ป่วนหัวใจยัยปีศาจ

บทที่ 9 นำทาง



บทที่ 9 นำทาง

“ฝ่าบาทน้อยได้โปรดไตร่ตรอง” หยีจวนผู้ติดตามมาติด ๆ และได้ขวางนางเอาไว้เมื่อมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไกล จากแดนเหมันต์หลายหมื่นลี้

“เจ้ากลัวอันใด หากกลัวก็รอข้าอยู่ที่นี่ข้าคือผู้ใดกันที่จะ ถูกตาเฒ่าเง็กเซียนนั่นจูงจมูกได้ง่าย ๆ เขาบอกว่าข้าต้อง ไปบำเพ็ญเพียรข้าก็ต้องไปงั้นหรือ”

“ฝ่าบาทแต่นั่นคือองค์เง็กเซียนผู้ปกครองสามภพนะ ขอรับ” เขาขลาดเขลาเกินกว่าจะไปต่อกรกับคนบน สวรรค์ได้ อย่าว่าแต่เง็กเซียนเลยแม้แต่เทพองค์เล็ก ๆ เขาก็หวาดกลัว

“สามภพแล้วอย่างไรเขาหาได้ปกครองดินแดนเหมันต์ เสียหน่อย แดนเหมันต์เราเป็นแดนขึ้นของเผ่าสวรรค์ ตั้งแต่เมื่อใดกัน อยากจะใช้อำนาจกับคนของตนก็ใช้ไป เหตุใดต้องมาวุ่นวายกับเผ่าอื่นด้วย ข้าจะต้องสั่งสอนเขา เสียหน่อย”

“แต่ท่านรู้หรือว่าแดนสวรรค์ไปทางใด”

เป่ยฟางหรงส่ายหน้าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยออกจาก แดนเหมันต์แม้แต่ครั้งเดียวจะไปรู้ได้อย่างไร

“เรื่องนี้ใช่หน้าที่ของข้าหรือ เรื่องนำทางย่อมต้องเป็นหน้าที่ของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าติดตามข้ามาข้าจึงได้ไม่เร่งฝีเท้า หาไม่เจ้าจะตามข้าทันหรือเอาล่ะนับจากนี้ไปข้าก็ไปแดน สวรรค์ไม่ถูกแล้วต้องเป็นเจ้าที่นำทาง”

“ฝ่าบาทข้าถือกำเนิดจากน้ำแข็งในแดนเหมันต์นะขอรับ ไม่ได้แตกต่างจากท่านเลยจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสวรรค์ไป ทางใด” หยีจวนเกาศีรษะ นอกจากไม่สามารถห้ามนางได้ แล้วเขายังกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนางอีก

“เช่นนั้นเจ้าจับตัวเทพสักองค์มาถามสิง่ายจะตาย”

นางเสนอแล้วนั่งลงบนเกล็ดน้ำแข็งที่นางสร้างขึ้นมา แทนเก้าอี้ในมือยังมีอาภรณ์ของเทพอัคคีอยู่ เป่ยฟางห รงคิดบางสิ่งได้ นางเปลี่ยนอาภรณ์เป็นอาภรณ์ของเขา ทันใด

“เจ้าว่าข้าใส่แล้วเป็นเช่นใดบ้าง”

“งดงามยิ่งขอรับถึงแม้ว่าจะรุ่มร่ามไปสักเล็กน้อย”

“นี่ข้าดัดแปลงให้พอดีกับกายข้าแล้วนะ”

นางหน้างอหยีจวนเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาอาจถูกแช่แข็งได้ จึงรีบยิ้ม “แต่ดูไปดูมาก็ใส่ได้พอดีเลยขอรับ ฝีมือฝ่าบาท น้อยยอดเยี่ยมมาก”
หลังได้รับคำชมที่ต้องการ สีหน้าของเป่ยฟางหรงพลันดี ตั้งใจสั่งให้หยีจวนไปหาเทพสักองค์มาถามทาง จู่ ๆ สตรี ผู้หนึ่งก็โผล่ขึ้นตรงหน้า

“พวกท่านทั้งสองจะไปที่ใดหรือ”

หยีจวนขยับกายไปขวางด้านหน้าด้วยกลัวว่าฝ่าบาท น้อยของตนเองจะได้รับอันตรายทันใดชะเง้อคอมองไป ยังสตรีผู้นั้นประเมินพลังของนางเห็นว่าอยู่ในฐานะเทพ ขั้นต่ำทั่วไปที่เพิ่งหลุดพ้นจากความเป็นเซียนกลายเป็น เทพ เป่ยฟางหรงจึงยืนขึ้นเท้าสะเอวแล้วประกาศศักดา ความเป็นคนสูงศักดิ์ทันใด

“บังอาจข้าคือฝ่าบาทน้อยแห่งแดนเหมันต์คู่ควรให้เซียน เช่นเจ้ามาตั้งคําถามหรือ”

เซียนหญิงผู้นั้นถึงกับคุกเข่าลงเมื่อเห็นเป่ยฟางหรง นาง สามารถสัมผัสถึงพลังอันแข็งกล้าของสตรีผู้นั้นได้อีกทั้ง รักเกล้าของนางยังเป็นสัญลักษณ์หิมะแวววาวซึ่งบ่งบอก ตำแหน่งของนางได้เป็นอย่างดี

“ฝ่าบาทข้าน้อยสมควรตายที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”

เป่ยฟางหรงพอใจ ไม่คิดว่าฐานะของนางจะทำให้คน เคารพได้เพียงนี้ก้อนน้ำแข็งที่นางนั่งลอยสูงขึ้นเล็กน้อย จะได้นับว่าอยู่คนละชั้นกับคนเซียนผู้นั้นให้สมกับตำแหน่งของตนเอง

“แล้วเจ้าเป็นผู้ใดหรือ เหตุใดมาอยู่แถวนี้

“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเป็นธิดาของเทพภูเขานามซงซาน เพคะ มีหน้าที่คอยดูแลภูเขาแถบนี้”

“เช่นนั้นหรือ” เป่ยฟางหรงพยักหน้า

“ฝ่าบาทหม่อมฉันบังอาจถามพระองค์จะเสด็จที่ใดหรือ แล้วเหตุใดจึงได้สวมใส่อาภรณ์ของท่านเทพอัคคีได้”

“เจ้ารู้จักเขาหรือเทพอัคคีนั่น เหตุใดจึงรู้ว่าข้าใสอาภรณ์ ของเขา”

“รู้สิเพคะ แสงสุริยันที่ส่องประกายออกมาจากอาภรณ์นี้ ย่อมเป็นของเทพอัคคีเท่านั้น ฝ่าบาทคงมีตบะแก่กล้ามาก จึงสามารถสวมใส่อาภรณ์นี้ได้โดยไม่ถูกเผาร่างจนกลาย เป็นจุณ”

เป่ยฟางหรงมองเสื้อผ้าของตนเองที่ส่องประกายระยิบ ระยับอบอุ่นประดุจแสงอาทิตย์เรืองรองอยู่รอบกาย และ นางรู้ว่าแสงนี้จะค่อย ๆ หายไปภายในร้อยปีจนกลายเป็น อาภรณ์ธรรมดาไร้ค่าตัวหนึ่ง
แต่ไม่คิดว่ามันจะฤทธิ์พอจะเผาไหม้ผู้ใดได้ในเมื่อแสง ของมันทั้งงดงามเจิดจ้าและอบอุ่นเช่นนี้ นางผู้นี้คงใส่สีตี ไข่ถึงความล้ำเลิศของเทพอัคคีจนเกินไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ