บทที่ 13 ตําหนักช่างซู
บทที่ 13 นําหนักช่าง
ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาถึง ก็ได้ยินเสียงของจื่อสี่ ที่กำลัง ทํางานเย็บปักถักร้อยไปพลางบ่นพึมพำไปพลางว่า “ถ้า เป็นหลอชิงของข้าคิดจะแย่งกับเจ้า ข้าเกรงว่าแม้แต่เย่ว หงถงก็ไม่อาจสู้ได้!”
“จื่อสี่ เจ้าพูดไร้สาระอะไรอีกแล้ว! หน้าต่างมีหูประตูมี ช่อง!” ข้ารีบเดินเข้าไปปิดปากนาง
แต่จื่อสี่ไม่สนใจแล้วทำปากจู๋ “ข้าเพียงแค่อยากเรียก ร้องความยุติธรรมให้แก่เจ้าเท่านั้น นางกำนัลที่อยู่ในคืน นั้นเป็นใครก็ได้ แต่ทําไมจะต้องเป็นคนที่เกลียดเจ้าจน อยากจะกินเลือดกินเนื้ออย่างเย่วหงถงด้วย!”
จื่อสมองขาด้วยความกังวล “นางเข้ามาแทนที่เจ้าแบบนี้ เจ้าเต็มใจอย่างนั้นหรือ?”
แทนที่? ข้ารู้สึกตกใจมาก คงไม่ใช่ว่าจื่อสี่รู้อะไรเข้าแล้ว นะ “แทนที่..……..?”
จื่อสี่ปล่อยมือข้า ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นและดึงข้าขึ้นไปด้วย “หลอชิงของข้าแค่อาศัยใบหน้าเล็กๆที่แสนจะดึงดูดกับ รูปร่างที่มีเสน่ห์นี้ หากเจ้ามีใจที่คิดจะแย่งชิง องค์ชายเจ็ด มีหรือจะมองนาง”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ารังเกียจองค์ชายเจ็ดหรอกหรือ ทำไมวันนี้ ถึงพูดเช่นนี้ ”
ข้าคุ้นชินกับการล้อเล่นของนางมานานแล้ว ยังดีที่นาง ไม่รู้ความจริง ดังนั้นจึงอาศัยคำพูดของนางถามกลับนาง ไป
จื่อสี่ได้ยินที่ข้าพูด ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไร อยู่ดีๆก็ ทําท่าทางมีความสุข แล้วก็ดึงให้ข้านั่งลง “แต่จะว่าไป เจ้า ลองคิดดูนะ องค์ชายเจ็ดดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำ ขนาด ใบหน้าของเย่วหงถงยังมองไม่ชัดเจน ถึงได้ส่งคนออก ตามหา แต่ก็คงเป็นได้แค่ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะถ้าหาก ชอบนางจริงๆ ก็คงจะต้องการนางนานแล้ว ทำไมจะต้อง รอให้ดื่มจนเมาก่อนด้วยล่ะ?”
ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าสิ่งที่จื่อสี่พูดล้วนเป็นเรื่องจริง แต่ในใจ ของข้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด เหมือนยังมีเรื่องติด ค้างอยู่ในใจที่ยังไม่ได้พูดออกมา ใจจริงก็ยังรู้สึกอึดอัด จริงๆแล้วในคืนนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ สิ่งที่หมู่หวินเจี่ยน ต้องการก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้สนว่าจะเป็นใคร
ข้าฝืนยิ้มอย่างขมขื่น และกอดจื่อสี่
“หวังว่าจะได้ออกจากวังโดยเร็ว”
เมื่อได้ยินข้าตัดพ้อเช่นนี้ จื่อสี่ก็กล่าวสนับสนุน “ข้าเอง ก็อยากไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่ว่า!” จื่อสี่หยุดพักชั่วครู่ แล้ว พูดต่อว่า “เมื่อก่อน เย่วหงถงรังแกเจ้ามาโดยตลอด ยิ่ง ตอนนี้ได้เป็นสนมขององค์ชายเจ็ด เกรงว่าจะยิ่งไม่สนใจ ใคร ข้าเป็นห่วงว่า…….
ข้าตบที่หลังเพื่อปลอบใจนาง “ไม่เป็นไรหรอก”
คุยกับจือ อยู่นาน พอตกบ่ายกำลังจะออกไป นางยัง ทำขนมมาให้ บอกว่าให้ข้าเอาไว้กินแก้เบื่อ เวลาอยู่ที่ กําหนักช่างสู
ขณะกำลังเดินอยู่ ข้าคิดอะไรออกหลายอย่าง ขอเพียง แค่ออกไปจากวังหลวง เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะเป็นเพียงแค่ อดีต ขอแค่าใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดีก็พอ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าก็ยิ่งเร่งฝีเท้าไปยังตำหนักช่างซู
ตำหนักซ่างซูยังคงเงียบสงบเช่นเคย ขันทีที่เฝ้าประตูอยู่ กำลังงีบหลับ ข้าจึงค่อยๆเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบที่สุด
มองเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนอยู่เวร เมื่อ ไม่มีอะไรให้ทำ จึงเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่หญ่หวินจั่น เฉินชอบมานั่งวาดภาพอยู่บ่อยๆ โต๊ะเขียนหนังสือจัดเก็บ อย่างสะอาดสะอ้าน คิดถึงใบหน้าที่จริงจังของเขาเวลาวาดภาพ อยู่ดีๆใบหน้าของข้าก็ร้อนผ่าว ในใจนึกต่า ตัวเอง: เมิ่งหลอชิง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่
หยิบพู่กันขึ้นมาหนึ่งด้าม แต่ไม่ได้จุ่มน้ำหมึก แล้วเลียน แบบท่าทางของหมู่หวินจิ่นเฉินที่ลงพู่กันอย่างบรรจง
ลงพู่กันแต่ละครั้ง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าสมองได้รับ การผ่อนคลาย
อาจเป็นเพราะเห็นข้ากําลังเลียนแบบได้สมจริงสมจัง ห ยู่หวินจิ่นเฉินจึงไม่อยากรบกวน เขายืนดูอยู่ที่ประตูอย่าง เงียบๆอยู่นานสองนาน
ข้ากำลังดำดิ่งอยู่ในรูปที่ตัวเองวาด จนไม่ได้สังเกตว่าใน ห้องยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
เมื่อสติของข้ากลับคืนมา เงยหน้าขึ้น มกุฎราชกุมารหมู่ หวินจิ่นเฉินกำลังมองมาที่ข้าพร้อมกับรอยยิ้ม เขายืนอยู่ ที่ประตูห้อง สายลมอ่อนๆพัดผ่านเสื้อคลุมที่พลิ้วไหว เสื้อ สีขาว ผมสีดำขลับเหมือนน้ำหมึก ราวกับอีกประเดี๋ยวจะ ลอยขึ้นสู่สวรรค์
ข้าตกใจ รีบวางพู่กันที่อยู่ในมือ เดินไปข้างหน้าโต๊ะ เขียนหนังสือแล้วคารวะ “ข้าน้อยคารวะไทจื่อ”
ข้าไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ที่ประตูนานเท่าไหร่แล้ว ที่ข้าเลียน แบบท่าทางการวาดภาพของเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นแล้ว หรือยัง จึงรู้สึกไม่สบายใจ
หยู่หวินจิ่นเฉินเดินมาด้วยท่าทีที่สงบราวกับลอยมากับ สายลม หยุดยืนอยู่ตรงหน้าข้า แล้วพูดเบาๆว่า “ไม่ต้อง มากพิธี” พูดจบก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ข้าลุกขึ้น คิดอยากจะหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อกำลัง จะไป กลับถูกหยู่หวินจิ่นเฉินเรียกตัวไว้
“เมื่อวานเจ้าไม่ได้มา
หญ่หวินจิ่นเฉินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำให้แยกไม่ ออกว่าเป็นประโยคคำถามหรือเพียงแค่พูดขึ้นมาลอยๆ
“เพคะ” พอข้าคิดถึงเรื่องเมื่อวาน ก็ยังรู้สึกกลัว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ