เทพบุตรตัวเต็งในใจของฉัน

บทที่ 4 หมาดีกว่าคน



บทที่ 4 หมาดีกว่าคน

“พอประมาณ จัดการเจ้านั้นให้พอประมาณละกัน ไม่ ต้องพูดมาก ไปจัดการมันให้ฉัน” เมื่อได้ยินคำพูดของ เหล่าตาว สายตาของคุณชายเจิ้นก็เป็นประกาย ซึ่งเป็น น้าเสียงที่เยือกเย็น

เมื่อเหล่าตาวได้ยินดังนั้น ก็ชะงัก และพูดออกมาโดย ไม่ทันตั้งตัวว่า “ได้ คุณชายเจิ้นสั่งแล้ว จัดการเขาซะ ดี เลยครั้งนี้จะจัดการให้สนุกๆหน่อย จะว่าไปแล้ว ฉันเองก็ นานแล้วที่ไม่ได้ทําอะไรแบบนี้ ”

เมื่อเหล่าตาวพูดจบ มือสองข้างก็กำหมัดแน่น และใช้มือ กดเข้าหากัน ทำให้มีเสียงข้อกระดูกดังจากมือของเขา

คุณชายเจิ้นก็แสดงรอยยิ้มอำมหิตที่มุมปากออกมา และ เหยียบคันเร่งออกไปทันที รถพุ่งออกไปปานสายฟ้าออก ไปอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของล็อบบี้วิลล่า ซูเยว่กำลังถือถุงน้ำแข็ง มา ประคบบนหน้า พร้อมกับนั่งบนโซฟาด้วยอารมณ์คับแค้น ใจ

อีกด้านหนึ่ง หลินผู่ซึ่งเป็นคนดูแลซูไต้ ได้ยืนยิ้มเจื่อน อยู่ข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนนายหญิงที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้
ตอนแรกคิดว่าเธอจะลุกหนีออกไป ใครจะไปคิดว่า หลัง จากที่เธอคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก็ได้กลับเข้ามาอีก

แน่นอน ด้วยอารมณ์โกรธของซูเยว่ เธอคงไม่ได้กลับมา ที่นี่เล่นๆ แน่นอน

“ประธานชู คุณเสิ่นเขา…….” หลินฝูยังคงอธิบายถึงความ สัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจ แต่ก็โดนชูเยว่ยกมือขึ้น มาขัดจังหวะ

“พอแล้ว หลินฟู นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่สนว่า ไอ้เด็กนี้มาจากไหน ที่ผ่านมาทั้งหมด ฉันไม่ลืมเรื่องนี้แน่

“อีกอย่างฉันไม่ได้ดุนายหรอกนะ นายก็อายุปูนนี้แล้ว ทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรเลย สถานการณ์ตอนนี้ของได้ได้ นายไม่เข้าเหรอไง พี่ชายฉันเป็นป่าไปแล้ว นายไม่คิดจะ ห้ามหน่อยเหรอ ไปพาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาได้ ยังไงกัน ฉันจะรอดูว่า เมื่อคุณชายแห่งตระกูลเยกลับมา พวกนายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง” ซูเยวพูดกับหลินฟูด้วย ความโกรธเกลียด

นอกจากหลินฝูจะยิ้มเจื่อนๆแล้ว ยังซ่อนสายตาโกรธอยู่

อีกด้วย

ในตระกูลซูทั้งหมด นอกจากเธอซูเยว่ ยังมีใครที่รู้สึกดีกับเย่ชิงเทียนอีกบ้าง ก็แค่คนที่คอยซ้ำเติมคนอื่น! มีแต่ คุณนี้แหละ ที่พอจะขายเพื่อแลกมาเป็นเงินได้ เมื่อก่อน ปฏิบัติติยังไง ตอนนี้ก็ปฏิบัติเหมือนเดิม

ตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาจากประตู หลังจากนั้นมีซูเปอร์คาร์คันหนึ่งได้วิ่งพุ่งเข้ามา และจอด ตรงลานด้านหน้า

จากนั้นชายหนุ่มที่มีสีหน้าซีดเผือดได้ลงมาจากฝั่งคน ขับ ซึ่งฝั่งข้างคนขับ เป็นคนสนิทของชายหนุ่มคนดัง กล่าวเดินลงมาจากรถ

ในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินตรงไป ก็ได้เห็นซูเยว่นั่ง ประคบน้ำแข็งที่โซฟา สีหน้าของเจิ้นเฉินก็เริ่มตึงเครียด ทันที

“แม่ ใครทำอะไรแม่” เจิ้นเฉินรีบเข้าไปหาซูเยว่ พร้อม กับเอ่ยถามด้วยความโกรธ

สายตาของซูเยว่เต็มไปด้วยความอับอาย เธอไม่ สามารถพูดออกมาได้ว่า เธอตบหน้าตัวเอง

“ใช่บอดี้การ์ดคนนั้นหรือเปล่า” เจิ้นเฉินได้เอ่ยถามออกมา

“เอ่อ”
ซูเยว่ไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้บอกว่าใช่ และไม่ได้บอกว่า ไม่ใช่

“หลินฝู ใช่เจ้าคนนั้นรึเปล่า” เจิ้นเฉินได้มองไปที่หลินฝู เอ่ยถามด้วยความเยือกเย็น

“ไอ้เด็กนั้นขึ้นไปด้านบนแล้ว” ซูเยว่พูดด้วยอารมณ์ โกรธ

เจิ้นเฉินไม่ได้พูดอะไร เดินผ่านหลินฟู และรีบเดินขึ้น บันไดไป

ไม่นาน เจิ้นเฉินก็มาถึงชั้นสอง แล้วเห็นคุณหนูซูไต้เดิน ออกมาจากห้องพอดี

“เจิ้นเฉิน นายมาทําอะไร”

เมื่อเห็นเจิ้นเฉิน สายตาคุณหนูซูไต้แสดงแววตาที่ รังเกียจออกมาและใช้น้ำเสียงที่เย็นชาเอ่ยถาม

สำหรับความสัมพันธ์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง คุณหนูซูได้ไม่ ได้เกิดความรู้สึกดีๆ เพราะสำหรับเธอน้องชายคนนี้ ใน สายตาของเธอก็แค่คนขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง

ในทางกลับกันกิริยาของเจิ้นเฉินที่มีต่อคุณหนูซูไต้กลับเป็นรอยยิ้มของคนที่สนิทกัน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น มาว่า “ พี่ พี่ไม่ฟังที่แม่ผมพูดเลย พี่มีบอดี้การ์ดมาใหม่ ผมเลยจะมาดูสักหน่อย”

“แล้วมีอะไรน่าดูละ คุณอายังไม่กลับไปอีกเหรอ” เมื่อ ได้ฟังคำพูดของเจิ้นเฉิน คุณหนูซูไต้ก็ขมวดคิ้วทันที ที่ถูก ถามด้วยความสงสัย

“ยังทำธุระไม่เสร็จเลย ยังไงก็กลับไปไม่ได้ แม่ผมก็ดูแล พี่นะ ให้ผมมาหา มาช่วยพี่สำรวจ ดูบอดี้การ์ดคนนั้น ว่า เขาเป็นคนยังไง แล้วก็ก่อนที่พี่เย่จะไปต่างประเทศได้ กับผม ให้ผมดูแลพี่ให้ดีๆ พี่ พี่ว่าผมจะยอมให้ผู้ชายที่ไม่รู้ จ๊กหัวนอนปลายเท้าใกล้ชิดพี่ได้ยังไง ได้ยินมาว่าเขาจะ อยู่ที่นี่ด้วย”

“ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าอะไร จะพูดอะไรก็ระวัง หน่อย” เมื่อฟังที่เจิ้นเฉินพูด คุณหนูซูไต้ก็อดไม่ได้ที่จะ ขมวดคิ้ว และเอ่ยปากถาม

“เอาเถอะ ผมพูดผิดไปแล้ว ผมไม่พูดกับพี่ต่อแล้ว ผมไป หาชายคนนั้นก่อน อยากรู้ว่าทำอะไรได้บ้าง” เจิ้นเฉินพูด จบ ก็เบี่ยงตัวหลบคุณหนูซูไต้ จะเดินเข้าไปด้านใน

คุณหนูซูได้อยากจะขัดขวางไว้ แต่พอนึกถึงพฤติกรรม ที่เสิ่นหวนทำกับเธอเมื่อครู่นี้ คุณหนูซูไต้ก็หยุดความคิด ที่จะขัดขวางเอาไว้
เธอให้เจิ้นเฉินไปสั่งสอนเขาก็ดีนะ ก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ทำอะไรได้บ้าง

ในใจของคุณหนูซูไต้ก็ได้คิดอะไรบางอย่างออกมา ถ้า หากว่าความสามารถเขาไม่ได้เรื่องละก็ เราค่อยเอ่ยปาก พูด ถึงตอนนั้นค่อยหาเหตุผลให้เขาออกไปจากที่นี่

และในขณะนั้น เจิ้นเฉินก็ได้หาห้องของเสิ่นหวนเจอ พอดี เมื่อเห็นตำแหน่งห้องของเส้นหวน เจิ้นเฉินก็แสดง สายตาตกใจค้างออกมา

เพราะว่าห้องของเสิ่นหวน อยู่ติดกับห้องของคุณหนูซูไต้ โดยมีกำแพงกั้นระหว่างตรงกลาง

วอนหาที่ตายจริงๆ

เมื่อเห็นช่องว่างจากบานประตู ซึ่งประตูไม่ได้ถูกปิดให้ สนิท เจิ้นเฉินจึงไม่ลังเลใช้เท้าถีบเปิดประตู และได้เห็น ชายดังกล่าวนอนเอนกายอย่างสบายอยู่บนเตียง

“ออกไป”

เป็นน้ำเสียงที่เย็นชา และใบหน้าที่คิ้วขมวดของเจิ้นเฉิน
“นายเป็นบอดี้การ์ดที่มาใหม่ใช่ไหม” เจิ้นเฉินได้ยิ้มเยาะ เย้ยที่มุมปาก และเอ่ยปากพูดออกมา

“ออกไป” เสิ่นหวนได้ใช้น้ำเสียงที่เยือกเย็นโต้กลับมา

เจิ้นเฉินถึงกับชะงักเล็กน้อย ยิ้มแหยๆออกมา และพูด กลับไปว่า “ ไม่เลวนิ ก็พอจะมีกำลังอยู่นะ คนสุดท้าย ดุ ฉันแบบนี้ ฉันได้โยนลงน้ำไปให้ปลากินเรียบร้อยแล้ว ”

“แต่ฉันก็อยากลองดูนะ ว่านายมีกำลังมากแค่ไหน เดิน ลงไปด้านล่างกับฉัน ขอฉันดูหน่อย บอดี้การ์ดแบบนาย กําลังแรงมากพอแค่ไหนกันเชียว”

“แน่นอน ถ้าแรงไม่เยอะพอ ถือว่านายใช้ไม่ได้เอาซะ เลย พอถึงตอนนั้น อย่ารอให้ฉันต้องทำลายบ้านของเธอ”

คำพูดของเจิ้นเฉิน ทำให้เสิ่นหวนลืมตาขึ้นมา แล้วลุก ขึ้นมามองเจิ้นเฉิน ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ เธอพูดว่าอะไรนะ

“เหอๆ ถ้ามีแรงมากพอ ก็ลงไปด้านล่างกับฉัน” เจิ้นเฉิ นรู้ดีว่าชายผู้นี้พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ อยากยั่วยุเขาอีก ได้แต่หันตัวเดินลงบันได
เมื่อเสิ่นหวนเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นแล้ว ตาก็ลุกเป็น ประกาย จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเดินลงไป

ตอนที่เสิ่นหวนกำลังเดินลงบันได พบว่าตรงล็อบบี้ มี สมาชิกคนอื่นๆในบ้านได้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว

“คุณเ….….….….….. หลินฟูกำลังจะเดินขึ้นมาบอกอะไรบาง อย่างอยู่พอดี

แต่เจิ้นเฉินก็ไม่ลังเลที่จะยกนิ้วชี้ไปตรงหลินฟูและรีบพูด ออกมาว่า “ หุบปาก

“อวดดี!” เมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้นเฉิน คุณหนูซูไต้เริ่ม โกรธขึ้นมาทันที เธอคว้าตัวหลินฟูเอาไว้ เพราะที่ผ่านมา เธอปฏิบัติกับหลินฟูเสมือนคนในบ้าน แต่ไม่คิดว่า เจิ้น เฉินไม่มีความเกรงใจกับหลินฟูเลย

แต่ ณ ตอนนั้น เจิ้นเฉินไม่ได้ฟังที่คุณหนูซูไต้พูดออกมา และชี้ไปตรงหน้าของเหล่าตาวและพูดว่า “นี่คือลูกน้อง ของผม เหล่าตาว มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ไหน ๆนายก็ อยากจะมาเป็นบอดี้การ์ดแล้ว ก็ลองต่อสู้กับเหล่าตาวสัก หน่อยซิ ”

“ถ้าชนะ ฉันก็จะยอมรับในพละกำลังของนาย ถ้านาย แพ้ ก็ต้องออกจากที่นี่ไปซะ”
“ใช่ ลืมบอกอะไรบางอย่าง เหล่าตาวเป็นคนที่มีพละ กำลังเยอะมาก ไม่เคยออมมือให้ใคร นายขอพรเยอะๆ แล้วกัน” เจิ้นเฉินพูดขู่กับเสิ่นหวน

เงินหวนไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่มองไปที่เหล่าตาว คิ้วเริ่ม ขมวดเข้าหากัน และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ” นาย เป็นทหารเหรอ ”

เมื่อเจิ้นเฉินได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะลั่นออกมา พูดต่ออีก ว่า “ ไม่เลวนิ ตาถึงเหมือนกันนะนาย เหล่าตาวเป็นราชา แห่งรบของหน่วยรบพิเศษ ฉะนั้น ถ้าหากนายสารภาพมา ตอนนี้ มาขอร้องฉัน ก็ไม่แน่ฉันอาจจะปล่อยนายไป ”

เสิ่นหวนได้แต่ทำหน้าคิ้วขมวด และมองเหล่าตาว ถาม ต่อว่า “ในเมื่อเป็นถึงหน่วยรบพิเศษปลดประจำการ แล้ว มาเป็นหมารับใช้ให้คนประเภทนี้หรอกเหรอ ”

หลังจากที่เหล่าตาวได้ยินดังนั้น ก็แสดงสีหน้าโกรธมาก อย่างชัดเจน เขาจ้องไปยังเสิ่นหวน และพูดแบบเย็นชาว่า “ก็มีบางครั้ง ที่หมาดีกว่าคน เช่นนายไง อีกเดี๋ยวก็รู้ ชีวิต นายต่อจากนี้ แม้แต่หมาตัวเดียวนายก็เทียบไม่ได้ ”

“ไร้สาระมามากพอละ ไปกันเถอะ ไปด้านนอกกัน ฉัน อยากรู้แล้วว่านายมีแรงเยอะแค่ไหนกันเชียว” เฉินเฉินพูดอย่างไร้ความอดทน และเหล่าตาวก็ยกมือขึ้นมา กระดิกนิ้วเรียกเสินหวน แล้วหันเดินออกไปด้านนอก

เสินหวนเดินตามออกไปด้วยความมั่นใจ

ตอนนั้นคุณหนูซูไต้ก็เดินตามออกไปด้วย แววตาของ คุณหนูซูไต้ยังมีความกังวลอยู่ เพราะดูเหมือนว่าเหล่า ตาวที่คนเจิ้นเฉินพามาดูมีพละกำลังอยู่ไม่น้อยเลย

และสายตาของซูเยว่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเป็น สายตาที่สุขุมแอบซ่อนอารมณ์อะไรบางอย่าง

เสิ่นหวนเดินลงบันไดไปไม่กี่ก้าว ก็พบว่าเหล่าตาวได้ หยุดอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน และหันตัวกลับมาที่เสิ่น หวน แสดงรอยยิ้มเย็นชาออกมา หลังจากนั้นของเขาก็ เตะมาที่เสิ่นหวน

เสิ่นหวนรีบถอยออกไปเล็กน้อย เพื่อจะหลบเท้าของ เหล่าตาว แต่แล้วเหล่าตาวก็จู่โจมเข้าต่อเนื่องทันที เป็น ท่าที่โหดเหี้ยมเพื่อทำร้ายเสิ่นหวนให้บาดเจ็บ ในค่าย ทหาร ท่าทั้งหมดนี้เป็นท่าต้องห้ามของนักฆ่า เว้นแต่จะใช้ เผชิญหน้ากับศัตรูเท่านั้นเอง

“ไอ้หนุ่ม ไม่เลวนิ ความสามารถใช้ได้ทีเดียว” ใน ระหว่างการต่อสู้ เหล่าตาวได้หยุดพักเพื่อหยุดหายใจ ยิ้ม และพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
เสิ่นหวนได้ส่งสายตามองอย่างเยือกเย็นมองไปที่เหล่า ตาว พูดว่า ” ที่จริงฉันจะให้โอกาสนายอีกรอบ แต่ดูๆแล้ว นายใช้ความรู้ที่เคยเรียนตอนอยู่ในค่ายทหาร มาเป็น อาวุธในการต่อสู้ครั้งนี้! ”

“ไร้สาระจริงๆ” เหล่าตาวพูดด้วยอารมณ์โกรธ เขาได้กํา หมัดและเตรียมตัวเพื่อต่อสู้อีกครั้ง

ครั้งนี้ เขาว่องไวมาก แต่ความเร็วในการต่อสู้ของเสิ่น หวนเร็วกว่าเขาไปเสียอีก เพียงพริบตาเดียว เสิ่นหวนได้ ไปปรากฏตัวด้านหน้าของเขา หลังจากนั้น ก็เตะอย่าง หนักไปที่เหล่าตาว ทำให้เหล่าตาวปลิวไปสี่เมตรห้าเมตร และค่อยๆร่วงกระแทกพื้น เลือดพุ่งออกจากปาก

เหล่าตาวในตอนนี้ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเพิ่งจะขยับขา แต่กลับทำให้กระดูกขาหักไปสอง สามซี่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ทันได้เห็นมือของคู่ต่อสู้เลย กำลังแรงของสองฝ่าย ถือว่าไม่ต่างกันเลย

และตอนนี้ เสิ่นหวนก้าวเดินออกไป ก้าวเดินอย่างช้าๆ

ไปที่เหล่าตาว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ