ราชาหลง-จอมยุทธสมัยใหม่

บทที่ 12 คือใครที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินหรือ



บทที่ 12 คือใครที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินหรือ

บทที่ 12 คือใครที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำหรือ

เติ้งหลุนพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ ทำให้ หลีชิงเยียนกังวลใจ จ้องเขม็ง เฉินเป่ย ทั้งโมโหทั้งจนใจ

ไอ้หมอนี่ ที่มือไม่พายยังเอาเท้าราน ล้วนแต่หาเรื่องสร้าง ปัญหาให้ตัวเอง! หลีชิงเยียน แอบดึงเสื้อผ้าของ เฉินเป่ย ส่ง สัญญาณให้เขา หยุดต่อล้อต่อเถียงกับ เติ้งหลุน ได้แล้ว ถ้าเขา ยังโต้เถียงต่อไป เพียงแต่จะให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าเท่านั้น!

เมื่อเทียบกับ เฉินเป่ย หลีชิงเยียนก็เชื่อในสิ่งที่ เติ้งหลุนพูด โดยธรรมดา ถ้า เฉินเป่ย มีความสามารถจริงๆ ก็จะไม่แต่งเข้าบ้าน ตระกูลหลีแล้ว กลายเป็นลูกเขยที่ไร้สาระ ที่โดนคนหัวเราะเยาะ มากมายจนนับไม่ถ้วน

เติ้งหลุนเม้มริมฝีปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม มองไปที่หลีชิง เขียน น้าเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ “ชิงเยียน ฉันรู้สึกเสียใจกับ คุณจริงๆ คุณดูสิ หาสามีแบบไหนกัน แม้ว่าจะเป็นการแต่งเข้าบ้าน ฝ่ายหญิง แต่ก็ควรจะมีดูเป็นผู้เป็นคนบ้าง? แต่เขาล่ะ ถือเป็นตัว อะไรกัน?”หลีเซียงหานที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ส่งเสียงมานานก็พูดขึ้น อย่างประนีประนอม “ก็แค่ไวน์ขวดหนึ่งเอง ไม่จําเป็นต้องคิดเล็ก คิดน้อย อย่าให้เสียความรู้สึกเลย กินกับข้าว
เติ้งหลุน สองมือกอดอก มองเฉินเป่ยด้วยสายตาเย้ยหยัน แล้ว พูดขึ้น “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องไวน์ขวดหนึ่งแล้ว คือเขาดันจะเสนอหน้า คนที่แม้แต่ไวน์ยังชิมไม่เป็น แต่ดันจะสอนจระเข้ว่ายนําอีก!”

“เหลวไหลสิ้นดี” ทันใดนั้น เฉินเป่ยที่สีหน้านิ่งสงบ มุมปากยก ขึ้นอย่างลึกลับ มองไปที่เติ้งหลุนค่อยๆพูดว่า “คุณ……. รู้เรื่อง ไวน์จริงๆหรือ?”

สายตาของเฉินเป่ย จ้องมองที่ เติ้งหลุน แววตาลึกล้ำ ราวกับ ดาบอันแหลมคม แทงทะลุ เติ้งหลุน……..ทำให้เติ้งหลุนสะดุ้งตัว สั่น แข็งที่อไปทั้งตัว!

ในวินาทีนั้น เติ้งหลุน เกิดภาพหลอนขึ้น เหมือนว่าตัวเองกำลัง โดยสัตว์ร้ายสุดขั้วจ้องจะเขมือบ!

เติ้งหลุนจ้องไปที่ เฉินเป่ย สีหน้ามืดมนราวกับน้ำนิ่ง ตัวเองอยู่ ต่อหน้าเฉินเป่ย เสมือนไม่มีความลับใดๆเลย!

เติ้งหลุนรู้สึกขาดความมั่นใจแล้ว …… เขาจะรู้เรื่องไวน์จริงๆได้ อย่างไร มากสุดเขาก็แค่มีความรุ้งๆปลาๆเท่านั้น

เฉินเป่ยมองไปที่ เติ้งหลุน “ไวน์แดงลาฟิตในปี1982 ในบรรดา ไวน์แดง ก็ถือเป็นไวน์ชั้นเลิศจริงๆ รสชาติยอดเยี่ยม แต่ ไวน์แดง ลาฟิต ในปี 1983 กับ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982นั้น มีรสชาติที่คล้ายคลึงกันมาก แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ แดง ก็ยังสับสนได้ง่ายยิ่งนะ คุณใช้ ไวน์แดงลาฟิต ในปี 1983 แอบอ้าง ไวน์แดงลาฟิตในปี1982 นำด้อยเสริมดี คุณยังมีสิทธิ์ บอกว่าตัวเองเป็นคนชั้นสูง?”

เสียงของ เฉินเป่ย ไม่ดังมาก แต่ทําให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ สามารถได้ยินอย่างชัดเจน สีหน้าของ หลีชิงเยียน เปลี่ยนไปเล็ก น้อย และ หลีหยางกําลังครุ่นคิด

“ไวน์แดงลาฟิต ในปี 1983 นิ่นายกําลังดูถูกฉันหรือ? ฉันจะเอา มันมามอบให้คุณอาหลีหรือ?” เติ้งหลุนนิ่งชะงักครู่หนึ่ง จากนั้น ก็ยิ้มอย่างเย็นชา นี่สำหรับเขาแล้ว คือการเหยียดหยามแบบซึ่ง หน้า?

“ในบรรดาไวน์แดงลาฟิต ไวน์แดงลาฟิตในปี1982นั้นดีที่สุด รสชาติที่เข้มข้นละมุน สง่ายาวนาน ไวน์แดงลาฟิตในปี 1983 แม้ว่าจะเป็นของชั้นเลิศเหมือนกัน แต่ในระดับความหวาน จะไม่ เทียบเท่า โดยรวมแล้วจะเปรี้ยวอมฝาด ไวน์แดงลาฟิตขวดนี้ของ คุณ เห็นได้ชัดเป็นขยะในปี1993 ที่คนชนชั้นสูงใช้มาหลอกคนที่ ไม่รู้เรื่อง” เฉินเป่ยเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงบราบเรียบ ราวกับว่ากำลัง อธิบายความจริง ที่ไม่สามารถโต้เถียงได้

เติ้งหลุนยิ้มเยาะ “ยังคงจะตอแหลอีก หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าของ คุณอาหลี ได้เปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของไอ้บ้านนอกคอกนา ที่แกล้งทำตัวสง่าของนายนานแล้ว

หลีชิงเยียน ขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่ เฉินเป่ย “รสชาติของไวน์ ต้องค่อยๆ มอย่างช้าๆ เมื่อกี้นายดื่มเต็มคําขนาดนั้น จะตัดสิน ออกมาได้อย่างไร ว่านี่เป็นของปี1983?”

เฉินเป่ย หัวเราะเบาๆ ไม่ได้อธิบาย เมื่อกี้เขาได้ดื่มไวน์แดงลา ฟิตในปี1983 ราวกับเป็นน้ำเปล่า ล้วนเป็นเพราะว่า เมื่อเขาได้ กลิ่นหมอละมุนของไวน์แดงแก้วนี้ ที่กระจายออกมา ก็ได้ประเมิน อายุของไวน์แล้ว

ไวน์แดงลาฟิตในปี1982เขาคุ้นเคยยิ่งนัก ในตอนที่อยู่ใน ประเทศฝรั่งเศษ มีช่วงเวลาหนึ่งที่หมดอาลัยตายอยาก เขาดื่ม ไวน์แดงลาฟิตในปี1982 แทนน้ำดื่ม และยังมีครั้งหนึ่ง ที่ดื่มจน เมา เอามาแช่อาบน้ำ

สำหรับกลิ่นหอมของไวน์แดงลาฟิตในปี1982 เฉินเป่ย คุ้นเคย กว่าทุกคนในเหตุการณ์…….ดังนั้นเขาจึงตัดสินออกมาตั้งนานแล้ว ว่านี่ไม่ใช่ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982

เฉินเป่ยมองไปที่ หลีหยาง “ฉันจําได้ว่า พ่อครัวทุกคนของมิ ชลินสามดาว มีความเชี่ยวชาญในส่วนผสมของอาหารอย่างมาก มีความสามารถในการประเมินไวน์ยิ่งนัก เอาไวน์แดงลาฟิตขวด นี้ ให้พวกเขาชิมดีกว่าไหม ด้วยความสามารถของพวกเขาแล้ว ตัดสินว่ามันคือ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982หรือเปล่า ยิ่งนิดเดียว”

“นี่…………….” ใบหน้าที่งดงามของ หลีชิงเยียน พาดผ่านความกังวล ขมวดคิ้วมุ่น เธอจ้องมอง เฉินเป่ย อย่างไม่ละสายตา เธอไม่ เข้าใจ ว่า เฉินเป่ยกำลังจะทำอะไรกันแน่?

แสร้งทำสักพักก็ได้แล้ว ดันจะทำเรื่องให้กระจ่างรู้ถึงความจริง ตัวเองค่อนข้างมั่นใจว่า นี่คือ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982 ไวน์แดง ลาฟิตอื่นไม่ได้มีรสชาติที่ละมุนเข้มข้นแบบนี้ ไอ้หมอนี่ คงจะไม่ ให้บีบตัวเองจนตรอกใช่ไหม?”

เดี๋ยวความจริงกระจ่าง สิว่าเขาจะกู้สถานการณ์อย่างไร!

“ได้ วันนี้ก็ให้ไอ้บ้านนอกอย่างนาย รู้จักคำนําหนึ่ง ไม่รู้จักฟ้า สูงแผ่นดิน แปลว่าอะไร!” เติ้งหลุนตอบตกลงทันทียังกลัวว่า เฉินเป่ยจะเปลี่ยนใจ

เขาเชื่อในไวน์แดงสองขวดนี้มาก เพราะเขาใช้เงินจำนวนมาก เพื่อขนส่งทางอากาศจากประเทศฝรั่งเศษโดยเฉพาะ วันนี้จะต้อง ให้คนชั้นต่ำ ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ อับอายขายหน้าแน่นอน

และจะให้หลีชิงเยียนให้ดูว่า สามีไม่เอาถ่านที่เธอตาบอดเลือก มา มีจุดจบอย่างไร?
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบงันในทันที ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ เงียบสงบทั่วทิศ ชั่วครู่หลีหยางก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ก็เทบาง ส่วนส่งไปที่ห้องครัว ก็ถือว่าได้เพิ่มความรู้

ในไม่ช้า แก้วไวน์เปล่าถูกยกจากห้องครัว คนรับใช้คนหนึ่ง โน้ม ตัวกระซิบบางอย่างข้างหูหลีหยาง

หลังจากฟัง หลีชิงเยียนฟังแล้ว หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เอา ล่ะ ผลก็ไม่สำคัญนะ รีบกินข้างเถอะ

เฉินเป่ย พยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว พูดผลที่ได้ออกมา ไม่ดีสำหรับ ทุกฝ่าย ทำให้เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์ คือผลลัพธ์ที่เลวร้าย ที่สุด”

“ไม่ คุณอาหลี ประกาศผลที่ได้ดีกว่า เพื่อให้ใครบางคนได้รู้ว่า ตกลงใครกันแน่ ที่เป็นกบในกะลา” เติ้งหลุนบอกกะทันหัน น้ำ เสียงแข็งกร้าว

หลีหยางมองไปที่ เติ้งหลุน ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ค่อยๆพูด ขึ้น “เติ้งหลุน จะประการผลลัพธ์จริงๆหรือ?”

“แน่นอน” เติ้งหลุนยิ้มอย่างมั่นใจ สายตามองไปทาง เฉินเป่ย เพราะคนบ้านนอกบางคน ไม่รู้จักตัวเองเลย แค่ไวน์ยังดื่มไม่เป็น ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอ่านจากหนังสือเล่มไหนมาไม่กี่คำ ก็เริ่มแสร้งทำ เป็นคนชนชั้นสูงแล้ว แต่ตัวเขาเองไม่รู้เลย คนจรจัดยังไงก็เป็นคนจรจัด!”

หลีหยางถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองเติ้งหลุนด้วยความหมาย ที่ลึกซึ้ง และพูดว่า “เจ้าหลุน เมื่อกี้พวกเชฟทั้งหลายระดับมิชลิน สามดาวในครัว ได้ดื่มไวน์แก้วทั้งหมดนี้ ผลการประเมินของพวก เขา ล้วนบอกว่า นี่เป็น ไวน์แดงลาฟิตในปี1983

เงียบ!

คำพูดของ หลีหยาง ทำให้งานเลี้ยงอาหารค่ำเงียบงันดั่งป่าช้า

รอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของเติ้งหลุนก็ชะงักนิ่งค้างในทันที สีหน้าเปลี่ยนไป โต้กลับด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไป ไม่ได้ที่จะใช่ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982!”

“นี่เป็นผลที่เป็นเอกฉันท์ของพวกเขาทุกคน” ดวงตาของ หลีหยาง กวาดผ่านเฉินเป่ย ส่วนลึกในดวงตา ประกายความ ประหลาดใจ

ส่วนหลีชิงเยียน ใบหน้างดงามนิ่งอึ้ง มองไปที่ เฉินเป่ย รู้สึก เหลือเชื่อในใจ
เลย คนจรจัดยังไงก็เป็นคนจรจัด!”

หลีหยางถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองเติ้งหลุนด้วยความหมาย ที่ลึกซึ้ง และพูดว่า “เจ้าหลุน เมื่อกี้พวกเชฟทั้งหลายระดับมิชลิน สามดาวในครัว ได้ดื่มไวน์แก้วทั้งหมดนี้ ผลการประเมินของพวก เขา ล้วนบอกว่า นี่เป็น ไวน์แดงลาฟิตในปี1983

เงียบ!

คำพูดของ หลีหยาง ทำให้งานเลี้ยงอาหารค่ำเงียบงันดั่งป่าช้า

รอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของเติ้งหลุนก็ชะงักนิ่งค้างในทันที สีหน้าเปลี่ยนไป โต้กลับด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไป ไม่ได้ที่จะใช่ ไวน์แดงลาฟิตในปี1982!”

“นี่เป็นผลที่เป็นเอกฉันท์ของพวกเขาทุกคน” ดวงตาของ หลีหยาง กวาดผ่านเฉินเป่ย ส่วนลึกในดวงตา ประกายความ ประหลาดใจ

ส่วนหลีชิงเยียน ใบหน้างดงามนิ่งอึ้ง มองไปที่ เฉินเป่ย รู้สึก เหลือเชื่อในใจด้วย แต่รายละเอียดที่ทุกคนรู้กันดีแบบนี้ จะมีกี่คนที่จะใส่ใจ?

เฉินเป่ยถอนหายใจ “จะว่าไป ใครบางคนก็พูดไม่ผิด ไม่เข้าใจ สามารถค่อยๆเรียนรู้ได้ แต่ไม่รู้ว่าแสร้งทำเป็นรู้ จงใจโอ้อวด สุดท้ายแล้วก็ตกหน้าตัวเองอยู่ดี มีความหมายอะไร?”

คำพูดของ เฉินเป่ย ทำให้ เติ้งหลุน ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ใบหน้าเหมือน ลุกเป็นไฟแทบอยากจะหายไปจากที่นี่ในทันที

“คุณอาหลี ฉันยังมีธุระ มีเรื่องอะไร ติดต่อกันทางโทรศัพท์อีก ที” เติ้งหลุนกัดฟันแน่น ลุกขึ้นทันที รีบพุ่งออกจากคฤหาสน์

หลังจากที่ เติ้งหลุน จากไป หลีชิงเยียนมองไปที่ เฉินเป่ย การ ประพฤติของ เฉินเป่ยในเมื่อกี้ ทำให้เธอทั้งพอใจและเต็มไปด้วย ความสงสัย

ในความคิดของเธอแล้ว เฉินเป่ยเป็นเพียงแค่ผู้ไร้ประโยชน์ ที่ ไม่มีงานมีการ แต่ไม่เคยนึกว่า วันนี้จะสามารถพูดความรู้มาก มายเกี่ยวกับไวน์แดงลาฟิต ออกจากปากเขาในทันใด ยังพูดได้มี เหตุผลน่าฟังมาก

ในเวลานั้น ท่าทางที่ เฉินเป่ย แสดงออกมา ไม่เหมือนกับ นักเลงที่ วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่กินกับนอนอย่างเดียวเลย ตกอยู่ ในสายตาของ หลีชิงเยียนแล้ว กลับมีความเป็นสภาพบุรุษเพิ่งขึ้น

ถึงตอนนี้ หลีชิงเยียน ยังไม่สามารถเข้าใจได้ สิ่งที่ เฉินเป่ยพูด เมื่อกี้ เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่ เธอมักจะรู้สึกเสมอว่า สิ่งที่ เฉินเป่ยพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก

ทันใดนั้นหในตอนนี้เอง หลีหยางก็พูดขึ้นกะทันหัน มองไปที่ เฉินเป่ย หัวเราะเบาๆ “นายรู้ภาษาฝรั่งเศษหรือ?”

เฉินเป่ย ตอบอย่างใจเย็น “รู้แค่นิดหน่อย”

“เท่าที่ฉันรู้ ภาษารองอย่าง ภาษาฝรั่งเศษ ในหัวเซียมีไม่กี่คนที่ เข้าใจ ยิ่งดูจากเมื่อกี้ที่นายพูดแล้ว นายรู้จักไวน์เป็นอย่างดี?”

ส่วนลึกในแววตาของ หลีหยาง พาดผ่านความหมายอันลึกซึ้ง ในคำพูดของเขา เพิ่มความหยั่งเชิง ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ การก ระทําของ เฉินเป่ย ในเมื่อกี้ ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก ในฐานะ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจเมืองหูไห่ เขาไม่อดไม่ได้ที่จะหยั่งเชิง อีกครั้ง

“เมื่อก่อนเคยทํางานในโรงแรมใกล้กับChâteau Lafite Rothschild กับเพื่อนๆ ดังนั้นจึงรู้เรื่องทั่วไปของไวน์แดงลาฟิต นิดหน่อย สําหรับที่ตอบโต้เขา เพียงแค่หมั่นไส้เขาเท่านั้น เห็น ได้ชัดว่าเขาจงใจจะรังแกผู้หญิงของฉัน เลยพูดไปเรื่อยสองสามคำ

หลีหยางครุ่นคิดบางอย่าง พยักหน้าเบาๆ ส่วนหลีชิงเขียนหน้า เขินแดง ขายาวใต้โต๊ะ เตะ เฉินเป่ยเบาๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉินเป่ย พูดแดกดัน เติ้งหลุน ที่น่ารำคาญหรือ เปล่า หลีชิงเยียนรู้สึกว่า เฉินเป่ยดูเหมือนจะไม่น่ารำคาญมาก ขนาดนั้นแล้ว

หลีหยางพยักหน้าเบาๆ ล้มเลิกความหยั่งเชิงที่มีต่อเฉินเป่ย ได้เห็นนายเห็นค่าเอ็นดู ชิงเยียนของเรามากขนาดนี้ ฉันก็โล่ง อกแล้ว!”

“พ่อ” ใบหน้าสวยงามของ หลีซิงเยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตะโกนเรียกขึ้น

และ หลีหยาง เพิกเฉยท่าทีของหลีชิงเยียน พูดกับ เฉินเป่ยอ ย่างกระตือรือร้น “เฉินเป่ยนายก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของเรา มาหลายเดือนแล้ว ดังนั้นเราก็อย่าห่างเหินกันแบบนี้ นายควรจะ เปลี่ยนสรรพนามคำเรียกหน่อยไหม?”

เฉินเป่ย ตอบสนองได้ทันที ยิ้มอย่างดีใจ เรียนด้วยความเคารพ และเอาใจ “พ่อ”
หลีหยางพยักหน้า “ต่อไปฉันก็เรียกนายว่า เจ้าเฉิน แล้วกัน มาๆๆ กินกับข้าว”

หลีหยางตักเนื้อวัวพริกไทยดำใส่ลงในชามของ เฉินเป่ย ส่วน หลีชิงเยียนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะอีกข้างหนึ่ง ด้วยอารมณ์กลัดกลุ้ม จ้องเขม็งเฉินเป่ย ที่อยู่อีกข้างหนึ่ง ราวกับว่าไอ้หมอนี่มีความ แค้นอย่างรุนแรงกับเธอ

เฉินเป่ย เพิกเฉยต่อสายตาที่เย็นชาโหดร้ายปรารถนาสังหารคน ของ หลีชิงเยียน ขยันเรียกต่อหน้าหลีหยาง………เพราะนั่นคือ พ่อตาของตัวเอง เฉินเป่ยจะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร!

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งครอบครัวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น นอนดูทีวีบนโซฟาที่หรูหรากว้างขวาง

เฉินเป่ย หิ่นแอปเปิ้ลให้พ่อแม่ของ หลีชิงเขียน อย่าง กระตือรือร้น ส่วนหลีชิงเยียนอยู่ข้างๆ ดูทีวีด้วยความโกรธ แผนที วางไว้ในใจก่อนหน้านี้ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าเฉินได้ยินมาว่า วันนี้ชิงเยียน ถูกลอบสังหารโดยนักฆ่า?” หลีหยาง นึกขึ้นได้กะทันหัน แล้วถามว่า

“ใช่ แต่ชิงเยียนไม่เป็นอันตราย…….” ทันทีที่เฉินเป่ย ถูกขึ้น ก็ถูก หลีชิงเยียนขัดจังหวะ “ไม่มีอะไร! ทั้งหมดเป็นแค่ข่าวลือ!”

“ชิงเยียน อย่าขัดจังหวะที่เจ้าเฉินพูด” หลีหยางเหลือบมองหลี ชิงเยียน หลีชิงเยียนจ้องเขม็ง เฉินเป่ย อย่างดุเดือด เป็นนัยว่า ให้เขาอย่าพูดไปเรื่อย

“พ่อ พ่อไม่ต้องกังวล ฉันจะใช้ชีวิตของตัวเอง เพื่อปกป้อง หลี ชิงเยียนแน่นอน” ทันทีที่เสียงของ เฉินเป่ย จบลง หลีชิงเยียน ก็คำรามเสียงต่ำ เหยียบรองเท้าแตะไว้ แล้วเดินเข้าไปในห้อง นอนทันที

หลีชิงเยียน รู้สึกจริงๆว่า ในโลกนี้ เฉินเป่ย หน้าด้านที่สุด ทั้งๆ ที่เขาทิ้งตัวเองไว้ ในช่วงที่อันตรายวิกฤตที่สุด แต่ตอนนี้กลับมา ประจบเอาผลงานอยู่ได้

เฉินเป่ย เดินตามขึ้นไปในทันที ผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอน เห็นหลีชิงเยียน กำลังหันหลังให้ตัวเอง

“ชิงเยียน …..” เฉินเป่ยกำลังอยากจะยื่นมือเข้าไป ทันใดนั้น หลีชิงเยียนก็จับไหล่ของเขาไว้ หันกลับมา เหวี่ยงตัวทิ้งอย่าง สวยงามคมเฉียบ!

ตูม!
ใครจะไปคิดว่า ราชาหลงผู้ซึ่งคนควบคุมทุกสถานการณ์ ชื่อ เสียงโด่งดังในต่างแดน เฉินเป่ยผู้ซึ่งมีชื่อเสียงน่าเกรงขาม ใน การต่อสู้ที่ปกคลุมไปด้วยระเบิดลูกปืนนับไม่ถ้วน แต่ได้ล้มลงกับ พื้น ในวินาทีนี้ น่าอับอายมากยิ่งนัก……..


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ