ชายาเย่อหยิ่ง ท่านอ๋องร้อนรัก

บทที่7บรรยากาศที่อึดอัด



บทที่7บรรยากาศที่อึดอัด

บทที่7บรรยากาศที่อึดอัด

เมื่อรู้สึกว่าใบหน้าฉันร้อนขึ้นมานิดๆ ทันทีที่หมู่หวินจิ่น เฉินกำลังจะพูดออกมา

เทพบุตรพูดออกมาแล้ว? นี้ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉัน ตีนจากพะวง เด้งตัวออกมาเกือบสองเมตรได้ มองไปยัง ผู้ชายตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ไม่เคยพอเจอ เขามาก่อน

“เจ้า เจ้าเป็นใคร”

หยู่หวินจิ่นเฉินดึงมือแข็งกลับไปที่เดิม ฉันนั่งลงบนที่ที่ ตัวเองมานอนบ่อยๆ ยกชุดน้ำชาขึ้นมาจากใต้โต๊ะ วางไว้ บนโต๊ะหินอ่อน “มา ดื่มชา”

เสียงของเขาราวกับมีมนต์สะกดก็ไม่ปาน ฉันเดินตาม เข้าไปนั่ง จนกระทั่งมีขุนนางเข้ามาหาเขา ฉันถึงได้รู้ว่า เข้าคือองค์รัชทายาทหญ่หวินจิ่นเฉินของพระราชวงศ์ ปัจจุบัน

เมื่อคิดถึงท่าทางเมื่อครู่ ฉันก็แทบจะอยากมุดดินหนีไป วันนั้นหน้าฉันแดงไปหมด แต่ทว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปกลับถูก ให้อภัย อยู่ในตำหนักช่างซูอย่างไม่สนใจอะไรต่อ
ถึงแม้ว่าจะพบเจอกันบ่อยครั้ง แต่หลังจากนั้นฉันก็พูด น้อยลง หรือบางทีก็ตั้งใจหลบหน้าเขา

เมื่อคิดขึ้นมาฉันก็อดหน้าแดงไม่ได้ ผู้ชายแบบนี้ เกรง ว่าจะเหมือนที่จื่อสีพูดไว้ก็ไม่ปาน มีคนเข้าแถวรอแต่งกับ เขาเยอะแยะ

“เมิ่งหลอชิง?”

เมื่อได้ยินเสียงเรียก ฉันรีบวิ่งไปตรงหน้าหมู่หวินจิ่นเฉิน เขานั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ก้มลงวางกระดาษ ท่าทาง เขาที่ดูจริงจัง ดูหนักแน่นมีเสน่ห์ สันจมูกที่ละมุนละไม ยัง คงชุดขาวทั้งตัว ปลิวไปมาราวกับเทพบุตร ฉันเหม่อมอง อย่างคนโง่ จนกระทั่งหยู่หวินจิ่นเฉินดันที่ฝนหมึกมาตรง หน้าฉัน ฉันรีบมีปฏิกิริยาโต้ตอบ

“เพคะ?”

“ฝนหมึก” หยู่หวินจิ่นเฉินพูดออกมาด้วยท่าทางเฉยๆ แล้วก็หยิบเอาพู่กันหลายขนาดขึ้นมา วางไว้บนโต๊ะอย่าง เป็นระเบียบ

“อ๋อ…” ฉันรีบก้มหัวลง ตั้งใจฝนหมึก บรรยากาศเงียบ จนน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าตำหนักซ่างซูก็ปกติเหมือนเดิม แต่ทว่า ฉันกลับรู้สึกกังวลแปลกๆ อยากจะรีบหนีออกไป จากตรงนี้
หยู่หวินจิ่นเฉินจุ่มพู่กันลงกับหมึกที่ฉันฝนไว้ แล้วก้มลง

ไป เขียนลงบนกระดาษ

“ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับไปตั้งนานแล้ว”

“เพคะ?” ฉันที่เอาแต่เหม่อลอย กลับไม่ยินว่าหมู่หวินจั่น เฉินพูดอะไร เมื่อเงยหัวขึ้นก็พบเพียงสายตาที่เต็มไปด้วย รอยยิ้ม เหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิเดือนสอง นุ่มนวล และอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

ริมฝีปากของยกยิ้มเบาๆ จ้องมองมาที่ฉันอย่างลึกซึ้ง แล้วก้มลงไปมา กระดาษใบนั้นหลายรอบ

“ไม่คิดว่าตำหนักซ่างซูมันเงียบเกินไปเหรอ?”

ข้าคิดว่าบรรยากาศจะอึดอัดนานกว่านี้ ไม่คิดเลยว่าเขา จะเป็นฝ่ายถามฉัน เพราะเรื่องที่เจอครั้งแรกก็เสียหน้า พอแรงแล้ว แค่คิดว่ามีอะไรพูดได้ก็พูดไปก็พอ

“เงียบก็เงียบนิดหน่อยเพคะ แต่กระหม่อมชอบที่นี่” เหตุผลที่ว่าทำไมชอบที่นี่น่ะเหรอ ฉันยังคงแอบหลบอยู่ ตรงนี้อย่างว่านอนสอนง่ายดีกว่า

หยู่หวินจิ่นเฉินเงยหน้ามองฉันกะทันหัน หมึกสีดำเหมือน กับดวงตายามค่ำคืน ที่ราวกับว่ากำลังหักกระทบทำให้มี แสงรุ่งโรจน์ออกมาอย่างผิดปกติ เพียงแค่แวบเดียว ก็หายไป

“อืม งั้นเหรอ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แวบหนึ่งฉันคิดว่าเขา ดูดีใจมากๆ ถึงแม้ว่าคำพูดและการกระทำจะดูเหมือน อากาศที่ดูสดใส

ไม่นาน หยูหวินจิ่นเฉินก็วาดเสร็จ แล้วค่อยๆ ม้วนเก็บ กระดาษใบนั้น เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ ถึงแม้ว่าจะสงสัยว่า เขาวาดรูปอะไร แต่เพราะเมื่อครู่ตื่นเต้นจนไม่ได้แอบมอง เลยสักนิด

ฟังเสียงเท้าของหมู่หวินจิ่นเฉินที่ค่อยๆ ห่างออกไป ใน ใจฉันเหมือนยกหินออกจากอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทรุดลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้น

เมื่อกลับถึงห้อง ก็มืดแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นจื่อ สีเดินไปเดินมาในห้อง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เหมือน จับฟางเส้นสุดท้ายได้ รีบพุ่งตัวเข้ามา

“องค์รัชทายาทโมโหหรือไม่? หลอชิงข้าจะถูกตัดหัว หรือไม่”

ฉันมองเธอขำๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินมุ่งตรงไปยัง โต๊ะรินชามาแก้วหนึ่ง นั่งลงจิบชาเงียบๆ

“เจ้าก็รีบพูดออกมาเถอะ ข้าร้อนอกร้อนใจจะแย่แล้ว”
ทนมองเธอดูร้อนรนแบบนี้ไม่ไหว ฉันตบไหล่ปลอบเธอ เบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก”

“จริงหรือ?” เห็นได้ชัดว่าจื่อสีดูเบาอกเบาใจขึ้นมาบ้าง

ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ว่า พูดปนขำออกมา แต่ ก็อย่างว่า ไม่ว่าใครพูดจาหยอกเย้าองค์ชายเจ็ดก็เถอะ ก็ ไม่เคยมีใครต้องโทษ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้พูดอะไร”

คนพูดไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังกลับว้าวุ่น เมื่อได้ยินองค์ รัชทายาทสองคำนี้ หัวใจฉันเหมือนถูกเข็มแทงจนเจ็บ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที มือที่จับแก้วชาสั่นเล็กน้อย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ