ผมเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านหญิง

บทที่ 6 สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง



บทที่ 6 สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง

บริเวณด้านนอก ใบหน้าของจางเจ้นชื่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดง สด จากนั้นเขาก็ถูกคนพยุงขึ้นมาด้วยสภาพที่ดูสะบักสะบอม

“ประธานจาง ไปโรงพยาบาลไหมครับ? ท่านวางใจได้ ผม

เรียกคนมาแล้ว เจ้าหมอนั่นคงหนีไม่พ้นโรงแรม ……

เวลานี้ดูเหมือนคนที่กังวลที่สุดก็คือบอดี้การ์ด เพราะเขา กลัว จางเจ้นซื่อ จะตำหนิเขาโทษฐานที่ทำงานบกพร่อง

“แกมันเศษสวะ

ริมฝีปากของจางเจ้นชื่อที่ดูเฉยชา พลางขยับปากด่าเขาอย่าง ลวกๆ ความเดือดพล่านที่เหมือนจะเจอที่ระบาย เขาใช้เท้า เหยียบไปที่เท้าซ้ายของบอดี้การ์ดซ้ำๆ

จางเจ้นชื่อเป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะหากไม่ฉลาดจริง ก็คงไม่ สามารถขยับจากนักเลงระดับต๊อกต๋อยมาถึงระดับนี้ได้

เมื่อกี้เจ้าหมอนั่นถ่ายรูปไปแล้ว อีกทั้งยังอัดเสียงไว้ และหาก เจ้าหมอนั่นเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป จะต้องไม่เป็นการณ์ดีต่อเขา อย่างแน่นอน

ไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครกันแน่ แต่ดูจากวิธีการทำงานและ ร่องรอยแล้วนั้น เจ้าหมอนั่นต้องไม่ธรรมดา

การล้างแค้น ต่อแต่นี้ไปเวลาส่วนใหญ่ ไม่ควรมาเสียเวลาเฉกเช่นวันนี้อีก

ในตอนนี้เอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลิวเหิง ก็ รีบเดินมา และชั่วพริบตาคนจำนวนยี่สิบคนก็มารวมตัวกันที่ ระเบียงทางเดิน

เนื่องจากจางเจ้นชื่อเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมนี้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยที่นี่ล้วนถูกส่งมาจากบริษัทของจางเจ้นชื่อ เอง

หรือจะพูดอีกนัยนึง จางเจ้นชื่อก็คือเจ้านายของบรรดาเจ้า

หน้าที่รักษาความปลอดภัยนี้นี่เอง

เฉกเช่นตอนนี้เกิดเหตุร้ายกับเจ้านายตน จึงเป็นเวลาที่พวก เขาจะต้องออกมาแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านาย

จางเจ้นซอยิ่งอยู่ยิ่งหงุดหงิด ทว่าเขายังมีเหตุผลอยู่บ้าง เขา โบกมือไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย : “แยกย้ายกันให้ หมด และไม่ต้องแจ้งความ

สภาพจิตใจของเซี่ยเพิ่งที่ยังตอบสนองไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น แววตายังคงซ่อนความกลัวไว้

เพราะเมื่อกี้ มีหลายครั้งที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้กับความ

สิ้นหวังอย่างเต็มที่

อารมณ์รุนแรงที่มากระทบจิตใจ ชั่วพริบตาเดียวก็พรั่งพรูออก มา น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ตั้งแต่เด็กจนโต สำหรับเธอ ทุกอย่างก็ราบรื่นมาโดยตลอด แต่พอมาอยู่ที่เมืองหลินอานไม่กี่วัน เธอกลับพบเจอเรื่องที่ไม่ คาดฝันมากมาย

หานคงที่ไม่เคยเห็นเธอในสภาพนี้มาก่อน ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ เป็นที่สุด จากนั้น เขาก็รีบเดินไปหาเธอที่ข้างเตียง : “ไม่เป็นไร แล้ว……

เขายังไม่ทันจะพูดจบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถหลบซ่อน ได้ ก็คือแววตาที่เหม่อลอยคู่นั้น

เซี่ยเพิ่งเห็นแววตาที่ดูเหม่อลอยของเขาแล้วนั้น เธอเดาไม่ ออกจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะเธอกำลังหลั่งน้ำตา ขณะ เดียวกันน้ำเสียงก็ดูเยือกเย็น

หานดงหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ยากจะถอนตัว เสียงที่อ่อนแอ ของผู้หญิงนี้เสมือนค้อนยักษ์ที่ทุบเข้าตรงหน้าผากเขาอย่างจัง

เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว พลางหยิบผ้านวมหนาๆ มา คลุมตัวเซี่ยเมิ่งไว้ จากนั้นประคองเซี่ยเพิ่งขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่ง

ในตอนที่เขากำลังประคองตัวเธออยู่นั้น ผ้านวมก็ไหลลงอยู่ หลายครั้ง เขากลัวว่าเซี่ยเพิ่งจะคิดว่าเขาคิดมิดีมิร้ายกับเธอ เรื่องง่ายดายเช่นนี้กลับทำให้เขายุ่งและเหนื่อย

เซี่ยเมิ่งไม่อยากคาดหวังให้หานคงต้องมาช่วยเธอเลยแม้แต่ น้อย ทว่าเธอไม่มีแรง แม้กระทั่งขยับนิ้วมือ

เธอเดินไม่ไหว และออกจากห้องนี้ไม่ได้ เพราะแม้แต่จะจัดระเบียบเสื้อผ้า ก็ดูจะเกินความสามารถของเธอ

“หันไป! ”

เซียเพิ่งมองชายที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า พลางสั่งเขาอย่าง หงุดหงิดใจ

หานคงตอบตกลง จากนั้นก็หันหลังไป

ครั้งที่แล้วที่เซี่ยเพิ่งสั่งให้เขาหันหลัง เธอลอบทำร้ายเขา โดย ใช้แก้วกระจก ทว่าหลังจากที่มีการสั่งสอนไปแล้วครั้งหนึ่ง และ เผชิญหน้ากับข้อเสนอของเธอ หานดงจึงมีไม่มีความคิดที่จะ ปฏิเสธเธอเลยแม้แต่น้อย

คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว เพราะตอนนี้เธอไร้ซึ่ง เรี่ยวแรง ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็เป็นคนช่วยเธอไว้ คิดดูแล้วเขาก็ นับว่าเป็นฮีโร่

หากอิงตามโครงเรื่องในละคร เซี่ยเพิ่งจะต้องรู้สึกดีกับเขา ถึง จะถูก

ในห้วงความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้น ท่าที่เคลื่อนไหวที่ไม่ได้ตั้งใจของ ผู้หญิงด้านหลังสอดคล้องกับอาการใจเต้นของเขา เสมือนมี พลังงานมหาศาลจนคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้ บังคับให้หานคงต้อง หันกลับไป

เขายับยั้งชั่งใจอย่างสุดกำลัง บังคับตัวเองให้อดทนไว้

การพบเจอกับเซี่ยเมิ่งโดยบังเอิญในตอนเด็ก ทำให้เธอนับได้ว่าเป็นตัวซวยของเขา
จนถึงตอนนี้หานคงยังจำเรื่องราวได้ชัดเจน ตอนเจอหน้ากัน ครั้งแรกนั้น เซี่ยเมิงมัดผมเปียหางม้า ปากแดงฟันขาว อายุน้อย มีน้ำเสียงใสแจ๋ว และเป็นเด็กที่มีระเบียบแบบแผนชัดเจน

ในตอนนั้น เขาคิดว่าความสวยของเธอช่างสะดุดตาเขาเหลือ เกิน เพราะเธอไม่กล้าแม้แต่จะตอบ ไม่กล้าพูด หากรู้ว่าในตอน นั้นหานคงใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ และในกลุ่มเด็กๆ ที่ อยู่ในบริเวณนั้น เขาก็คงเป็นหัวโจกของกลุ่ม

เขาผู้ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่กลัวก็คือ เขากลัว การที่ต้องเจอกับเซี่ยเมิ่ง และเธอจ้องเขาด้วยสายตาราวกับนก ยูงที่เย่อหยิ่ง

ความกลัวแบบนี้คือสัญชาตญาณ หรือที่เรียกว่า สิ่งหนึ่งย่อม ข่มอีกสิ่งหนึ่ง หานคงคิดว่า ชีวิตนี้เขาจะหยุดหัวใจไว้ที่เธอ

อาจจะผ่านไปแล้วสิบนาที หรืออาจผ่านไปหนึ่งศตวรรษ หรือ

จนกว่ายาค่อยๆ หมดฤทธิ์

การเคลื่อนไหวจากด้านหลังเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้น ดูเหมือนว่า เซี่ยเพิ่งจะจัดระเบียบเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และเตรียมลงจาก เตียง

เขาได้ยินเสียงอุทาน เมื่อหันกลับไปก็เห็นเธอสาวเท้าพุ่งไป ข้างหน้าอย่างเร็ว เพื่อให้ขาแตะพื้น และเกือบจะล้มลงไป

เซี่ยเมิ่ง ที่โดนฤทธิ์ยา และสัมผัสทั้งห้าในร่างกายเธอเหมือน จะขยายใหญ่ขึ้น เธอถึงกับอุทาน : “คุณรนหาที่ตายหรือไง! ”
หานคงปล่อยตัวเธอราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ทำเอาเซียเพิ่ง โอนเอนไปมา จนล้มลงบนเตียง

“ขอโทษ ขอโทษ! ”

เซียเพิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร “มานี่ มาประคองฉันหน่อย ! ”

ในตอนนี้หานคงถึงจะสงบสติได้ จากนั้น เขาใช้มือขวา ประคองแขนเธออย่างระมัดระวัง และค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง

เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู กลุ่มของจางเจ้นชื่อก็ไปกันหมดแล้ว ตรงระเบียงทางเดินก็เงียบและไร้ผู้คน

บรรยากาศที่เงียบสงัด ทำให้หานคงพูดไม่เต็มปาก : “วัน หลัง คุณก็ระวังหน่อยนะ….ถ้าวันนี้เกิดเรื่องร้ายแรงกับคุณจริงๆ ผมจะกลับไปอธิบายให้คุณพ่อฟังยังไง! ‘

เซี่ยเพิ่งลืมตา :

“เมื่อคุณถ่ายรูปทำไม!

“ผมกลัวว่า หลังจากที่จางเจ้นชื่อโดนทำร้ายแล้วจะไม่ยอมรา มือ ผมเลยต้องเก็บหลักฐานไว้ เขาจะได้ไม่กล้าทำแบบนี้อีก

เซียเพิ่งเยาะเย้ย : “คุณกลัวว่าจางเจ้นชื่อจะมาสร้างปัญหา ให้คุณมากกว่ามั้ง! เดี๋ยวเอารูปและเสียงที่อัดไว้ส่งมาให้ฉัน

หานคงเดาแผนเธอออก จึงรีบพูดกับเธอ “คุณอย่าแจ้ง ความนะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ เสียงที่อัดไว้และรูปภาพไม่ สามารถเป็นหลักฐานได้โดยตรง เขาแค่อยากยืนยันว่าเป็นคุณที่ อยากร่วมงานกับบริษัทเหิงหยวน และเป็นฝ่ายบุกไปหาเขาถึง บนเตียง หากแจ้งความไปก็เสียเปล่า
เซี่ยเพิ่งตื่นตัวในทันใด : “ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะอยู่ที่เมืองหลิน อานได้ เพราะอำนาจของเขา

หานคงบ่นพึมพำ “หากคุณสืบเรื่องเขา เขาต้องสืบเรื่องที่ ผมลงมือวันนี้แน่นอน”

“คุณพูดว่าอะไรนะ? ”

“ไม่มีอะไร ผมบอกว่า พรุ่งนี้พวกเรากลับดงหยางกันเถอะ

ลึกๆ แล้วเซี่ยเพิ่งรู้ดีว่า สิ่งที่หานดงพูดมานั้นคือความจริง เพราะหากเธอแจ้งความจริง ก็ทำอะไรจางเจ้นซื้อไม่ได้อยู่ดี

แต่หากจะปล่อยไปแบบนี้ เธอจะยินยอมได้อย่างไร

เส้นทางที่เงียบตลอดสาย เมื่อมีลมพัดมา สภาพจิตใจของเซี่ย

เพิ่งก็ดีขึ้นมาบ้าง

เมื่อขึ้นรถกันแล้ว หวางที่เพิ่งจะสตาร์ทรถและเตรียมตัวจะ ขับออกไป จู่ๆ ก็มีคนโทรเข้ามายังโทรศัพท์ของ เซี่ยเมิ่ง เสียง เรียกเข้านั้นดังก้องอยู่ในรถ

หานคงมองผ่านกระจกมองหลัง ก็เห็นว่าเซี่ยเมิ่งมอง โทรศัพท์ ด้วยท่าทีที่ดูลังเล และเบอร์ที่โทรเข้ามาก็ไม่มีชื่อหรือหมายเหตุ อะไร

เขารู้สึกไม่ดี จึงหันไปถามเธอ :

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์

เซี่ยเพิ่งเถียงกลับ: “ฉันจะรับหรือไม่รับแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ! ”
“ชิวผิงโทรมาสินะ!

เซี่ยเมิ่งตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าเขาโทรมาแล้วจะทำไม ? ” หานคงโกรธจนเงียบไป พลางครุ่นคิดว่า ผู้ชายทำถึงขนาดนี้ แล้ว กลับเหมือนเต่าหัวหดตัวหนึ่ง

ภรรยาตัวเองติดต่อกับแฟนเก่าอย่างลับๆ แต่เขากลับทำอะไร ไม่ได้

ที่จริงลางสังหรณ์ของผู้ชายก็ค่อนข้างแม่นยำ ตั้งแต่ที่เขาเล่น ไม่ซื่อกับเซียเมิ่ง หานคงก็สังเกตว่าภรรยาของตัวเองคงมีการ ตัดสินใจอะไรบางอย่าง หรือกำลังตัดสินใจว่า การแต่งงานนี้ ควรจะดำเนินต่อไปไหม


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ