ร้ายพ่ายรัก

บทที่9 ล้มเหลว



บทที่9 ล้มเหลว

หนึ่งเดือนต่อมา

“เพล้ง! ออกไปไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” ภาคินปัดแก้วน้ำลงตกแตก กระจายเต็มพื้นห้องพร้อมกับตวาดใส่พยาบาลที่มาเคยดูแลตัว เอง

“ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” สะดุ้งตกใจรีบเดินออกไปจากห้อง ตรงไป ยังบ้านหลังใหญ่ทันที

อัมพรกับสุวัตรกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ในห้องนั่งเล่น พยาบาล สาวหน้าตาตื่นเดินเข้ามาในห้อง

“มีอะไรหรือเปล่าหนู”อัมพรถามขึ้น

“คือ หนูขอลาออกค่ะ”

“ฉันเข้าใจจ้ะ ไปเถอะ เดี๋ยวเงินที่ยังไม่ได้จ่ายฉันจะโอนเข้าบัญชี หนูทีหลังก็แล้วกัน”

“ขอบคุณนะคะ ที่เข้าใจ” ยกมือขึ้นไหว้แล้วเดินออกไป

“คุณฉันอยากจะเป็นลมจริงๆ” อัมพรหันไปคุยกับสามีตัวเอง
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” สุวัตรถอนหายใจแรงๆ

“แต่นี้มันพยาบาลคนที่สิบในรอบหนึ่งเดือนแล้วนะคะ ฉันอยาก จะบ้าตายจริงๆ”

“ผมก็จนปัญญาแล้วล่ะ ไม่มีใครเข้าหน้าคนติดเลยสักคน”

“รอมินกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน ไปดูลูกกันก่อน เถอะคุณ” อัมพรเอ่ยขึ้น

อัมพรกับสุวัตรพากันไปที่บ้านหลังเล็กเดินเข้าไปในห้อง ก็เจอ ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ส่วนภาคีนก็นอนกองอยู่ตรง พื้นห้องไม่ไหวดิ่ง

“ตายแล้ว!คินลูกทําไมลงมานอนตรงพื้นอย่างนี้ล่ะ”

“มาผมช่วยพยุงลูกดีกว่า คุณไปตามคนให้มาทําความสะอาด เถอะ”

“ค่ะ” อัมพรเดินออกไปเรียกคนให้มาที่บ้านหลังเล็ก

หลังจากพยุงภาคินขึ้นนั่งบนวีลแชร์แล้ว สุวัตรก็พาภาคินออก มาตรงริมสระเผื่ออารมณ์จะได้ดีขึ้น และสูดอากาศข้างนอก เพ ราะภาคินเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
“คินลูกอย่าทำอย่างนี้อีกเลยนะ แม่เป็นห่วงรู้ไหม”

“จริงๆ ผมน่าจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย”

“ลูกมีอะไรติดค้างอยู่ในใจกันแน่ ถึงได้หมดกำลังใจขนาดนี้ บอกพ่อมาเถอะ” สุวัตรตบไหล่ลูกชายเบาๆ

“ไม่มีครับ”

“เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรเก็บไว้คนเดียวรู้ไหม มันจะทำให้ลูก อึดอัดเสียเปล่าๆ ”

“บอกมาเถอะนะลูก เผื่อมันจะทำให้ลูกดีขึ้นมาบ้าง”อัมพรเอ่ย เสริมขึ้น

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ผมอยากอยู่คนเดียว”

“จ้ะ ไปกันเถอะคุณ” อัมพรชวนสามีตัวเองออกไปจากบริเวณ

พอตกเย็นมินก็กลับเข้าบ้าน หลังจากที่กลับมาจากร้านกาแฟ ของตัวเอง เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ก็เจออัมพรกับสุวัตรนั่งอยู่ ตรงห้องนั่งเล่น เธอจึงเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่
“อ้าวมาแล้วเหรอลูก อัมพรเอ่ยขึ้น

“ค่ะ” ทั้งตัวนั่งลงบนโซฟานุ่ม

“เหนื่อยไหมวันนี้”

“ก็นิดหน่อยค่ะ”

“แล้วแวะไปหาพี่คนหรือยัง

“ยังเลยค่ะ กะว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปพามาทานข้าวด้วย

กัน”

“พยาบาลคนที่สิบเพิ่งลาออกไปเมื่อตอนเช้านี้เอง

“อะไรนะคะ เอาอีกแล้วเหรอ” มินถอนหายใจแรงๆ แล้วจะให้ เธอไปหาพยาบาลที่ไหนมาให้พี่ชายเธออีก ไม่มีใครทนได้เลย สักคน

“แม่อยากจะเป็นลมวันละสิบรอบ จ้างพยาบาลมาสิบคนในรอบ หนึ่งเดือน ไม่มีที่ไหนเขาเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่นอย่างนี้หรอก คงมี แต่บ้านเรานี้แหละ” อัมพรเอ่ยขึ้น

“คุณแม่ค่ะใจเย็นๆ นะคะ มันลุกขึ้นไปนั่งลงข้างอัมพร
“แม่ไม่รู้จะช่วยพี่คินเขายังไงแล้ว แม่จนปัญญาแล้วจริงๆ ”

“ยังมีอีกหนึ่งคนค่ะ ที่น่าจะพอช่วยเราได้

“ลูกหมายถึงใคร”

“มะลิค่ะ”

“จริงด้วยสิ แม่ก็ลืมไปเลย” อัมพรยิ้มหน้าบาน

“แล้วจะเอาเจ้าคินอยู่เหรอ พ่ออย่าเลยดีกว่า” สวัตรส่ายหน้า

“ลองดูก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะคะ”

“ตามใจก็แล้วกัน ถ้าหนูมะลิทนได้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าทนไม่ ได้ก็คงไม่มีใครทนได้อีกแล้วล่ะ” สุวัตรเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวหลังทานข้าวเสร็จมินจะโทรหามะลิเองค่ะ ขอตัวไปอาบน้ำ ก่อนนะคะ”ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที

หลังจากที่มินอาบน้ำเสร็จก็ไปหาภาคินที่บ้านหลังเล็ก เห็นภาคิ นยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว เธอจึงช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้ภาคินเพราะ ไม่มีพยาบาลคอยช่วยเหลือแล้ว พอเสร็จก็เข็นภาคินไปทานข้าว

ที่บ้านหลังใหญ่
“พี่คินมินจะหาพยาบาลให้ใหม่นะ” ตักกับข้าวใส่จานภาคิน

“ไม่ต้องหรอก”

“แต่คนนี้พี่อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”

“ใคร”

“ไม่บอกค่ะ พี่คินต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ แต่ก่อนอื่นต้องคุยกับเขา ก่อนว่าจะยอมมาไหม”

“เสียเวลาเปล่าๆ” ภาคินพูดด้วยความเบื่อหน่าย

ถ้าคนนี้พี่ไล่เขาอีก มินก็จนปัญญาจะหาใครมาแล้วล่ะค่ะ” ทำ ” หน้าเศร้า

“แล้วจะจ้างมาให้สิ้นเปลืองทำไม”

“พี่คิน ที่พวกเราทำทุกอย่างก็เพื่อตัวพี่เองนะคะ อย่าพึ่งท้อเลย”

ภาคินเงียบไม่โต้ตอบใดๆ ก้มหน้าทานข้าวต่อ ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็ช่วยให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้งไม่ได้หรอก คิดแล้วก็น่าสมเพช ตัวเองขึ้นมา จะอยู่หรือตายก็มีค่าเท่ากัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหวังให้เขากลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

พอทานข้าวเสร็จมินก็ไปส่งภาคินที่บ้านหลังเล็ก จากนั้นก็กลับ มาที่บ้านหลังใหญ่เข้าห้องเพื่อโทรหามะลิ ความหวังเดียวที่พอ จะมีในตอนนี้เพราะเธอยังคิดอะไรไม่ออกว่าจะมีใครมาช่วยแล้ว ในตอนนี้ มินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหามะลิทันที

“ฮัลโหลมะลิ นอนหรือยัง”

“กำลังจะนอนจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอหน่อย ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว ในตอนนี้ มันมืดแปดด้านไปหมด”

“เรื่องอะไรบอกฉันมาได้เลย เผื่อฉันจะช่วยได้

“คือพยาบาลที่จ้างมาดูแลพี่คินลาออกไปหมดแล้ว เธอรู้ไหม ไม่มีใครทนพี่คินได้เลยสักคน ฉันก็เลยอยากขอให้เธอมาคอยดู แลพี่คินได้ไหม ”

“คือฉันมีงานอยู่แล้ว ถ้าฉันจะไปดูแลพี่คินฉันก็คงต้องลาออก จากโรงพยาบาลก่อน”
“ฉันรู้แต่ฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ นอกจากเธอ ถ้าเธอตกลง เงินเดือนเธอจะเรียกเท่าไหร่ ฉันไม่เกี่ยงเลยนะ บอกมาได้เลย”

“เรื่องเงินมันไม่สำคัญหรอก ฉันก็อยากจะช่วยอยู่นะ ฉันขอ ปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนก็แล้วกัน”

“ได้สิ ฉันหวังว่าเธอจะตกลงนะ ในเร็วๆ นี้นะ”

“แล้ว คินเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“ก็เหมือนเดิมนั้นแหละ ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว”

“ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีแน่”

“ก็นั้นแหละ ฉันเลยอยากให้เธอมาช่วยหน่อย ขอร้องล่ะนะมะลิ”

“ฉันเข้าใจเธอนะ ก็อย่างที่บอกฉันขอปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน”

“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเธอตกลงฉันอยากให้เธออยู่ดูแล พี่คินจนเดินได้เลยนะ จะกี่เดือนกี่ปีฉันก็จะรอ

“แล้วถ้าฉันไปจริงๆ พี่คนเขาจะให้ฉันช่วยเหลือดูแลเขาเหรอ”

“ฉันเชื่อว่าเธอทําได้ ขออย่างเดียวแค่เธออดทนก็พอ”

“ขอบคุณนะ ที่เธอเชื่อในตัวฉันได้คำตอบเมื่อไหร่ฉันจะบอกเธอ อีกทีก็แล้วกัน”

“จ๊ะ หวังว่าเธอจะตกลงนะ งั้นฉันไม่กวนเธอแล้ว นอนเถอะ”

“จ๊ะ ฝันดีนะ”

มะลิวางสายจากมินไปก็ล้มตัวลงนอนแต่กลับนอนไม่หลับ จึงลุก ขึ้นไปยืนสูดอากาศริมหน้าต่าง ในหัวก็คิดเรื่องที่มินขอร้องเธอให้ ไปช่วยดูแลภาคิน ขนาดพยาบาลก่อนหน้านั้นยังอยู่ไม่ได้ แล้ว เธอล่ะจะทนอยู่ได้ไหม อีกอย่างภาคินจะให้เธอเข้าใกล้เขาไหม แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากช่วยให้ภาคินมีกำลังใจกลับมาสู้อีกครั้ง ถึงจะช่วยได้ไม่มาก ถ้าจะลองดูคงจะไม่เสียหายอะไร มะลิเดิน กลับไปที่เตียงล้มตัวลงแล้วข่มตาลง

ด้านภาคินนอนเอาแขนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง เพราะนอนไม่ หลับ ในหัวก็นึกถึงคำพูดของมินที่บอกว่าจะหาพยาบาลคนใหม่ มาดูแลเขาอีก กําลังจะปิดไฟหัวเตียง แต่กลับสะดุดตากับการ์ดที่ มะลิเดยให้เขา จึงหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งพออ่านเสร็จก็ล้มลงนอน แล้วหลับตาลง
วันต่อมา

มะลิกำลังนั่งทานข้าวกับหมอต้นอยู่ที่โรงอาหาร ตึ๊ดๆๆ เสียง โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์มินก็รีบรับทันที

“ฮัลโหลมิน”

“ตอนนี้เธอว่างไหม ฉันเอาเค้กมาฝากเธอรออยู่ตรงหน้าโรง พยาบาลสะดวกมารับไหม”

“ได้สิ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” รีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกไป

“เดี๋ยวมะลิพี่ไปด้วย”หมอต้นลุกขึ้นยืนจะตามออกไป

“มะลิไปเองได้ค่ะ พอดีมินเอาเค้กมาฝาก”

“ไม่เป็นไร พี่ไปด้วย

“ก็ได้ค่ะ”มะลิเดินนำออกไป

พอไปถึงหน้าโรงพยาบาลก็เจอมินถือกล่องเค้กยืนรออยู่ตรง

ข้างรถตัวเองแล้ว
“มาแล้วเหรอ”มินเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าหมอต้นที่เดินตาม

หลังมะลิมา

“รอนานไหม”

“ไม่นานจ้ะ รับไปสิฉันเอามาฝาก”

“ขอบใจจ้ะ”ยื่นมือไปรับกล่องเค้กจากมิน

“ฉันรอคําตอบอยู่นะ อย่าลืมล่ะ”

“ฉันไม่ลืมหรอกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะกลับไปคุยกับพ่อ แม่ที่บ้านก่อน ได้คำตอบยังไงจะโทรบอกอีกที ”

“งั้นฉันกลับร้านก่อนนะ กลับก่อนนะคะหมอตัน”ส่งยิ้มให้คนทั้งคู่

“ครับ ไว้ผมจะไปที่ร้านอีก”

“ค่ะ”

มะลิกับหมอต้นรอจนรถมินลับตาไปจึงกลับเข้าไปที่โรงอาหาร เพื่อทานข้าวต่อ แต่หมอต้นกลับสงสัยกับคำพูดของมินกับมะลิที่ พูดคุยกันเมื่อกี้
“พี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มองหน้ามะลิแปลกๆ”

“คือพี่แค่สงสัยในคำพูดของมะลิกับมินเมื่อกี้นิดหน่อย ว่ารอคำ ตอบอะไรกัน”

“อ่อ พอดีมินเขาขอให้มะลิไปช่วยดูแลพี่ชายเขาที่บ้านค่ะ”

“หมายความว่ายังไง พี่ไม่เข้าใจ”

“คือพี่ชายมินเขาประสบอุบัติทำให้เดินไม่ได้ค่ะ ก็เลยขอให้มะลิ ไปช่วยดูแลช่วยเหลือกายภาพอะไรพวกนี้ค่ะ เย็นนี้มะลิจะไปพูด กับพ่อแม่ก่อน”

“งั้นถ้ามะลิตกลง ก็เท่ากับว่ามะลิต้องลาออกใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“งั้นถ้ามะลิไปจริงๆ พี่คงจะเหงาแย่เลยล่ะ”

“แม้ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“พี่พูดจริงๆนะ จะเป็นไรไหมถ้าพี่จะขอคบกับมะลิเป็นแฟน”

ตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
“อย่าเลยค่ะ เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่า”

“พี่รู้ว่ามะลิยังไม่พร้อม แต่พี่จะรอนะ”

“พี่ต้นอย่าเสียเวลารอเลยค่ะ มะลิเห็นพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น อย่าทำให้มะลิต้องลำบากใจเลยนะคะ”

“ก็ได้พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก ถ้ามันทำให้มะลิไม่สบายใจ”

“ขอบคุณค่ะ ที่เข้าใจ”

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จมะลิกับหมอต้นก็แยกย้ายกันไปทำงาน

ในส่วนของตัวเอง

ถึงเวลาเลิกงานมะลิให้จอบพ่อของเธอไปรับที่โรงพยาบาลเพื่อ ไปค้างที่ไร่เจริญกิจเพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอ และจะได้ พูดคุยปรึกษากับพ่อแม่เรื่องของภาคิน ว่าจะทำยังไงกันดี

ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกนั่งทานข้าวไปด้วยกันพร้อมกับพูดคุยกันไป เรื่อยเปื่อย มะลิจึงเปิดประเด็นเรื่องของภาคินขึ้นมา

“พ่อแม่ มินเขาขอร้องให้หนูไปช่วยดูแลพี่คิน พ่อกับแม่จะว่ายัง

ไงจ๊ะ”
“จริงเหรอ ทำไมล่ะพยาบาลก็มีตั้งเยอะแยะ” อิ่มเอ่ยขึ้น

“ไม่มีใครทนได้ซักคนเลยจะแม่

แล้วถ้าลูกไปจะทนได้เหรอมะลิ” อิ่มเอ่ยขึ้น

“แต่มันเขาไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ก็เลยต้องมาขอร้องหนู”

“แล้วหนูคิดว่าตัวเองทำได้ไหมล่ะ

“หนูไม่รู้ว่าพี่คนเขาจะยังไง แต่หนูอยากช่วยค่ะ มินเขาอุตส่าห์ มาขอร้องให้ช่วย

“ตามใจลูกก็แล้วกัน จะว่าไปก็สงสารคุณคนเขาอยู่นะ ” อิ่มเอ่ย

“แล้วพอล่ะคะ ว่ายังไง

“ถ้าหนูอยากช่วยก็ทำไปเถอะ เอาที่หนูสบายใจก็แล้วกัน”

“งั้นเดี๋ยวถ้าหนูกลับไปทำงาน หนูจะไปทำเรื่องลาออกไว้เลยก็ แล้วกันค่ะ”
“เขาคงหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาขอร้องมะลิให้ช่วย” อิ่ม หันไปคุยกับสามีตัวเอง

“ใช่ พ่อหวังว่าหนูจะทำได้นะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หลังทานข้าวเสร็จมะลิก็ไปเดินเล่นแถวบริเวณรั้วกั้นระหว่างไร เจริญกิจกับสวนส้มของภาคิน ถ้าวันนี้เขายังเดินได้เป็นปกติเธอ คงจะเห็นเขาคมคนงานอยู่ในสวน จนถึงมืดค่ำ บางวันก็ค้างอยู่ที่ บ้านพักในสวนส้มเลยไม่ยอมกลับบ้าน

มะลิเดินไปเรื่อยๆ เพื่อย่อยอาหารและชมสวนดอกไม้ พอนึกขึ้น ได้ว่าจะต้องบอกมินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรออกหามินทันที

“ฮัลโหลมิน”

“ว่าไงมะลิ มีข่าวดีใช่ไหม”

“ใช่จ้ะ ฉันตกลงจะช่วยดูแลพี่คินให้นะ”

“ฉันดีใจจังเลย ไม่รู้จะพูดอะไรดี ขอบใจมากๆ นะ ที่ยอมออกจาก งานมาเพื่อ คิน”
ฉันเต็มใจจ้ะ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้ว

ใครจะช่วยล่ะ”

“ถ้าเธอยืนอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ ฉันจะทั้งกอดทั้งหอมเลยล่ะ”

“แม้ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันรู้ว่าเธอดีใจ”

“แล้วจะมาได้วันไหนล่ะ”

“ฉันต้องทำเรื่องลาออกก่อน ถ้าโรงพยาบาลอนุมัติเมื่อไหร่ ฉัน จะบอกเธออีกทีนะ

“ได้เรื่องยังไงก็โทรมาบอกกันด้วยนะ”

“จ้ะ ฉันจะบอกอีกทีก็แล้วกัน”

“ขอบใจมากนะ ที่ยอมทิ้งงานมาเพื่อพี่คิน”

“จ้ะ ฉันเต็มใจช่วยอยู่แล้ว”

“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันไปบอกพ่อกับแม่ก่อน
“จ๊ะ ไว้เจอกันนะ”พอพูดจบมะลิก็กดวางสายทันที

ด้านมินพอวางสายจากมะลิก็รีบไปบอกสุวัตรกับอัมพรทันที แต่ ยังไม่บอกภาคินเพราะเธออยากจะเซอร์ไพรส์ภาคิน ในวันที่มะลิ มาที่บ้านเลย

มะลิเดินกลับจากเดินเล่นเข้าไปข้างในบ้าน ตรงไปยังห้องนอน ของตัวเอง นั่งลงบนเตียงนอน จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะ หัวเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีน้ำเงินของภาคิน ที่เขาให้เธอ ใช้ปิดแผลหกล้มหัวเข่าถลอก ในสวนส้มของเขาเมื่อหลายปีก่อน พอนึกถึงทีไรเธอก็อดที่จะยิ้มออกไม่ได้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ