เทพนักรบ

บทที่13ตึกร้าง



บทที่13ตึกร้าง

บทที่13ตึกร้าง

“ได้ ตกลงตามนั้น”ฉินเฟิงพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด

ฉู่เจียวบุกเข้าไปอย่างดุดัน ราวกับพยัคฆ์ก็ไม่ปาน เขา กระโจนทะยานไปทางฉินเฟิง”ผัวะ! “จากนั้น หมัดขนาด ใหญ่พุ่งเข้าหาฉินเฟิงอย่างไม่ออมมือ ด้วยพละกำลัง มหาศาล

“ว้าย! “ฟางหยูนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ มาจนถึง ตอนนี้ เธอเพิ่งรู้สึกว่าผู่เจียวนั้นน่ากลัวเพียงใด

สีหน้าของฉินเฟิงยังคงดูเอ้อระเหยลอยชาย ก่อนที่หมัด ของฉินเฟิงจะมาถูกตัว ลำตัวก็เอนหลบอย่างทันที เท้า กระทืบพื้น ทั้งตัวก็ถลาถอยหลังไป

หมัดของฉู่เจียว ห่างออกไปเพียงนิด เขาชกหมัดเขาไป

บนอากาศ

“ดี! ”ฟางหยูนกำหมัดแน่น ส่งเสียงออกไปเบาๆ

ฉู่เจียวส่งเสียงหัวเราะก้อง คนทั้งคนราวกับระเบิด แล้ว พุ่งชนฉินเฟิงที่ก้าวถอยหลัง ความเร็วเป็นที่น่าตกใจ การ จู่โจมของเขา ไม่ใช่ว่าจะหลบก็จะหลบทัน
“ทะยานฟ้า”

ฉินเฟิงกระตุกตัวขึ้น ร่างก็พุ่งตรงขึ้นทันที ก่อนที่จู่เจียว จะปล่อยหมัด ตัวเขาก็ได้กระโดดขึ้นไปยืนบนหมัดนั้น แล้ว “ตึง ตึง ตึง”สามก้าว

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายฝีมือนำไปมาก

แต่ว่าหมัดอันทรงพลังของฉู่เจียวกลับไร้ประสิทธิผลใน ครานี้

ฉินเฟิงยื่นมือขวาออกไปชูสองนิ้ว ทำท่าวาดอะไรบาง

อย่าง

“หมัดนี้ฝากเอาไว้ก่อน พวกแกตามฉันมา”นูเจียวหยุด ลง ฉับพลันหัวเราะเสียงดังขึ้น เขาเก็บกระบวนท่า ไม่ได้ ปล่อยหมัดที่สามออกไป ฉากนี้ทำให้ผู้ชมค่อนข้างงุนงง แต่น่เจียวเองรู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้เขาปล่อยหมัดที่สามออก ไป ก็คงล้มฉินเฟิงไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่มี ความจำเป็นที่จะต้องทำต่อไป

หลังจากที่ลงจากเวทีมวย ฉินเฟิงกับฟางหยูนก็เดินตา มนูเจียวไปยังห้องๆหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรก็ถามมาเถอะ ถ้าบอกได้จะบอก”หลังจาก ที่น่เจียวเห็นฝีไม้ลายมือของฉินเฟิงแล้ว จึงเปลี่ยนท่าที่มาพูดง่ายขึ้นหน่อย

ภายใต้ท่าทีแสดงความต้องการของฉินเฟิง ฟางหยูนจึง ถามออกไปตรงๆ”ช่วงนี้มีคดีลักพาตัวเด็กทารกอยู่สอง สามคดี นายรู้อะไรมาบ้างหรือเปล่า”

..”นูเจียวขมวดคิ้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเฟิงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ดูท่าจู่ เจียวคงรู้อะไรบางอย่างจริงๆ

“การพัวพันของคดีนี้มีมาก ไม่ใช่เรื่องที่พวกเธอจะดูแล ได้”นูเจียวพูดขึ้นหลังจากที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แกแค่บอกมาก็พอ”ฉินเฟิงยืนกราน

“ที่ชานเมืองมีตึกร้าง คนที่อยู่ข้างในน่าจะเป็นคนที่พวก เธอต้องการหา เอาละ พวกเธอไปได้แล้ว”ฉู่เจียวพูดขึ้น คำหนึ่ง ก็ออกคำสั่งไล่แขก

รอจนฉินเฟิงกับฟางหยูนเดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆน่เจียวก็ พูดขึ้น”จำไว้นะว่า แกยังติดค้างฉันอยู่อีกหนึ่งหมัด”

หลังจากที่ออกจากยิมมวยหงหลิว ฟางหยูนจึงลากฉินเฟิงค่อยๆเดินสำรวจ แล้วพูดขึ้น”เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ ไหม ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือเปล่า”

ฉินเฟิงรู้สึกรำคาญเล็กน้อย พูดขึ้น”เธอคงไม่ได้อยาก ให้ฉันกระอักเลือดให้ดูหรอกมั้ง”

“ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ”ฟางหยูนกระพริบตาคู่โต

“นูเจียวออมมือไว้”ฉินเฟิงได้แต่ปัดไปที่นูเจียว แต่ว่า เขายังมีอีกหนึ่งคำพูดที่ไม่ได้พูด เขาเองก็ออมมือเหมือน กัน หรือจะพูดได้ว่า เขาแทบจะไม่ได้แสดงฝีมืออะไรเลย

“ดี ตอนนี้ได้เบาะแสแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”ในที่สุด ฟางหยูนก็วางใจ จึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน

ฉินเฟิงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น”ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ ฉัน หิวแล้ว”เดิมทีจะต้องกินข้าวกับป่ายฉิน และเฉินฉีด้วยกัน สามคน ปรากฏว่าพอเพิ่งเริ่มกินก็โดนขัดจังหวะ ตอนนี้ ท้องร้องดังจ๊อกๆแล้ว

“ก็ได้ ฉันก็หิวแล้วนิดหน่อยเหมือนกัน”ฟางหยูนตบหน้า ผากเบาๆ เหมือนกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้เอง

หลังจากกินข้าวและจัดการกับสิ่งต่างๆเรียบร้อย ฉินเฟิ งกับฟางหยูนจึงเดินทางกันต่อ
เวลานี้เอง สีท้องฟ้าค่อยๆมืดค่ำลง แสงไฟตามริมถนน ค่อยๆเปิดขึ้น

“ตึกร้างนั่นมีมากว่าครึ่งปีแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็น สถานที่กบดานของผู้ร้าย”ฟางหยูนขับรถพลาง พูดอย่าง เกลียดชัง

ฉินเฟิงเห็นฟางหยูนดูเหมือนจะเครียดเล็กน้อย จึงคิดหา ทางที่จะผ่อนคลายอารมณ์ให้ฟางหยูน เขาถามขึ้นตึก ร้างนั่นมาได้ยังไง”

“เห็นว่าเป็นเรื่องที่พัวพันถึงเงินลงทุนมั้ง ใครจะไปรู้ ล่ะ”ฟางหยูนเองก็รู้เรื่องเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

คุยเล่นกันมาตลอดทาง อารมณ์ของฟางหยูนจึงค่อย

สงบลง

ตอนที่ฉินเฟิงกับฟางหยูนไปถึงตึกร้างก็เป็นเวลาสามทุ่ม กว่าแล้ว

ในตึกร้างไม่มีแสงไฟ ดูๆไปเหมือนสัตว์ประหลาดที่ กำลังตะกายอยู่อย่างไรไม่รู้ ฟางหยูนมองดูอยู่ไม่กี่ที ร่างกายก็รู้สึกสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“เธออยู่บนรถแล้วกัน ฉันลงไปดูเอง”จู่ๆฉินเฟิงก็ยืนนิ่ง แล้วพูดเกลี้ยกล่อม
ฟางหยูนยืนกรานส่ายหน้า พูดขึ้น”ไม่ได้นะ นี่เป็นเคส แรกที่ฉันรับผิดชอบน่ะ ฉันจะต้องเข้าไปดูเองสิ

ฉินเฟิงแอบทอดถอนใจเบาๆ เขาอยากจะพูดเกลี้ย กล่อมต่อ แต่เห็นท่าทีของฟางหยูน

แล้ว ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ จึงยื่นมือออกไป จับมือขวา ของฟางหยูนไว้

“เฮ้ย…เธอทําอะไรน่ะ! “ฟางหยูนร้องเสียงหลงตกใจ รีบปัดมือออก

“มีฉันจูงมือ เธอคงไม่ต้องกลัวแล้วสินะ เธออย่าคิดมาก เลย”ฉินเฟิงรู้สึกว่าตัวเองนี่หาเรื่องจริงๆ เพื่อที่จะไม่ให้ ฟางหยูนรู้สึกกลัวจนเกินไป ยังต้องมาโดนเข้าใจผิดอีก แต่ว่า มือของฟางหยูนนี้นุ่มเนียนจริงๆ ไม่รู้สึกเลยแม้แต่ น้อยว่าเป็นมือที่จับปืนมาก่อน

คิดมาถึงตรงนี้ ฉินเฟิงจึงส่ายหน้า เพื่อสลายความ ฟุ้งซ่านออกจากใจ ตึกร้างนี้มีอันตรายซ่อนอยู่ เขาไม่ อยากจะมาจบชีวิตลงตรงนี้

“ใครกันแน่ที่คิดมาก น่าจะเป็นเธอมากกว่ามั้ง”พอได้ฟัง คำอธิบายของฉินเฟิง ฟางหยูนจึงหยุดดิ้น แต่ก็อดพูด แขวะออกไปไม่ได้ว่า”คนผีทะเล!
ฉินเฟิงอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ฉันไปทำอะไรให้ เธอเนี่ย ทําไมถึงเป็นคนผีทะเลล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะผิดเวลา ล่ะก็ เขาคงลงมานั่งถกปัญหานี้กับฟางหยูนแล้วล่ะ

หลังจากที่เตรียมในสิ่งที่จำเป็นแล้ว ฉินเฟิงกับฟางหยูน จึงเข้าไปในตึกร้าง

ตึกร้างนี้เดิมทีจะสร้างสามสิบชั้น แต่ตอนนี้สร้างเสร็จ ไปสิบเอ็ดสิบสองชั้นเพียงเท่านั้น ส่วนพวกลิฟต์บันได เลื่อนอะไรพวกนี้ ต่อให้มี ฉินเฟิงกับฟางหยูนก็ไม่กล้าใช้

ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขึ้นบันไดเถอะ

ในช่วงนี้ ฟางหยูนกุมมือฉินเฟิงแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตัวก็ประ ชิดฉินเฟิงเข้าไปอีก

เวลาที่ขึ้นไปแต่ละชั้น ฉินเฟิงก็มักจะอยู่กับฟางหยูน ใน ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงน่าสงสารมาก ฟางหยูนเอะอะก็ตกอก ตกใจ แขนซ้ายของฉินเฟิงถูกกระตุกตลอดเวลา จนตอน นี้เป็นรอยแดงไปแล้ว

เป็นแบบนี้ ชั้นหกถูกค้นไปทั่ว

“หยุดก่อน! “จู่ๆฉินเฟิงก็พูดขึ้นเสียงค่อย
“เป็นอะไร เจออะไรเหรอ”น้ำเสียงของฟางหยูนค่อนข้าง ตื่นเต้น เห็นฉินเฟิงหยิบเศษไม้ขึ้นมาจากพื้น จึงถามขึ้น อย่างฉงนใจ

“รอยหักนี่เป็นรอยใหม่”ฉินเฟิงพูดเสียงทุ้มต่ำ

“ข้างบนมีคนจริงๆ”แววตาของฟางหยูนเป็นประกาย อยู่ ที่ตึกที่ยังไม่เสร็จมาครึ่งปีละ มาปรากฏตัวเอาตอนนี้ น่า จะเป็นเป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ล่าอยู่

ฉินเฟิงพยักหน้า แล้วเดินคลำทางขึ้นบนต่อไป

“พี่ใหญ่ พวกเราจะต้องหลบอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ ฉัน เซ็งจะตายอยู่แล้วเนี่ย”ทันใดนั้น ฉินเฟิงจับเสียงของเด็ก หนุ่มคนหนึ่งได้ ฟางหยูนที่ใช้มือขวาเกาะแขนเขาไว้ตบ แขนเบาๆ บอกให้รู้ว่าเสียงเบาหน่อย

ในระหว่างชั้นแปด มีแสงรําไรลอดมา

“รีบร้อนอะไรเล่า ให้ได้ตังค์ก่อน เราคอยหาทางหนีออก นอกชายแดน ถึงเวลานั้นแกอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แหละ”มีอีกเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น พูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะแก ซัดบอดี้การ์ดนั่นซะหมอบ ป่านนี้เราก็ยังเดินลอยชายอยู่ ข้างนอกได้”

“ใครจะไปรู้ว่ามันจะหมอบง่ายขนาดนั้นวะ ฉันยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลย เสียงเด็กหนุ่มก่อนหน้าพูดขึ้นอย่าง

ขัดใจ

“แกนะแก ไม่หัดเก็บอารมณ์ซะบ้าง เดี๋ยวก็ได้เกิดเรื่อง เข้าสักวันหรอก”น้ำเสียงของพี่ใหญ่ค่อนข้างรู้สึกขัด อารมณ์

ทั้งชั้นแปด ดูเหมือนจะมีแค่ลูกน้องโหดสองคนนี้อยู่

ฟางหยูนได้ยินชัดเจน เธออยากจะพุ่งขึ้นไป

แต่ฉินเฟิงดึงไว้อย่างแรง จนฟางหยูนเข้ามาอยู่ในอ้อม กอด เขาปิดปากเธอไว้ แล้วก็อุ้มฟางหยูนถอยออกมา

ล่าถอยมาถึงเพียงชั้นสาม ฉินเฟิงจึงคลายมือออก เขา ได้ยินฟางหยูนหายใจหอบ

“นี่ เธอเป็นอะไร ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”ฉินเฟิงตกอกตกใจ “ไม่เป็นไร”ฟางหยูนหน้าแดงก่ำ แต่ภายใต้แสงพลบค่ำ แบบนี้คงจะดูไม่ออก หลังจากที่ฉินเฟิงวางเธอลง เธอจึง พูดเสียงค่อย ตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้ว ว่าสองคนนั้นคือเป้า หมายของเรา แล้วทำไมไม่ให้ฉันบุกเข้าไปล่ะ”

“เลอะเทอะน่า”ฉินเฟิงกระซิบ“นอกจากลูกน้องโหดสอง คนนั้น เธอมั่นใจเหรอว่าจะไม่มีคนอื่นอยู่อีก รู้ไว้ด้วยนั่นมันแค่ชั้นแปด ข้างบนยังมีอีกสี่ชั้น”

“อีกอย่าง เด็กทารกที่ลักมาซ่อนไว้ที่ไหนก็ยังไม่รู้ พุ่ง ออกไปแบบนี้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุจะทำไง” น้ำเสียงของฉิน เฟิงจริงจังขึ้นมาก ทำให้ฟางหยูนรู้สึกลำบากใจ น้ำตาเริ่ม เอ่อล้นเบ้าตา

“เฮ้อ” ฉินเฟิงถอนหายใจพูดขึ้น“ถ้าเรื่องแค่นี้เธอยังคิด ไม่เป็น ฉันแนะนำให้เธอไปเป็นเจ้าหน้าที่เอกสารดีกว่า”

ฟางหยูนกัดริมฝีปาก พูดเสียงแผ่วเบา”แล้วตอนนี้เราจะ ทำยังไงกันดีล่ะ”

“ตอนนี้เธอยังกลัวความมืดอีกหรือเปล่า ตอบมาตาม ตรง”ฉินเฟิงทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบ

“ไม่กลัว! “ฟางหยูนสะบัดมือฉินเฟิงออก พูดอย่างหนัก

แน่น

“ดูเวลาให้ดีนะ หลังจากนี้สิบนาที…”ฉินเฟิงพูดมาถึง ตรงนี้ กลับส่ายหน้า มือของฟางหยูน จะให้ไปต่อกรกับ ลูกน้องโหดสองคนนั้น มันอันตรายเกินไป

“ฉันพกปืนมาด้วย”ฟางหยูนราวกันรู้ว่าฉินเฟิงเป็นห่วง อะไร เธอพูดขึ้นเสียงค่อย
ฉินเฟิงหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง ถ้าทำแบบนี้จริงๆเรื่องแดง แน่ จึงพูดเสียงเข้ม”ไม่ว่าจะภายใต้สถานการณ์ไหน ก็ ห้ามใช้ปืน”

“…….ชื่อฟังเธอ”ผ่านไปอึดใจใหญ่ ฟางหยูนถึงได้ ปล่อยโฮพูดออกมา

“เธอไปรอที่บันไดชั้นแปดก่อน อีกสิบนาทีฉันจะไปพบ กับเธอตรงนั้น ในระหว่างนี้เธออย่าขยับเขยื้อนเป็นอัน ขาด”ฉินเฟิงคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกกระบวนการ

“เธอจะไปไหน”ฟางหยูนรีบถามขึ้น

“ชั้นสิบสอง”ฉินเฟิงตอบ

ฉินเฟิงกระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสาม เขายื่นมือออกไป เกาะขอบหน้าต่าง ส่วนมืออีกข้างโบกให้กับฟางหยูน แล้ว จึงปืนหายลับขึ้นไปท่ามกลางสายตาที่ตกใจของฟางห ยูน

“ชีวิตเรามันรันทดจริง”ฉินเฟิงผู้ที่ลมเย็นยะเยียบปะทะ ลงใบหน้า กล่าวออกมาอย่างเหลืออด

เทคนิคการปีนป่ายอยู่ในสายเลือดของฉินเฟิง ต่อให้ ต้องปีนหน้าผา ก็ไม่นับเป็นประสาอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าปีนตึกเรียบๆแค่นี้เลย

แป๊บเดียว เขาก็ได้ปีนมาถึงก๋าแพงชั้นแปด ฉินเฟิงแนบหู ฟัง ไม่พบอะไรผิดปกติ จึงผ่านชั้นแปดไป แล้วปืนสูงขึ้น

ชั่นที่เก้า ว่างสนิทไม่มีคน

ชั้นที่สิบ ก็ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอะไรเลย

“หรือว่าจะมีแค่สองคนนั้นจริงๆ”ฉินเฟิงอดรู้สึกสงสัยไม่ ได้ แต่ก็ไม่ได้วางมือง่ายๆเช่นกัน จึงปีนขึ้นบนต่อไป

ฉินเฟิงหยุดปืนกะทันหัน มีเสียงเคลื่อนไหวที่ชั้นสิบเอ็ด

“อุแว้ๆๆ……

“เสียงร้องไห้ของเด็กทารกนี่นา”แววตาฉินเฟิงขยับเล็ก น้อย คราวนี้ค่อนข้างโชคดี

“ไม่ต้องแหกปากร้องแล้ว ถ้าร้องอีกเดี๋ยวกูเอามึง ตาย คนเฝ้าดูหมดความอดทน จึงขู่เสียงเบาๆ
เสียงแค่นแผ่วเบาหนึ่งที ต่อด้วยเสียงพูดขึ้นเบาๆ ถ้าแก คิดจะทําอะไร ฉันรับประกันก่อนที่แกจะทำเด็กตาย ฉัน จะเอาแกตายก่อน”

ในหัวของฉินเฟิงปรากฏภาพชายหนุ่มร่างผอมสีหน้าอึม ครึม คนนี้ดูร้ายการกว่าลูกน้องโหดสองคนที่อยู่ชั้นแปด เยอะ ไม่แน่คนนี้อาจจะเป็นหัวโจก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ