เทพนักรบ

ตอนที่ 17นูเจียวถูกจู่โจม



ตอนที่ 17นูเจียวถูกจู่โจม

ตอนที่ 17นูเจียวถูกจู่โจม

อ้ว!

ในที่สุดก็หนีจากไอ้บ้านั่นได้

ฉินเฟิงถอนหายใจ ถ้าหากต่อสู้กับหน้ากากเหล็กบ่อย ครั้งเข้า ไม่แน่ว่าสถานะตนเองอาจจะถูกเปิดเผย ตอนนี้ ไม่มีวิธีอะไรที่ดีกว่านี้ ได้แค่หนีก่อนชั่วคราว

“ไม่ได้ ยังไงเสียก็ต้องกระชากหน้ากากเขาออกมาให้ได้ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าหน้ากากเหล็กนั้นเป็นคนของวิลล่าหวง ถิงเป่ย่วน ฉินเฟิงเองก็มีความั่นใจว่าจะกระชากหน้ากาก เขาได้

กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลป่าย ฉินเฟิงไม่ได้กดกริ่งหน้า ประตูบ้าน ไม่นานน้าหรุงก็เปิดประตูให้ฉินเฟิงเข้าไป

ฉินเฟิงมองสำรวจรอบๆ ไม่เห็นวี่แววของป่ายฉิน ก็ถอน หายใจอย่างโล่งอก สำหรับผู้หญิงที่โกรธนั้น เขาไม่รู้จะ รับมืออย่างไรดี ทำได้แค่ยื้อเวลาเท่านั้น สิ่งที่เขาไม่รู้ก็ คือ ประตูห้องของป่ายฉินนั้นไม่ได้ถูกปิดสนิท เหลือช่อง เล็กๆเอาไว้ รอจนฉินเฟิงเข้าห้องไปแล้ว ช่องเล็กไปนั้นจึง ได้ปิดสนิท
ป่ายฉินก็เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง แต่หลัง จากเมื่อพบท่อนไม้อย่างฉินเฟิง ภูเขาน้ำแข็งก็ค่อยๆเริ่ม ละลาย

ค่ำคืนที่ไร้ซึ่งเสียงคำพูดใดๆ

เช้ามืด ฉินเฟิงลงมาชั้นล่าง เห็นป่ายฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะกิน ข้าว กําลังรับประทานอาหารเช้าอย่างละเมียดละไม ทุก ท่วงท่าของป่ายฉินนั้นล้วนสง่างาม มีความเป็นผู้ดีมีชาติ ตระกูล

“ทานข้าว” สิ่งที่ทําให้ฉินเฟิงคาดไม่ถึงก็คือ ป่ายฉินเป็น ฝ่ายทักทายเขาก่อน

“อ้อ ได้” ฉินเฟิงรีบตอบรับ นั่งลงข้างโต๊ะกินข้าว จากนั้น ก็เริ่มกินอย่างรวดเร็วทันที ไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็เลียริมฝี อย่างพอใจ พร้อมกล่าวว่า “ผมกินเรียบร้อยแล้ว”

“…”ป่ายฉินกลอกตาไปมา สงสัยว่าที่นั่งอยู่ข้างหน้า หล่อนนั้นใช่ไดโนเสาร์ทีเร็กซ์หรือเปล่า ตะกละตะกลาม ขนาดนี้

ในขณะที่ฉินเฟิงกำลังสับสนลังเลอยู่ว่าวันนี้จะนั่งรถเมล์ หรือวิ่งไปที่บริษัทดีนั้น ป่ายฉินก็พูดว่า “รอฉันแป๊บนึงนะ พวกเราไปบริษัทพร้อมกัน”
หลังจากรอจนกระทั่งรถวิ่งออกมาจากวิลล่าหวงถิงเป่ย่ วนแล้ว ฉินเฟิงก็อดไม่ไหวที่จะถาม “ตอนนี้เพิ่งจะหกโมง เข้าเองนะ คุณไปบริษัทเช้าขนาด ทุกวันเลยเหรอ” ความ สงสัยนี้อยู่ในหัวเขามานานหลายชั่วโมงแล้ว

“แน่นอนว่าไม่ใช่ เดี๋ยวคุณก็รู้ ” ป่ายฉินไม่บอกคําตอบ แต่ไม่นานฉินเฟิงก็รู้คำตอบของปริศนานั้น เมื่อรถมาจอด ที่สวนสาธารณะซีจิง

ป่ายฉินพูดว่า”ไป ไปวิ่งกับฉัน” ตอนเช้าหล่อนจะมาวิ่งที่ นี่ทุกวัน

ฉินเฟิงคิดไปคิดมาก่อนจะตอบว่า”เพิ่งจะกินอิ่ม ไปวิ่งจะ ทําให้ปวดท้องนะ”การวิ่งสําหรับคนปกติทั่วไปนั้นอาจจะ ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้ ช่วยอะไรแม้แต่น้อย

“มีสาวสวยให้ดูด้วยนะ” ป่ายฉินกล่าวชักชวนอย่าง อารมณ์ดี

“เหอะๆ คุณไปเถอะ ผมรอคุณบนรถ” แม้ว่าหลินเฟิงจะ อยากไปตามคำชวน แต่คิดว่ามีป้ายฉินอยู่ข้างเขาควรจะ ข่มอารมณ์เอาไว้

“เชอะ ไม่ไปก็อย่าไป”ป่ายฉินขมวดคิ้ว เปิดประตูลงจาก รถไป แต่ว่าคล้อยหลัง หล่อนกลับมีรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น

ฉินเฟิงผิดหวังเล็กน้อย ที่ตามป่ายฉินออกมา แต่พอ คิดถึงเรื่องที่เกิดบนรถไฟใต้ดิน ก็รู้ว่าไม่ควรจะเซไปเซมา บนรถไฟใต้ดิน แออัดก็ต้องทน ดีกว่าถูกคนตราหน้าว่า เป็นคนร้ายแล้วจับตัวไป

“แต่ ใครคนนั้นมันกล้าเข้ามาถึงตัวเมียเขาดูท่าแล้ว ก็คงจะไม่ธรรมดา” ทันใดนั้นเองสายตาของฉินเฟิงก็ เหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ ข้างกายป่ายฉิน และยังทำท่าทีพูดคุยหัวเราะกันด้วย

ใครกันที่พูดว่าหลังจากทานอาหารไม่ควรออกกำลังกาย

ชั่วพริบตา ฉินเฟิงก็ออกมาวิ่งอยู่บนทางวิ่งแล้ว หนำซ้ำ ยังแทรกกลางระหว่างป่ายฉินกับผู้ชายคนนั้นด้วย

“คุณบอกว่าปวดท้องไม่ใช่เหรอ” ป่ายฉินพูดอย่างโกรธๆ

“วิ่งเป็นเพื่อนเมีย อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย ต่อให้ปวดไตก็ ต้องวิ่ง” ฉินเฟิงพูดย่างหน้าชื่นตาบาน

ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆชะงักหน้าถอดสี ถามออกมาว่า “ประธานป่าย ท่านนี้คือ…”
“ว่าที่สามีฉันเองค่ะ” ใบหน้าป่ายฉินแดงเรื่อ ทำให้ในใจ ฉินเฟิงปลื้มปีติยิ่งนัก การเดินทัพที่แสนยาวไกล ก้าวแรก ถือว่าเริ่มขึ้นแล้ว

ยังดีที่ผู้ชายคนนั้นรู้จักกาลเทศะ ถอยออกให้เวลาส่วน ตัวแก่ฉินเฟิงและป่ายฉิน

ป่ายฉินจึงอารมณ์ดีจนถึงบริษัท

“เมื่อกี้ประธานป่ายยิ้มแล้ว เธอเห็นมั้ย” พนักงานใน บริษัท รู้สึกไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกับว่าพระอาทิตย์ ขึ้นทางทิศตะวันตกก็ไม่ปาน

“แย่แล้ว ประธานป่ายต้องมีความรักแน่เลย” น้ำเสียง เหมือนใจสลายดังขึ้น

ฉินเฟิง ผู้ช่วยประธานบริษัท ยังคงทิ้งตัวลงบนโซฟาใน ห้องทำงานของตัวเอง ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ จนถึงปัจจุบัน บริษัททำอะไรเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่เห็นจะ เป็นอะไร

ฉินเฟิงเองก็ยังคงไม่สามารถนอนจนเต็มอิ่มได้สักที สิบ โมงผ่านไป ฟางหยูนก็ตาลีตาเหลือกวิ่งเข้ามา จับฉินเฟิง ตะแคงหล่นมาที่พื้น

“ยัยบ้าน มีอะไรอีก” ฉินเฟิงที่กำลังฝันหวานว่ากำลังเข้าหอกับเจ้าสาว ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ก็ไม่พอใจอย่างมาก

“เกิดเรื่องแล้ว ฉู่เจียวเข้าโรงพยาบาลแล้ว” ฟางหยูน หน้าตื่นรีบอธิบายให้เขาฟัง

” ฉินเฟิงรีบลุกขึ้นมาจากพื้น พูดว่า “เมื่อวานเธอไม่ ได้ไปหาลู่เจียวอีกหรอกนะ”

“คนเขาอุตส่าห์ช่วยเหลือ ฉันก็ต้องไปขอบคุณเขาบ้าง สิ” ฟางหยูนตอบเสียงแผ่ว

“โอ้ย ฉันจะบ้าตาย ฉู่เจียวเสี่ยงตายไปเอาข้อมูลมา เธอ กลัวคนอื่นจะไม่รู้รึไง ถึงต้องเอาความเดือดร้อนไปให้ เขา” ถ้าฟางหยูนไม่ใช่ผู้เขาคงถีบหล่อนไปแล้ว

“คุณ…คุณไม่บอกฉันนี่” ฟางหยูนตกใจเสียงตะคอกของ ฉินเฟิง ก็แย้งด้วยเสียงเบาๆ

ฉินเฟิงตบหน้าผาก พูดว่า “นี่มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้ อยู่แล้วนะ ฉู่เจียวเจ็บหนักมากมั้ย”

“พอฉันได้ข่าว ก็รีบมาบอกคุณเลย ยังไม่ทันได้ไปที่โรง พยาบาล” ฟางหยูนส่ายหน้าบ่งบอกว่าตนเองก็ยังไม่รู้ อะไรแน่ชัด
“งั้นจะรออะไร ไปโรงพยาบาลสิ” ฉินเฟิงโบกมือ

แต่ครั้งนี้ฉินเฟิง ได้รับบทเรียนมาแล้วจึงไปขอลางานกับ ป่ายฉินก่อน “ครั้งก่อนเรื่องที่ช่วยฟางหยูน พอดีเกิดเรื่อง นิดหน่อย ต้องออกไปอีกรอบ”

“อยากไปก็ไปสิ ฉันเคยไปห้ามคุณตั้งแต่เมื่อไหร่” ป่าย ฉินพอใจกับท่าทีของฉินเฟิง จึงเอ่ยปากให้เขาไป ฉิน เฟิงก็อยากจะพูด แต่เพราะไม่รู้สถานการณ์ของนูเจียว แน่ชัด จึงไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไร ก็หมุนตัวเดินออกมา

ฟางหยูนขับรถ ไม่นานก็มาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล พร้อมฉินเฟิง พวกเขายังไม่เข้าไปในห้องผู้ป่วย ก็ได้ยิน เสียงดังของนูเจียว “แค่แผลภายนอกเล็กๆนิดเดียว ทําไม ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต กลับไปเถอะ”

แล้วก็มีครูฝึกจากยิมมวยหงหลิวถอยออกมา

ฉินเฟิงและฟางหยูนไม่ได้สนใจสายตาสับสนงุนงงของ ครูฝึก เดินเข้าไปในห้องคนไข้ทันที

“ขอโทษด้วย ครั้งนี้เพราะฉันทำให้คุณเดือดร้อนแท้ๆ” เมื่อฟางหยูนเข้าไปก็รีบขอโทษนูเจียวทันที

“ฮา ๆๆๆๆ ต่อให้ไม่มีคุณ อีกฝ่ายก็สาวมาถึงผมได้อยู่ดี ผมไม่โทษคุณหรอก” ฉู่เจียวหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ บ่งบอกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร

“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” ฉินเฟิงสำรวจดูเล็กน้อย “ถูกมีดฟันเหรอ”

ฉินเฟิงนั้นรู้ถึงความสามารถของนูเจียวดี พวกไร้น้ำยา ไม่กี่คนเข้าถึงตัวเขาไม่ได้หรอก แต่คนพวกนี้สามารถฟัน แทงมาถึงตัวเขา ดูแล้วไม่ธรรมดา

“มือมีดมันมากันสี่คน ถูกผมจัดการไปกองที่พื้น” ฉู่เจียว กล่าวอย่างภูมิใจ พร้อมยกมือขึ้นวาดทำท่าต่อสู้

“พูดไปแล้วก็เป็นผมเองที่ประมาท หลายปีเคยชินกับ การอยู่อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ขาดความระมัดระวัง ทำให้ถูกฟันหลายแผลถึงตั้งสติขึ้นมาได้ ” ฉู่เจียวเริ่ม สะท้อนถึงความประมาทเลินเล่อของตนเอง

ฉินเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย เขาสํารวจบาดแผลบนตัวนุ่ เจียวพบว่า แผลไม่ใหญ่มาก น่าจะพลาดท่าเสียเอง

“แล้วไอ้มือมีดสี่คนไปไหนแล้ว” ฟางหยูนเหมือนนึกขึ้น ได้รีบถามออกมา

“เหอะๆๆ” น่เจียวหัวเราะออกมาเบาๆ
“มีชีวิตอยู่ก็ไม่เห็นคน ตายก็ไม่เจอศพ” ฉินเฟิงเห็นท่าที ไม่เข้าใจของฟางหยูนจึงอธิบาย “มือมีดก็เหมือนกับนัก ฆ่าในสมัยโบราณ เมื่อลงมือแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ จะไม่ปรากฏตัวอีก”

“สำนักเฟิงโข่นี่มีแม้กระทั่งนักฆ่า น่าสนใจจริงๆ” ฉินเฟิง และฉู่เจียวเกิดความคิดนี้ในหัวขึ้นมาเหมือนกัน แต่พวก เขาต่างฝ่ายต่างไม่รู้

หลังจากผ่านการสืบดูแล้ว จึงรู้ว่าครั้งนี้พวกเขาแค่ตื่น ตระหนกมากเกินไปเอง

แค่ครั้งนี้เป็นการเตือนให้ฉินเฟิง ฉู่เจียว และฟางหยูน นั้นตื่นตัวขึ้น แม้ครั้งนี้อีกฝ่ายจะพลาดเอง แต่ก็ไม่มีใคร รับประกันได้ว่าพวกเขาจะยอมวางมือ สงครามครั้งนี้เพิ่ง เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

หลังจากขยิบตาให้นูเจียวแล้ว ฉินเฟิงกับฟางหยูนก็ออก จากโรงพยาบาลไป

“ก่อนหน้านี้ผมอาจจะพูดแรงไปหน่อย หวังว่าคงจะไม่ ถือสา ตอนนี้ว่างมั้ยผมจะพาคุณกับป่ายฉินไปเลี้ยงข้าว” ฉินเฟิงพูดกับฟางหยูนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง

ฟางหยูนส่ายหน้า “ที่คุณพูดถูกแล้ว ฉันเองที่ทำผิดแต่ แรก” แต่เมื่อได้ยินว่าฉินเฟิงจะเลี้ยงข้าวก็รีบพยักหน้าตกลงทันที

ตอนที่กลับไปถึงบริษัท ก็เป็นเวลาทานข้าวพอดี ฉินเฟิง ไปบอกป่ายฉิน ป่ายฉินไม่ได้ขัดอะไร

“นี่จะไปไหน” ป่ายฉินรู้สึกคุ้นๆกับถนนเส้นนี้

“ร้านอีเว่ยจูไง” หลินเฟิงตอบโดยไม่หันกลับไปมอง

“ต้องลำบากคุณไปต่อแถวอีกแล้วสิ” ฟางหยูนก็รู้ดีถึง กิตติศัพท์ของร้านนี้ดี จึงได้แต่ให้กำลังใจหลินเฟิงอยู่ ข้างๆ

หึๆ พวกคุณดูถูกผมเกินไป ฉินเฟิงคิด

หลังจากเข้ามานั่งรอในร้านแล้ว ป่ายฉินกับฟางหยูนจึงรู้ สึกถึงความผิดปกติ พวกหล่อนเจออะไรเข้าแล้ว

ฉินเฟิงเรียก หล่าวฟางพร้อมโบกมือเรียก เจ้าของร้านก็ เชื้อเชิญให้ทั้งสามคนเข้ามา เจ้าของร้านอีเว่ยจู นามสกุล ฟาง ป้ายฉันเองก็รู้ แต่ไม่แน่ใจ ฉินเฟิงไปสนิทสนมกับ เจ้าของร้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ไหนบอกว่ามีเรื่องสนุกให้ดู ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” ตอน ที่ฟางโฉงยกอาหารมาวาง พูดเบาๆที่ข้างๆหูฉินเฟิง
“อาหารก็ต้องมาทีละชุดๆ ไม่เห็นคุณวางเต็มโต๊ะเลย” ฉินเฟิงตอบ เมื่อวานที่เขาไปพบสูหู่ แค่วอร์มร่างกาย เท่านั้น แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือ สูหู่นั้นกลับเชื่อฟังเขาจริงๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

“พวกคุณกำลังพูดอะไรกัน” ฟางหยูนกับป่ายฉันไม่ เข้าใจที่พวกเขาพูด

“คุณฟางเจ้าของร้านเขาถามว่าสั่งอาหารไปกี่จาน ผม บอกไม่ต้องเยอะ แค่เต็มโต๊ะนี่ก็พอแล้ว ใช่มั้ยคุณฟาง” ฉินเฟิงหัวเราะร่าออกมา

ฟางโฉงเกิดความน้อยใจ แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าแรงๆ เป็นการตอบรับ

อาหารถูกวางเต็มโต๊ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ สอง

ในสามเข้าไปอยู่ในท้องของฉินเฟิง

“กินอิ่มแล้ว พวกเราไปเถอะ” ฉินเฟิงพูด

“เดี๋ยวยังไม่ได้จ่ายเงินเลย” ฟางหยูนผู้รักษากฎหมาย ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด “คุณบอกว่าจะเลี้ยง คงไม่คิดจะหลอกลวงใช่มั้ย”

“ไม่งั้น ให้ฉันจัดการเอง” ป่ายฉินออกตัวรับเอง
ฉินเฟิงส่งเสียงหึ่มในลำคอ “ถึงพวกคุณจะยอมจ่าย แต่ เขาก็ต้องยอมรับด้วยนะ” พูดจบก็เดินออกจากร้านไป

ป่ายฉินกับฟางหยูนไม่เชื่อ จึงเรียกฟางโฉงมารับเงิน แต่ ฟางโฉงก็ย้ำหนักแน่นว่า ฉินเฟิงจ่ายเงินแล้ว นี่คือการ โกหกหน้าตาเฉย เพราะถ้าฉินเฟิงจ่ายเงินพวกหล่อนก็ ต้องเห็นสิ

แต่ฟางโฉงก็ย้ำอยู่อย่างนั้น พวกหล่อนจะทำอะไรได้ สุดท้ายป่ายฉินและฟางหยูนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้ แต่เดินออกมาสมทบกับฉินเฟิงด้านนอกร้าน

“คุณใช้วิธีอะไร ทำไมเขาถึงไม่ยอมรับเงิน” ฟางหยูนก ระพริบตาปริบๆ ป่ายฉินเองก็หูตั้งรอฟังฉินเฟิงว่ามีความ ลับอะไร

“ผมกับเจ้าของร้านพบกันครั้งแรกก็ถูกชะตาเหมือน เพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน จึงตกลงกันว่าต่อไปหากผมมา ทานข้าวที่นี้จะไม่รับเงินผม พวกคุณจะเชื่อมั้ย” ฉินเฟิงก ล่าวอย่างมั่นใจอย่างมาก

ศีรษะฟางหยูนส่ายไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋ง “พี่ฉิน สวยขนาดนี้ไปกินข้าวยังไม่เคยได้กินฟรี แต่คุณ ช่างมัน เถอะ”
ป้ายฉันเองก็สายหัวเบาๆ ไม่เชื่อว่าฉันเฟิงพูดเรื่องจริงเช่นกัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ