บทที่6มกุฎราชกุมารหยู่หวินจิ่นเฉิน
บทที่6มกุฎราชกุมารหญ่หวินจั่นเฉิน
ถึงแม้ว่าจะสะท้อนแสง แต่ในแสงที่หักเหน็นดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ใบหน้าของฉัน แต่เป็นที่ที่ไกลกว่านั้น ใต้สันจมูก ที่ได้รูป ปากกระจับที่สวยเข้ารูป ในขณะนั้นเหมือนว่า กําลังจะอ้าปากพูดกับฉัน
“องค์…มกุฎราชกุมาร
เพราะว่าแสงที่ย้อนมา มองไปสักพักฉันถึงได้สติขึ้นมา ตกใจจนหุบปากไม่ลง “องค์…มกุฎราชกุมาร
ฉันรีบเด้งตัวออกจากอก ออกห่างมาจากเขาได้ระยะ หนึ่งก็คุกเข่าลงบนพื้น
“กระหม่อม เคารพมกุฎราชกุมาร!” ฉันกับจื่อสีพูดออก มาพร้อมกัน จื่อสีตื่นเต้นมากกว่าฉันซะอีก ฉันฟังที่จื่อสี ที่พูดออกมาทุกคำด้วยเสียงสั่นๆ เพราะที่จริงแล้วไม่รู้ว่า องค์รัชทายาทมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จื่อสีพูดว่าพระ องค์ร้ายๆ มาตั้งเยอะ ในใจก็ต้องแอบกลัวเป็นธรรมดา
“ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากหรอก” หยู่หวินจิ่นเฉินพูด ออกมาอย่างธรรมชาติ เสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง
ฉันรีบวิ่งไปประคองไหล่ของจื่อสีขึ้น ฉันเกรงว่าวันนี้เธอ จะตกใจขาอ่อนจนยืนขึ้นมาไม่ได้
หยู่หวินจิ่นเฉินมองอย่างขำๆ มาที่ฉันสองคนที่ดูสติไม่ อยู่กับเนื้อกับตัว ค่อยค่อยพูดมาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ฉันกระแทกไหล่จื่อสีที่เอาแต่ก้มหน้าเบาๆ “องค์มกุฎราช กุมารถามเจ้าน่ะ”
“เอ่อ…ข้า…กระหม่อมนามว่า อสีเพคะ”
“อืม จื่อสี ไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน” พูดจบ หยู่หวินจิ่นเฉินก็ หันมามองฉันครู่หนึ่ง ฉันเอียงหัวด้วยความมึนงง จ๋าจื่อสี ไม่ได้ งั้นหมายความว่าจำฉันได้งั้นเหรอ องค์รัชทายาท คนนี้ความจําจะดีเกินไปแล้ว นางกำนัลในตำหนักช่างซู อย่างน้อยก็มีถึงยี่สิบคนที่เข้าเวรทำงานอยู่
ฉันรีบตั้งสติทันที และรีบอธิบายต่อ “จื่อสีแค่ผ่านมาช่วย กระหม่อมเท่านั้นเพคะ เมื่อกี้กระหม่อมทําผ้าเช็ดหน้าหาย จ่อสีเลยมาช่วยกระหม่อมหา”
หยู่หวินจิ่นเฉินพยักหน้าอย่างไม่สนใจไยดี ดูราวกับพอ ในใจคําตอบของฉัน ฉันรีบปีนขึ้นไปข้างบน “จื่อสี่ ในเมื่อ เจ้าส่งข้าถึงนี่แล้ว ก็รีบกลับไปทำงานต่อเถอะ”
จื่อสมองฉันที่ขมวดคิ้วใส่เธอ ก็ทราบในทันที รีบพูดไป ว่า “หากไม่มีคําสั่งใดๆ อีก ถ้างั้นกระหม่อม…..…..
หยู่หวินจั่นเฉินโบกมือไปมา หมายความว่าเธอสามารถ ออกไปได้แล้ว
จื่อ รีบวิ่งหนีออกไปอย่างเสียอาการ ฉันยังคงยืนเหม่อ อยู่ที่เดิม หยู่หวินจิ่นเฉินเหมือนจะยิ้มมุมปากออกมา ฉัน นึกว่าตัวเองมองผิดไป รอยยิ้มที่เคลือบไปความอบอุ่น แต่ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลงกับพื้น ราวกับว่ากําลังหาของ อยู่
“มกุฎราชกุมาร ทรงหาอะไรหรือเพคะ กระหม่อมจะได้ ช่วยหา ฉันรีบถามขึ้น”
หยู่หวินจิ่นเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ก้มหน้าหาต่อไป
“ผ้าเช็ดหน้าของเจ้าผืนแค่ไหน สีอะไร?”
“เอิ่ม สีเขียว เป็นสี่เหลี่ยมข้างบน…”
“ข้างบนปักเป็นรูปต้นไม้ต้นหนึ่ง?” หยู่หวินจิ่นเฉินทันใด นั้นก็พูดขัดฉันที่กำลังสาธยายลักษณะผ้าเช็ดหน้า
เขารู้ได้อย่างไร?
“ถูกต้องเพคะ”
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เราไปกันเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักข้าจะให้ คนมาหาต่อ”
ฉันเงยมองพระอาทิตย์เหนือหัว ก็จริงว่าไม่ควรให้องค์ รัชทายาท ยืนตากแดดใต้แสงพระอาทิตย์แบบนี้ แล้วเดิน ตามเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักซางซู
“เพ เพคะ ฉันรีบพยักหน้าไปมาเหมือนกับไก่ จิกอาหาร กินก็ไม่ปาน”
ถึงแม้จะพูดว่าตำหนักช่างซูเรียกได้ว่าเป็นที่ที่มีหนังสือ เก็บไว้มากที่สุด แต่ทว่าผู้คนกลับเข้ามาอย่างบางตามี เพียงไม่กี่คน ที่นี่มีคนเคยมาเยือนน้อย มีเพียงนางกำนัล ไม่กี่คนที่ยอมมาเข้าเวรที่นี่ นอกจากฉัน แค่อยากใช้ชีวิต ให้ผ่านไปวันๆ แบบนี้ หรือไม่ก็พวกนางกำนัลต้องโทษ จากเบื้องบน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครยอมเข้ามา
เพราะว่าทำงานที่ตำหนักซ่างซูแท้จริงแล้วดูจืดชืด เมื่อ เบื่อๆ มีเวลาว่าง ฉันชอบที่ออกมานอนข้างนอกตำหนัก ซ่างซู เอาเก้าอี้หินจากศาลามาเรียงกันแล้วนอนพักข้าง บนเก้าอี้
เมื่อพูดถึงครั้งแรกที่เจอหญ่หวินจิ่นเฉิน ก็คือที่ศาลาแห่งนี้ ตอนที่ฉันเพิ่งมาอยู่ตำหนักช่างซูได้ไม่นาน พูดได้ ว่าฉันง่วงสัปหงกบ่อยครั้ง ข้อดีในช่วงเวลาบ่าย อยากจะ นอนหลับฆ่าเวลา ลมโชยอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสบาย
ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าไหร่ เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ก็เห็นว่าข้าง กายก็มีเทพบุตรในชุดขาว รูปงามราวกับภาพวาด โคลง หน้าที่ได้รูป ดวงตาที่ใสราวกับน้ำในแม่น้ำ เมื่อมองไป นานก็ทำให้ตกลงไปในหลุมอย่างมิอาจถอนตัวขึ้นได้
นิ้วมือขาวที่เรียวยาว โบกมือไปมาต่อหน้าฉัน ฉันรีบยื่น มือไปจับมือสวยคู่นั้น ในฤดูร้อนแต่กลับยังคงความเย็น ไว้ เฉียบเอามือจับไปที่หน้าเขา ตกอยู่ในวังวนแห่งความ รักแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นเทพบุตรหรือไร?”
หยู่หวินจิ่นเฉินยื่นงงอยู่ที่เดิม ถือวิสาสะดึงมือฉันที่ฉัน จับเอาไว้ แล้วสัมผัสไปทั่วหน้าของฉัน
“เจ้า ไม่สบายหรือเปล่า?”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ