ยั่วสวาทท่านอ่องโฉมงาม

ตอนที่ 37 เหมือนเสือที่ปกป้องลูก



ตอนที่ 37 เหมือนเสือที่ปกป้องลูก

“ข้า….”หลินซีนเยียนลำบากที่จะพูดจึงลังเลไปชั่วขณะ หนึ่ง เธอรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนหลอกง่าย แต่ถ้าบอก ความจริงไปล่ะ ? บอกว่าวิญญาณของเธอมาจากอีกภพหนึ่ง เหรอ ?

หากบอกไปแล้ว กลัวว่าเขาจะยิ่งไม่เชื่อกว่าเดิมอีก

“พูดมา ! “ความอดทนของโม่จื่อฟงเกือบถึงขีดสุด แรงที่มือได้เพิ่มหนักขึ้น

“ปล่อยข้าก่อน ข้าจะบอกเจ้าตามจริง”หลินซีนเยี่ยน บังคับพูดออกมา ตอนนั้นรู้สึกว่าเธอได้เหมือนตายไปแล้ว จริงๆ โม่จื่อฟงก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก”ที่จริง ข้ารู้เรื่องการ ออกแบบอาวุธทหาร”

“อ้อ ? “โม่จือฟงเหยียดยิ้มที่มุมปาก รอให้เธอพูดต่อ

หลินซีนเยียนเอ่ยขึ้น”ที่จริง ตอนข้ายังเด็กเคย ติดตามผู้สูงส่งท่านหนึ่งร่ำเรียนการประดิษฐ์อาวุธ เช่นนั้น ย่อมมองภาพวาดอาวุธนั้นออก ข้าประกอบภาพวาดอาวุธ หน้าไม้นั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะการออกแบบอาวุธ มันดูคุ้นมาก จึงพอเดาโครงสร้างอย่างคร่าวๆ ได้ ที่ข้าพูด ได้ก็บอกไปหมดแล้ว ข้าสาบานได้ว่าข้าไม่ใช่คนของสำนัก เทียนจี ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่สามารถพูดได้ หากฐานะของ อาจารย์รั่วไหลไป ชีวิตข้าจะไม่มีอยู่แน่”
เธอหวังว่าค่าพูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่งจะสามารถจบ เรื่องนี้ได้

“เข็มธนูที่เจ้ายิงทำร้ายคนในเรือนของข้านั้น เจ้าทำมัน เองรี ? “ไม่จองถาม

หลินซืนเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง นึกดอนที่เธอถูกขังอยู่ ในเรือนบนเขาได้ เธอเคยใช้ของเล่นที่ตนเองทำขึ้นทำร้าย คนในเรือนนั้นตอนนี้จึงเริ่มกลัวว่าช่วงเวลานั้นจะเป็นช่อง โหว่ได้

เธอพยักหน้า โม่จือฟงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก และหัน หน้าไปมองในลานบ้าน

ศึกในลานบ้านใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว คนชุดดำส่วน ใหญ่ล้มอยู่บนพื้น มีคนส่วนน้อยได้รอดออกจากการรบใน ครั้งนี้ อีกหนึ่งในนั้นก็ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากับตา เฒ่าสวี เก๋อ

“ปล่อยมันไปหรือยัง ? “โม่จื่อฟงถามจินมู่อย่างเย็นชา

“ทูลท่านอ๋อง ปล่อยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พอจินมู่ตอบเสร็จ ก็สั่งการให้เริ่มเผด็จศึก

“อิม ปล่อยมันกลับไปจึงสะกดรอยตามมันไปถูก “โม่ จื่อฟงโบกมือสั่งการไป คนที่รอบๆ ก็กระจายตัวออกไปใน ทันที สายตา ของเขามองไปยังเนินเขาลูกเล็กที่อยู่ข้างๆ กับอาบบ้านเป็นเขาขึ้นด้านข้าง”ส่งธนูมาให้ข้า”

ถึงจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่จินมู่ก็รีบส่งธนูไป

ให้ทันที

โม่จ่อฟงรับธนูมา นิ้วมือที่เรียวยาวลูบสายธนูที่แน่น หนา จากนั้นเขาก็ง่างธนูแล้วยิงออกไป ในชั่วพริบตา ลูกธนู ที่อยู่ในมือได้พุ่งตรงอย่างรวดเร็วจนประกายเป็นแสงสว่าง แนวโค้งของลูกศรที่สวยงามได้เข้าไปในความมืด สุดท้าย ด้วยพลังที่ทรงอานุภาพก็พุ่งเข้าไปในป่าตรงเนินเขาลูกเล็ก ที่อยู่ไกลมาก

ผู้คนต่างไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอ เห็นเงาคน 2 คนวิ่งอุตลุดจากเนินเขาลูกเล็กนั้น มีคนหนึ่งที่ คล้ายกับได้รับบาดเจ็บ ตอนที่กำลังวิ่งหลบหนีก็มีรอยเลือด สดสีแดงกระเด็นออกมา

ความรู้สึกเฉียบแหลมมาก !

คนนอกที่ไม่เป็นวรยุทธ์อย่างสมบูรณ์แบบหลินซีน เยียนนึกภาพไม่ออกเลยว่าระยะห่างขนาดนั้น ทำไมเขาถึงรู้ ว่ามีคนซ่อนอยู่ในนั้นได้ ?

พอเห็นแบบนั้นแล้วหลินซีนเยียนก็รู้สึกกลัว พอกลัว ก็ยิ่งทำดีให้กับโม่จื่อฟงอีก

“จัดการที่นี่ให้เรียบร้อย”พอโม่จื่อฟงสั่งการไปก็เดิน อย่างสง่าออกไปด้านนอก จากนั้นก็หันหน้าบาโบกมือเรียกหลินซีนเยียน

คนที่อยู่ใต้ชายคาบ้านเดียวกัน หากอยากจะรักษา ชีวิตอันน้อยนิดต้องรู้จักการก้มหัวให้

หลินซีนเยียนไม่ลังเลที่จะรีบวิ่งสะบัดกันเข้าไปหา ทันที โม่จ่อฟงกวาดตามองมาอย่างรู้สึกสนใจ มุมปากก็ เหยียดยิ้มขึ้น

โม่จือฟงกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วก้มตัวยื่นมือไปหา หลินซีนเยียน “ขึ้นมา”

“เออ…”หลินซีนเยียนรู้สึกหวาดระแวงที่จู่ๆ เขามีท่าที เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เพียงส่งมือให้เขาแล้วขึ้นไป นั่งด้านหน้าของเขา

ม้าออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานภาพกลุ่มคน ก็ได้หายไปจากสายตาแล้ว

ยอดเขาที่อยู่ห่างไกลจนไม่มีใครพบเห็นว่ามีเงาคน 2 คนที่กำลังอำพรางตัว เพื่อจับตามองอยู่ตรงแถวนั้น

ใต้ต้นไม้ใหญ่ อินฉีกหลังโรยผงยาจินชวงใส่ลงบน ไหล่ของซานป่าย “อ๋องอู่เสวียนนี้ มีพลังการสังเกตที่เฉียบ แหลมจริงๆ”

“เก่งมากจริงๆ พวกเราอยู่ไกลขนาดนั้นยังถูกเขา หาเจออีก ถมที่เขายิงบาร์ขาจับ นไม่ม้น”ชาบป่ายก่นน่าลายลงพื้นแต่ในใจรู้สึกหวาดผวา

“อืม อ่องอู่เสวียนร้ายกาจกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ซะอีก คนเช่นนี้ หากกลับเมืองหลวงไป ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยอย่าง ยิ่ง”อินฉีถอนหายใจ

ซานป่ายเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็รู้สึกลำบาก ใจ”แล้วแม่นางหลินคนนั้นจะเอายังไง ?”

“ดูจากเหตุการณ์ในโรงเตี้ยมแล้ว นางไม่เต็มใจอยู่ข้าง กายอ๋องอู่เสวียน แต่นางชำนาญเรื่องอาวุธ หากมีโอกาส เก็บไว้กับตัวก็คงจะดีอย่างมาก” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ สายตาของเขาทนไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่โม่จือฟงได้ หายไป

ข่าวลือที่ว่าอ๋องอู่เสวียนเป็นคนเจ้าสำราญ แต่คนที่ กุมอำนาจอย่างพวกเขาแล้ว ใครจะรู้ว่าคนเจ้าสำราญอย่าง อ๋องอู่เสวียนอาจจะเป็นเพียงการแสดง หากเป็นเรื่องจริง ทำไมจวนอ๋องอู่เสวียนก็ยังไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนหนึ่ง

ค่ำคืนอันมืดมิด ไม่รู้ว่ายามใดแล้ว ตอนนี้บนท้องฟ้า ถึงจะมีดวงดาว มันกลับไม่ส่องเปล่งประกายระยิบระยับ แต่ ทำให้คนแหงนหน้าขึ้นไปมอง

ตอนที่โม่จื่อฟังพาหลินซีนเยียนกลับมาที่โรงเตี้ยม ยังไม่ได้ลงจากม้าก็เห็นเงาคนหนึ่งวิ่งพุ่งมาเข้ามาอย่างโซ ซัดโซเซ พอมองอย่างละเอียด กลับเป็นฉินอี้ชิงที่ใบหน้ามี แต่รอยฟกช้ำดำเขียว
“พี่ ! “เมื่ออี้เพิ่งเห็นหลินซีนเยียนก็วิ่งเข้ามาหาอย่าง ดีใจ อีกนิดเดียวเกือบจะโดนดีดหมาเตะ หลินซีนเยียนก็ ตกใจเสียงร้องที่เรียกมา

เขาไม่เคยเรียกเธอว่าพี่ !

คำเรียก “พี่” กลับทำให้หลินซีนเยียนดีใจจนอยากจะ ร้องไห้

เขายืนอยู่ข้างหน้าม้าอย่างหวาดกลัว เสื้อผ้าบนตัว ถูกฉีกขาด ทำให้เห็นรอยทุบตีถีบเตะอย่างชัดเจน เขาไม่ ได้แสดงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย กลับยิ้มแย้มอย่างดีใจ เขายิ้มหน้าบานจนน้ำตาคลอ

หลินซีนเยียนรู้สึกปวดร้าวในใจ พยายามจะลงจาก ม้า โม่จือฟงแค่นเสียงและกดที่ตัวของเธอ”ร้อนใจไปทำไม เขาก็ยังยืนดีๆ อยู่ตรงนี้ไม่ใช่รึ ? ”

“นั่นเรียกว่าดีๆ รี ? “หลินซีนเยียนโกรธจนหน้าแดง ชี้ไปยังรอยแผลบนตัวของอี้เซิง หันหน้ามาตะคอกใส่โม่ จื่อฟง”เจ้าไม่เห็นแผลบนตัวของเขารึ? เขายังเป็นเด็กอยู่ คนไหนกันที่ลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ ! ”

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอี้เซิง นางกลับเปลี่ยนเป็นเหมือน แม่เลือที่คอยปกป้องลูกเสือตัวหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าชายที่ อยู่ตรงหน้าอารมณ์เริ่มไม่ดี

“เหละ บาดแผลแค่กายนอก เจ้าโมโหขนาดนี้เอย |หลินซีนเยียนเจ้าอย่าลืมว่าเจ้ากำลังพูดอยู่ใคร ? “หน้า ของโม่จื่อฟงดำขรึมลง มองไปที่อีเชิงด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับคมมีด “เชื่อหรือไม่หากเจ้าพูดอีกคำหนึ่ง ข้าจะให้ เขาตายอยู่ตรงนี้ทันที”

เพราะว่าคำขู่ ทำให้หลินซีนเยียนฝืนตนเองให้ ใจเย็นลง เธอกัดปากแน่นไม่กล้าพูดอีก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ