หญิงหม้าย

ตอนที่14 หญิงหม้าย 14



ตอนที่14 หญิงหม้าย 14

เพียงนางยืนต้นโสมเข้าใกล้เขา ชายหนุ่มก็ถึงกับกระอัก เลือดทั้งยังรู้สึกถึงร่องรอยบาดแผลที่เริ่มดีขึ้นมีการขยับ ตัวดั่งกับมีสิ่งมีชีวิตชอนไชอยู่ใต้ผิวหนัง

“ท่านอ๋อง แม่นางหม่า ท่านทำอะไรน่ะขอรับ ทำไมท่าน อ๋องจึงกระอักเลือดอีกแล้ว” องครักษ์เการีบขยับตัวเข้าไป ประคองทั้งหันมาเอ่ยปากคาดคั้นกับหญิงสาว แต่นางกลับ ยื่นยาในมือให้องครักษ์หนุ่มสั่งให้เขารีบป้อนยาสกัดพิษ ให้อ่องสามก่อนที่จะตอบคําถามของเขา

“ข้าพอจะรู้แล้วล่ะเจ้าค่ะ ว่าสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นพิษที่อยู่ ในกายของท่านอ๋อง”

“อะไรหรือขอรับ หรือว่าเป็นต้นโสม งั้นหรือ จะเป็นไปได้ อย่างไรขอรับ นี่เป็นของพระราชทานจากไทเฮาเชียวนะ ขอรับ อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระมารดาแท้ๆของท่าน อ๋อง แล้วพระนางจะทำร้ายท่านอ๋องได้อย่างไรกัน แม่นาง เข้าใจผิดแล้วล่ะขอรับ

“มิใช่ต้นโสมเจ้าค่ะ แต่เป็นผงของดอกระบำจันทร์ที่โปรย อยู่รอบๆต่างหากล่ะเจ้าคะ
ได้ยินคําพูดโต้ตอบระหว่างทั้งสองท่าให้ชื่อหมิงชนที่ ตอนนี้อาการเริ่มทุเลาลงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“ดอกระบาจันทร์อย่างนั้นหรือ ทําไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อมา ก่อน”

“กระหม่อมก็เช่นกันขอรับ มันคือพรรณไม้ชนิดใดหรือแม่

นางหม่า”

หญิงสาววางต้นโสมลงในถาดก่อนจะหันมาตอบ

“ดอกระบาจันทร์เป็นดอกหญ้าชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามที่แห้ง แล้งอย่างชายป่าตามแนวทะเลทราย หรือในที่แห้งแล้ง ทั่วไปธรรมดาเราจะมองเห็นเหมือนดอกหญ้าธรรมดาแต่ คืนพระจันทร์เต็มดวงดอกไม้ชนิดนี้จะแปร่งประกายอ่อนๆ เหล่าสัตว์เลื้อยคลาน ชมชอบที่จะกัดกินเป็นอาหาร และ พิษที่ท่านอ๋องได้รับคือพิษตะขาบเร่งแสงจันทร์ที่มีส่วน ผสมของตะขาบแม่ลูกอ่อนที่ส่วนใหญ่ชอบวางและกกไข่ อยู่ตามแนวดอกหญ้าชนิดนี้ เพราะเวลาต้องการอาหาร ด้วยการที่ต้องมีเหล่าลูกน้อยอยู่ตรงหน้าท้องตลอดเวลา ฉะนั้นแล้วเหล่าตะขาบพวกนี้ก็จะอาศัยกัดกินดอกไม้พวกนี้ เป็นอาหารจนกว่าจะทิ้งลูกๆออกไปหากินที่อื่นได้เพคะ”
“เจ้าหมายความว่าพิษที่อยู่ในตัวเราถูกดอกหญ้าชนิดนี้ กระตุ้นอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างตกตะลึง ด้วย เขาไม่เคยคาดคิดว่าแค่ดอกหญ้าริมทางธรรมดาๆจะสร้าง ความเจ็บปวดให้แก่เขาได้เช่นนี้

“ใช่เพคะ แม้มันจะเป็นแค่ดอกหญ้าข้างทาง แต่หากอยู่ ในมือของผู้ที่รู้ถึงสรรพคุณของมันแล้วล่ะก็ สามารถทําสิ่ง เลวร้ายได้ยิ่งกว่าที่เราคาดคิดเสียอีกเพคะ”

เพียงแต่เราไม่เข้าใจ ในเมื่อตอนนี้ในสายตาเรามองไม่ เห็นสิ่งใดเลยนอกจากต้นโสมที่วางอยู่ในถาดเท่านั้น เหตุ ใดเจ้าถึงรู้ว่ามันมีผงดอกไม้ชนิดนั้นอยู่ อีกทั้งดูเหมือนเจ้า จะรู้ถึงส่วนผสมของพิษชนิดนี้ที่แม้แต่หมอที่มีชื่อเสียงใน เมืองหลวงที่เคยมาตรวจดูอาการของเรา ยังไม่สามารถรู้ ได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างที่เจ้าบอกแม้เพียงครึ่ง

ชายหนุ่มเอ่ยถามทั้งยังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามที่ กำลังช้อนมองพระองค์อย่างตื่นตระหนก ด้วยพิษที่เขาได้ รับนั้นแม้แต่หมอเทวดาที่เคยมาลองทำการรักษายังถึงกับ ส่ายหน้า ด้วยรู้จักเพียงชื่อของพิษ แต่ยาแก้นั้นทุกคนต่าง จนปัญญา เนื่องด้วยเป็นพิษที่พบหาได้ยากยิ่ง แค่เพียงชื่อ ก็ยังยากจะมีใครเคยได้ยิน บ้างก็ว่าต้นตอพิษนั้นมาจากเผ่า ทะเลทรายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าอาถรรพ์ บ้างก็ว่าเป็นพิษจากต่างแคว้นที่ลึกลับไกลห่าง จนเขายังคิดไปว่าคงต้องนอนรอวันสิ้นลมในวัยหนุ่มเช่นนี้ แล้ว

แต่เมื่อวันหนึ่งองครัก คู่ใจกลับมาเล่าเรื่องที่พบเจอคน มีความรู้ความสามารถที่อาจจะช่วยชีวิตเขาได้ คราแรก เขาเพียงแค่เอ่ยบอกให้พาตัวมาพบ เพียงเพราะไม่อยาก ทําลายน้ำใจของคนสนิท เพราะรู้ดีว่าอาการของเขานั้น อาจจะเกินเยียวยาแล้ว แต่เมื่อได้พบนางที่มีแววตากล้า แกร่ง ทั้งยังมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและเมื่อนางแตะมือลง บนชีพจรของเขา สิ่งแรกที่นางทําคือเสียน้ำตาให้กับคน ที่นางหาได้รู้จักมักคุ้นไม่ ความรู้สึกปวดร้าวในอกที่ไม่คุ้น เคยกลับเอ่อล้นออกมา จนเขาอดที่จะยกมือขึ้น บนํ้าตา บนแก้มอิ่มไม่ได้ และเมื่อนางทำเพียงแค่จับชีพจรเขาดู เท่านั้น ถึงกับเอ่ยปากว่ารู้สูตรยาแก้ที่ไม่มีใครสามารถล่วง รู้ คำกล่าวของนาง เป็นดั่งเช่นน้ำหยดสุดท้ายในพื้นที่แห้ง แล้งมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แต่กระนั้น เขาก็มิอาจไม่คิดระแวง ได้ เพราะรอบตัวของเขามีเหล่าผู้ประสงค์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ รอคอยเวลาที่จะทำร้ายเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และในวันนี้ หากนางจะบอกว่าเป็นผู้ปรุงยาพิษเอง เขาก็คงจะเชื่อหมด ใจ เพราะนอกจากผู้ปรุงพิษเท่านั้นจึงจะเป็นผู้รู้ยาแก้ แม้ไม่ ยากจะคิดระแวงแต่มันก็อดไม่ได้
“พระองค์ หม่อมฉัน คือ..” หญิงสาวไร้ค่าเอ่ยเมื่อชาย หนุ่มได้ถามในสิ่งที่นางกังวลมาตลอด แต่หากนางพูด ความลับเกี่ยวกับความสามารถพิเศษออกไปชีวิตของนาง อาจไม่อาจจะสงบสบได้ดังเช่นการณ์ก่อน

“หม่อมฉันทำได้เพียงแค่กราบทูลว่า หม่อมฉันไม่เคย ประสงค์ร้ายต่อพระองค์เลยเพคะ ที่หม่อมฉันอยู่ที่นี่ตอน นี้ก็เพียงแค่ต้องการช่วยรักษาให้พระองค์หายดีเพียงนั้น และเมื่อวันใดที่หม่อมสามารถถอนพิษได้แล้ว หม่อมฉันจะ จากไปเพคะ”

“แต่หากพระองค์ยังไม่ทรงวางพระทัย หม่อมฉันยินดีจาก ไปตอนนี้เลยก็ได้เพคะ” ว่าพลางย่อกายแล้วหันหลังก้าว เดินออกไป พลันต้องตระหนกเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนแกร่งที่ พาครอบเอวบาง

“ไม่ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เจ้าอย่าพึ่งเข้าใจผิด โปรดฟังข้า อธิบายก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยเร็วรัวอยู่ที่ข้างใบหูงาม เพียง ได้ยินว่านางจะจากไป ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่ยินยอม จนต้องก้าวลงจากเตียงแล้วเอื้อมมือมากอดรัดนางไว้ ไม่ เขาจะไม่ยอมให้นางจากไป

เมื่อกายหนุ่มสัมผัสถึงร่างงามอันหอมกรุ่น ทำให้อดใจที่ จะก้มลงดอมดมลงบนผมที่นุ่มสลวยนั้นไม่ได้ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอันนุ่มนวลและแผ่วเบาจากเจ้าของแขนแกร่งที่รัด ร่างของนางเอาไว้ในใจพลันเต้นรัวดังกับจะหลุดออกมา จากอก ใบหน้าเกิดร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้ หญิงสาวจึงก้ม หน้างัดเอ่ยเสียงเบา

“เอ่อ ท่านอ๋อง ทรงปล่อยหม่อมฉันก่อนเถิดนะเพคะ”

“ถ้าข้าปล่อย เจ้าจะยอมฟังเหตุผลหรือไม่” เขายังเอ่ย ถามด้วยความระแวง ด้วยการที่นางอยู่ดูแลใกล้ชิดกับเขา มาพักใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มพอจะรู้ว่าหญิงสาวเป็นคนทะนง ตนยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นคนซื่อตรงไร้เลห์เหลี่ยม หากวันนี้ ไม่พูดความจริงออกไป เขาคาดเดาได้เลยว่านางจะต้อง จากเขาไปแน่ๆ

“ฟังเพคะ” หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงเบา ชายหนุ่มจึงปล่อย แขนที่รัดเอวน้อยไว้ เปลี่ยนมาเป็นกุมมืองามแล้วจูงเดิน กลับไปที่เตียง

องครักษ์หนุ่มที่ยืนตัวเข็งตกตะลึงอยู่เมื่อเห็นความใกล้ ชิดสนิทสนมที่ทั้งสองมีต่อกัน เขาจึงถึงบางอ้อกับอาการ ก้มหน้างุดและพูดเสียงเบาของหญิงสาว เห็นทีคราวนี้เขา คงจะมีนายของจวนเพิ่มมาอีกคนเป็นแน่แท้ เมื่อเข้าใจใน สถานการณ์กาฉางเปจึงเดินออกมายืนที่หน้าประตูกับหนึ่ เหยาเอ๋อร์ ปล่อยให้คนทั้งสองที่อยู่ด้านในปรับความเข้าใจกันเอาเอง และเมื่อเด็กสาวทำท่าจะ เดินกลับเข้าไปในห้อง เขาจึงได้แต่ยื้อยุดเอาไว้

ทางด้านอ๋องหนุ่มเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งก้มหน้านิ่ง ทั้งที่ ยามปกติแล้ว นางย่อมจ้องหน้าเอ่ยคำกล่อมเขายามที่ ต้องฝืนกินยาขมๆที่นางปรุง หรือไม่ก็ดูซ้ายแลขวาสำรวจ บาดแผลของเขาแล้วจดบันทึกลงในกระดาษด้วยความ กระตือรือร้น แต่ยามนี้กลับเห็นเพียงหญิงสาวขี้อายที่ไม่ แม้แต่จะกล้าสบตากับเขา ใจอดนึกเอ็นดูไม่ได้ จึงกดยิ้มที่ มุมปากแกร่งก่อนใช้ปลายนิ้วช้อนใบหน้างามให้เงยขึ้นคัน สบในตาหวานที่เสหลบหนีของหญิงสาว สองตาเขาจึงมอง สำรวจใบหน้างามตรงหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงริมฝีปากบาง ที่เขาได้เคยรังแกชิมรสหวาน ในลำคอพลันแห้งผาก เกิน จะห้ามใจริมฝีปากคมจึงประกบลงบนเรียวปากงามอีกครั้ง

“อื้อออ” เสียงหวานประท้วงเบาๆก่อนเงียบหายไปในลำ คอ ชายหนุ่มตระหวัดลิ้นลุกไล่ควานหาจนเจอความหวาน ดังใจ ครานี้หาใช่จุมพิตอ่อนหวานดังคราก่อนหน้า แต่เป็น จุมพิตที่เรียกร้องเต็มไปด้วยความเสน่หารัญจวนใจเกิน ที่คนด้อยประสบการณ์เช่นนางจะต้านทาน ร่างบางอ่อน ระทวยอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ชายหนุ่มทาบร่างแกร่งลง บนร่างงามที่ตอนนี้เอนราบลงไปบนเตียงใหญ่ มือหนาลูบไล้ลงบนสามเสื้อตัวนอก ก่อนที่จะกระตุกปมเชือกที่ผูกอยู่ให้คลายตัวออก ค่อยๆลูบ มืออันร้อนผ่าวผ่านกายสาวจนทะลุไปถึงเนื้อในที่มีเพียงเอื้ ยมผืนบางกางกั้น

เมื่อมือหนาแตะเจอความนุ่มหยุ่น ชายหนุ่มคล้ายชะงัก เขาถอนจุมพิตจากริมฝีปากแสนหวานก่อนจะก้มลงสูด ลมหายใจเข้าออกที่ทรวงอกงามอย่างระงับอารมณ์ พาล ทำให้หญิงสาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มหลุดจากภวังค์อันแสน วาบหวามนั้น เขาขยับกายลุกขึ้นพร้อมทั้งดึงหญิงสาวให้ ลุกตาม เมื่อทั้งสองลุกนั่งดีแล้ว พลันตาคมคู่นั้นกลับส่อง ประกายวาววับอีกครั้งเมื่อมองนางที่ชุดยังหลุดลุ่ยจาก ฝีมือของเขา โดยดูเหมือนนางจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้ กำลังยั่วยุและท้าทายความอดทนอดกลั้นของเขายิ่งนัก

“หากเจ้ายังไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ข้าจะคิดว่าเจ้ายินยอม ให้ข้าทำตามเสียงหัวใจเรียกร้องใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม อย่างหยอกเย้าในน้ำเสียง

หญิงสาวจึงก้มหน้ามองตัวเองแล้วพลันใจหายวาบ ก็ สภาพของนางราวกับแม่สาวดาวยั่วที่ตอนนี้สาบเสื้อทั้ง สองต่างแยกออกกว้างด้านหน้าจึงมีเพียงเอี้ยมบางๆที่มอง ทะลุเห็นเงาของภูเขาคู่งามที่ซ่อนอยู่ข้างใน นางหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย นึกโกรธงชายหนุ่มยิ่งนัก ใครล่ะที่ทำให้นางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ข้าขอโทษที่อดใจไว้ไม่อยู่ แต่ข้าอยากจะบอกให้เจ้ารู้ว่า ข้ามิได้คิดที่จะให้เจ้ามีค่าแค่มาอุ่นเตียงให้ข้าเพียงเท่านั้น ข้าอยากให้เจ้าเป็นมากกว่านั้น” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยออก มา ทำให้นางต้องเงยหน้ามองสบตาคมคู่นั้น

“แต่หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงหม้ายที่หย่าสามี หาได้คู่ควร ไม่เพคะ”

หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ตัวดี ชายหนุ่มตรงหน้ามีศักดิ์เป็นถึง อนุชาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้ แล้วอย่างนี้จะมีหนทาง ไหนที่นางจะก้าวไปยืนให้คู่ควร แม้ใจจะรู้สึกพิเศษจนยอม ให้เขาสัมผัส แต่มันก็แค่นั้น ในยุคโบราณห่างไกลอย่างนี้ ยศฐาบรรดาศักดิ์มีความสำคัญยิ่งยวด นางมิได้หวังปีนป่าย ไม้สูง หากแต่บางครั้งความต้องการของหัวใจก็ใช่จะหัก ห้ามกันได้ง่ายๆ

“คุณค่าของเจ้ามีมากกว่าคำว่าหญิงหม้ายยิ่งนัก อย่า ได้ดูถูกคุณค่าของตัวเองเช่นนั้น เอาเถอะเรายังมีเวลา ทำความเข้าใจกันอีกมาก ทีนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่า เหตุใด เจ้าจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับพิษชนิดนี้มากเยี่ยงนี้
เขา บทเพราะไม่อยากให้หญิงสาวต้องกังวลใจ สําหรับ เขาแล้วหากเป็นหญิงที่เขารักต่อให้เป็นเพียงชาวบ้าน ธรรมดาไสยศศักดิ์ เขาก็หาได้ใส่ใจไม่ อีกทั้งในยามนี้ทุก งอย่างยังไม่ลงตัว คนร้ายที่มุ่งร้ายต่อเขายังคงลอยนวล เขาจึงไม่อยากให้นางต้องมาตกอยู่ในอันตรายไปด้วย รอ ให้ทุกอย่างจบ นก่อนเถิด แล้วเขาจะไม่ปล่อยให้นางได้ ปฏิเสธหัวใจของนางอีก ศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงยิ่ง ใหญ่นัก หากไม่รักมีหรือจะปล่อยให้ล่วงเกิน เพียงแค่ยศ ศักดิ์หรือจะกีดกั้นความรู้สึกที่มีให้กันได้

“เอ่อ หม่อมฉัน”

“เอาเถิดถ้าเจ้าไม่สะดวกใจที่จะบอกกล่าวในตอนนี้ ข้าก็ จะไม่คาดคั้น แต่ขาอยากจะให้เจ้ารู้ไว้ ถึงแม้ข้าจะสงสัย ในสิ่งที่เจ้ารู้ แต่ขอให้เจ้าจำไว้เถิดว่าข้ามิได้ระแวงสงสัย หรือแครงใจต่อเจ้าเลย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายข้าอย่าง แน่นอน”

เมื่อเห็นนางอึกอักลำบากใจที่จะเอ่ย เขาจึงไม่คิดคาดคั้น อีกต่อไป ช่างเถิด นางรู้ได้เช่นไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่ได้รู้ว่า นางมีใจให้และไม่คิดทำร้ายเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันสัญญาว่าวันนึงข้างหน้า หม่อมฉันจะอธิบายให้พระองค์ฟังทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทรง สงสัยในตัวของหม่อมฉันเพคะ”

หญิงสาวเอ่ยด้วยความตื้นตันที่เขายังให้เกียรติไม่คาดคั้น เพราะความสามารถของนางเป็นสิ่งที่พิเศษเกินไป หากไม่ จําเป็นนางก็ไม่อยากจะให้ผู้ใดล่วงรู้ เพราะมันอาจจะนำภัย มาสู่คนๆนั้นได้อย่างคาดไม่ถึง

ขณะที่ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเข้าใจ แต่ด้านนอกห้องนั้นกลับเต็มไปด้วยความมึนงงและสงสัย

“นี่ ท่านองครักษ์ เหตุใดพี่เหลียนเฟยจึงยังไม่ออกมาอีก ล่ะเจ้าคะ มันนานมากแล้วนะเจ้าคะ ข้าทั้งเมื่อยทั้งหิว ข้าว่า ข้าเข้าไปตามนางดีกว่าเจ้าค่ะ”

เด็กสาวว่าพลางหันหลังทำท่าจะผลักประตูเข้าไป แต่มือ ยังไม่ทันได้แตะบานประตู กลับถูกอุ้งมือหนาอุ่นกุมเอาไว้ นางก้มลงมองมือใหญ่ที่จับกุมมือนางอยู่ จึงเอ่ยถามอย่าง สงสัย

“แล้วท่านมาจับข้าไว้ทำไมล่ะเจ้าคะ ข้าจะไปตามที่เหยนเฟย”

“อย่าพึ่งเข้าไปเลยเหยาเอ๋อร์น้อย รออีกซักพักเดี่ยว นางก็ออกมาแล้ว เจ้าอย่าได้เข้าไป..ขัดจังหวะเลยนะ องครักษ์หนุ่มเอ่ยพลางหน้าเริ่มแดง

“ขัดจังหวะ หมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ แล้วท่านไม่สบาย หรือไร ไยหน้าแดงเยี่ยงนั้น ให้ข้าบอกพี่เหลียนเฟยจัดยา ให้ท่านซักชุดมั้ยเจ้าคะ ปล่อยไว้ไม่ดี เดี๋ยวอาการจะแย่ ใหญ่นะเจ้าคะ”

ชายหนุ่ม (^^) “ข้าไม่เป็นไร ประเดี๋ยวก็คงดีขึ้น เจ้ามากับ ข้าเถิด”

“อ้าว แล้วพี่เหลียนเฟยล่ะเจ้าคะ”

“อีกเดี๋ยวท่านอ๋องก็คงจะปล่อยนางออกมา

“หมายความว่าท่านอ๋องจับตัวพี่เหลียนเฟยไว้หรือเจ้าคะ แล้วจับไว้ทำไมหรือเจ้าคะ
ชายหนุ่มหาได้ตอบอันใดเพียงก้มหน้าลากแขนของเด็ก สาวเดินจากไป เสียงเจื้อยแจ้วแว่วมาตามลมเป็นระยะๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ