวังให้เธอเป็นผู้ หญิงที่พึ่งพาตัวเองได้คนหนึ่ง พอเจอปัญหาอย่างแรกต้องคิดที่ จะจัดการด้วยตัวเองก่อน ไม่ใช่ว่าคิดแต่ให้คนอื่นมาช่วยเหลือ อย่างเดียว เพียงแค่สามารถจัดการด้วยตัวเองก็ไม่ต้องไปขอ ความช่วยเหลือจากคนอื่นอีกเลย” เย่หลิงเทียนพูดออกมาอย่าง ตั้งใจ

พอได้ยินที่เย่หลิงเทียนพูดมา สูเสี่ยวฉิงตกตะลึง จากนั้นพยัก หน้า “ช่างเถอะ ฉันไม่โน้มน้าวนายอีกแล้ว ก็เหมือนกับที่อยู่ใน ให้ฉายากับนาย นายมันท่อนไม้ที่รู้จักเหตุผลเป็นอย่างดี โน้ม น้าวยังไงก็ไม่ได้ผล ฉันยอมแล้ว

“ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณนะอาจารย์ ขอบคุณที่คุณเป็นห่วง เยซวงของเรา” เย่หลิงเทียนพูดด้วยความจริงใจ

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันทำในสิ่งที่คนเป็นอาจารย์ต้อง ทำ ฉันถูกชะตากับเยซวงเด็กคนนี้ ฉันชอบเธอมาก ฉันคิดเสมอ ว่าเธอเป็นเหมือนน้องสาวของฉันจริงๆ แต่มีปัญหาที่นายจะ ต้องหาวิธีแก้ไข ตอนนี้เธอคือคนไข้ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวใน โรงพยาบาลทั้งวันไม่มีใครมาอยู่ข้างๆได้ยังไงกัน” สูเสี่ยวนิง ถามขึ้นมาอีกครั้ง

“มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ผมต้องทำงาน งานของผมกำหนดไว้แล้วว่าภายใน 24 ชั่วโมงของหนึ่งวันต้องไม่เป็นตัวผม เอง เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางที่จะมาดูแลเธอ เธอก็ไม่ใช่เด็กตัว เล็กๆแล้ว ปีนี้ก็19ย่างเข้า20ปีแล้ว ควรเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว ต้องเรียนรู้ดูแลตัวเองให้เป็น ผมหวังแค่ให้การผ่าตัดครั้งนี้ สำเร็จด้วยดี” เย่หลิงเทียนพูดเสร็จก็ถอนหายใจ

“แน่นอน นายวางใจเถอะ” สูเสียวนิ่งพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “ถ้าหากนายไม่รับเงินบริจาคก้อนนี้จริงๆ ฉันก็จะให้สภานักเรียน เอาเงินก้อนนี้บริจาคให้กับสภากาชาติก็แล้วกัน”

“ขอบคุณคุณจริงๆนะอาจารย์ ผมมีธุระต่ออีกผมออกมานาน มากไม่ได้ ผมไม่ได้อยู่กับพวกคุณแล้ว ยังไงขอบคุณหัวหน้า โรงเรียนของพวกคุณแทนผมด้วย ขอบคุณจากใจ” เย่หลิงเทียน พูดมันออกมาจากใจล้วนๆ จากนั้นหันหลังเดินจากไป

รอจนนักเรียนทุกคนกลับกันไปแล้ว เสี่ยวจึงยังไม่ยอมกลับ ไป และนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ของเซวง เอาผลไม้ที่ตัวเองซื้อมา ปอกกล้วยหนึ่งลูกแล้วส่งให้เยซวง

“ขอบคุณคะ อาจารย์” เย่ซวงพูดขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์หรอก อาจารย์คิดว่าเธอเหมือนกับ น้องสาวของตัวเองจริงๆ ขอโทษด้วยนะ อาจารย์ไม่รู้เรื่องพ่อแม่ ของเธอว่าท่านไม่อยู่แล้ว และไม่รู้อีกว่าเธออยู่คนเดียวที่โรง พยาบาลไม่มีคนเฝ้าอีก เพราะแบบนั้น ไม่กี่วันมานี้อาจารย์เลย ไม่ได้มาเยี่ยมเธอเลย”

“ไม่หรอกคะ อาจารย์ หนูขอบคุณอาจารย์จริงๆนะคะ อาจารย์อย่าไปโทษพี่ชายหนูเลยนะคะ คนแบบเขาก็นิสัยอย่างนี้แหละคะ เขาไม่ได้ดูถูกเงินก้อนนี้แน่นอนคะ เขาแค่ไม่ชอบรับของของคน อื่น”

“จริงๆแล้วฉันก็รู้ว่าเป็นเพราะฉันต้องรักษาตัวเขาเลยต้อง ลำบากมากมายเพื่อหาเงินมา ตอนที่ฉันเริ่มป่วย ได้ยินว่าค่า ผ่าตัดต้องใช้หลายแสนบาท เขาอยู่เป็นเพื่อนหนูที่โรงพยาบาล ทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน นั่งอยู่ตรงเก้าอี้คนเดียวข้าง นอกนั้น หนึ่งคืนต้องสูบบุหรี่ไปกี่ซองก็ไม่รู้ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาทำยังไงถึงได้เงินค่าผ่าตัดมาให้หนูตั้งหลายแสนบาท เขาก็ ไม่ยอมบอกหนู หนูเป็นห่วงว่าเพื่อการรักษาหนูเขาจะไปทำเรื่อง อะไรที่มันไม่ดีขึ้นมา” เย่ซวงพูดถึงตอนนี้น้ำตาก็ไหลพรากออก มา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ