ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 15 สิ่งที่เรียกว่าปัญหามักจะบินนำไปรอ เสมอ



บทที่ 15 สิ่งที่เรียกว่าปัญหามักจะบินนำไปรอ เสมอ

ท่ามกลางเมืองเล็กกลางหุบเขากว้างใหญ่สลับซับซ้อน แม้จะตั้งอยู่ในเขตร้อน แต่กลับมีสภาพภูมิอากาศแบบ พิเศษทำให้เย็นเยียบอยู่ได้ทั้งปี เวลาที่เมืองจะเริ่มมี ชีวิตชีวานั้นก็ย่อมเป็นช่วงที่แสงแดดสาดส่อง และเรื่อง เล่าเช้านี้ของผู้คนทั้งเมืองย่อมหนีไม่พ้น “ความหายนะ” เมื่อคืน ไม่ว่าจะเสียงปืนที่ดังลั่นกลางเมืองระรัวถี่ยิบ พระอาทิตย์ยามค่ำคืนที่ส่องแสงสว่างจ้าอยู่บนวิหาร โบราณชื่อพระอาทิตย์ (el Sol)

ในเมืองเล็กแห่งนี้ แม้ผู้คนจำนวนมากจะมีพลังจิต แต่ก็ อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ไม่ได้พัฒนาอะไรมากนัก โดย มากก็ใช้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตามยถากรรมในชีวิต ประจำวัน ทำให้ประวัติอาชญากรพลังจิตแทบจะเป็นศูนย์ พวกผู้รักษาสันติราษฎร์ค่อนข้างว่างงาน อยู่กินเงินเดือน อิ่มหมีพีมันไปวัน ๆ

แต่ไม่ใช่กับวันนี้แน่… ตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง โทรศัพท์ของ สํานักงานตำรวจก็มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาไม่ขาดสาย บ้าง ก็เดินมาถามสารทุกข์สุกดิบถึงที่ ก่อนจะเอากลับไปลือ กันแบบผิด ๆ ประมาณว่ามีผู้ใช้พลังจิตจากต่างแคว้นมุ่ง หวังทำลายเมืองนี้ โดยไม่มีแม้แต่เหตุผลหรือหลักฐาน อ้างอิงสักนิด

น่าแปลกที่คนก็เชื่อกันจริงจัง
จิณณ์นั่งคอยอยู่ในซุ้มไม้เรือนไทย รายรอบไปด้วยสวน หินจัดสไตล์เรียบง่ายแต่ก็สบายตา ทางเดินหินสีอ่อน โดดเด่นขึ้นมาจากพื้นทรายสีขาว และพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็ตัด ด้วยผืนป่าเขียวขจี ซึ่งยังโอบล้อมรอบเมืองทั้งเมืองเอาไว้ และด้วยทำเลที่เป็นเนินสูง ทำให้เห็นเมืองแทบทั้งเมือง รวมทั้งหน้าผาสูงชันซึ่งตั้งตระหง่าน อยู่เคียงข้างหุบเหว ลึกไร้ก้น……

สถานที่ซึ่งอารยธรรมมนุษย์ หลอมรวมเข้ากับภาพวาด อันวิจิตรตระการตาของธรรมชาติแห่งนี้ คือบ้านเกิดของ เขา แต่เขากลับมีความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้น้อย นิดเหลือเกิน…

“คุณจิณณ์ รอนานไหมคะ?” คนที่ทักเขาเป็นเด็กสาวผิว ขาวผมด่ายาวสลวยดูเรียบร้อย เธอพยายามขยับแว่น ทรงรีให้กระชับกับใบหน้า ดูเหมือนว่าขาแว่นจะมีปัญหา นิดหน่อย

“เพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้เอง” จิณณ์ตอบก่อนจะเอ่ยเสริมไป ในใจอีกหน่อยว่า สติน่ะนะที่มาถึงเมื่อครู่…

จะว่าไปเขาเดินใจลอยมาหยุดอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว ก็ไม่รู้ เนื่องจากตนกำลังพยายามซึมซับบรรยากาศเพื่อ เรียกความทรงจำวัยเด็กออกมาให้ได้มากที่สุด

ปารย์ชายตามองขาของจิณณ์เล็กน้อย ก่อนจะสลับขึ้นมามองหน้าของเขา

“ขาหายดีแล้วหรือคะ?” เธอพูดพลางหยิบกุญแจทอง เหลืองหนึ่งพวงให้กับจิณณ์ เขาเกาศีรษะแล้วยิ้มแหยๆ ให้เหมือนไม่ค่อยอยากพูดสักเท่าไหร่นัก

“ก็ฉันซิงโครกับ อ.ฟิเลเน่ แล้วให้ช่วย ‘เร่งความเร็ว’ การ สมานตัวกันของเซลล์กระดูกน่ะสิ”

ปารย์ตาโต เพราะไม่นึกว่าจะมีการใช้พลังในอีหรอบนี้ ด้วย และแน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยหากผู้ใช้พลังไม่มี ความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับทั้งร่างกายของมนุษย์ ประกอบกับ ความเข้าใจในความสามารถของตนเอง จิณณ์เองก็รู้ทัน ความคิดนั้นแต่ก็ไม่อยากปูดภูมิหลังของคุณอาจารย์ไป ว่าจริง ๆ แล้ว คุณเธอเคยเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับพลังจิตมา ก่อน ดังนั้นไอ้การวิจัยพลังของตนเองจนทะลุปรุโปร่งน่ะ เป็นสิ่งแรกที่ควรทําเลยเชียว ติดก็แค่พลังที่มีไม่สูงมาก นัก จึงทําให้มีขีดจํากัดการใช้ค่อนข้างต่ำก็เท่านั้น

“แต่มันก็ใช่ว่าจะดีหรอก เพราะทำอย่างนี้มันจะทำให้ อายุของเซลล์สั้นลงด้วยนี่สิ” จิณณ์ทำหน้ามุ่ยแล้ว อธิบายเสริม ก่อนจะลุกขึ้นยืน เอื้อมมือมาจับศีรษะของ เด็กสาวตรงหน้าแล้วหลับตาลง

“ทะ ทําอะไรคะ” ปารย์เม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากแย้งถามขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวหลบแม้แต่น้อย

“ก็ตรวจคลื่นสมองน่ะสิ หลังจากฉันโดนวอซเล่นงาน ถึง รู้สึกว่าพลังหมอนั่นร้ายแรงกว่าที่คิด” จิณณ์ตอบกลับทั้ง ยังไม่ลืมตา ปารย์หน้าขึ้นสีเลือดจาง… ก่อนจะถอยหลบ ออกมาเพื่อตัดการเชื่อมต่อ

“ฉันปกติดีแล้วค่ะ ว่าแต่รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะ เข้าใจผิด” เธอว่า

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ยังไงตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ขึ้น el sol ไป กันหมดแล้ว” จิณณ์แย้ง แต่นั่นทำให้ปารย์ถอนหายใจ อย่างเหนื่อยหน่าย คนข้างหน้าเธอนี้… แม้จะเป็นเทเล พาธีชนิด treasure ซึ่งหายากยิ่งกว่า rare ตั้งไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า ซ้ำยังมีพลังในระดับที่ยากหยั่งถึง แต่ดันมี ขอบเขตการรับรู้ที่สั้นกุดแบบนี้เสียได้ มันช่างไร้สมดุล เสียจริง ๆ

“มีค่ะคุณจิณณ์… คนป่วยการเมืองเพราะขี้เกียจขึ้นเต็ม ไปหมดเลยค่ะ” ปารย์ตอบกลับหน้าเรียบ ซ้ำยังทําทีเป็น ชำเลืองมองไปตามจุดต่าง ๆ ให้จิณณ์มองตาม เขาไม่ดู หากแต่ทำนิ่งแล้วเดินนำ หนีออกจากโรงเรียนไปโดยไม่ รีรอจะคิดให้มากความ

สองฝั่งทางเป็นบ้านปูนสลับกับตึกแถวสูงสี่ชั้น แม้ถนน ใหญ่สามทิศ ใต้ ออก ตก จะเป็นแค่ถนนลาดยางสี่เลนส่วนถนนย่อยในซอยก็มีเพียงสองเลน แต่มันกลับเกิน พอเมื่อเมืองนี้เกือบจะไม่มีรถ ถึงมีก็มักจะจอดเอาไว้ ประดับบ้าน ไม่ก็ไว้ตามสวนสาธารณะให้เด็กปีนป่ายเล่น ส่วนมากที่ใช้กันจริงจะเป็นจักรยานภูเขา หรือรถม้าให้ บรรยากาศราวกับอยู่คนละโลกกับเมืองหลวง

หากเป็นคนหลงแสงสีเมืองพรรค์นี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับ ป่าช้า แต่หากเป็นคนที่ชอบความผ่อนคลาย นี่คงเป็นทาง เลือกหนึ่งที่น่าสนใจใช่น้อย จิณณ์เดินลัดเลาะไปตาม ทางคนเดินเพื่อมองหาสิ่งที่คุ้นตา แต่ดูเหมือนจะไม่พบ อะไรที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นเลยจึงได้แต่ทำหน้าเบื่อโลก

“คุณจิณณ์ แล้วพวกนั้นไปไหนแล้วคะ?” ปารย์เป็นคน เปิดประเด็นถามขึ้นก่อน

‘พวกนั้น’ ก็ไม่ใช่ใครอื่น… เจ้าพวกไอ้บ้าลุซ เพียงแค่ คิดถึงหน้าหมอนั่นจิณณ์ก็ยิ่งหน้าบูดหนักข้อ และเขาเอง ก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมตัวเองต้องยื่นเท้า เข้ามาตามเก็บ เรื่องที่ตนไม่ได้ก่ออยู่เรื่อย ซึ่งเมื่อคืนวานก็เป็นเรื่องที่ ใหญ่ที่สุดในชีวิต ไม่เคยแม้แต่คิดจินตนาการว่าจะเข้ามา ยุ่ง

…แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเสียด้วย…

“กลับไปแล้วล่ะ” จิณณ์ตอบกลับกลาง ๆ โดยไม่อยาก สาวความต่อมากไปกว่านั้น เพราะเขาเองก็ยังช็อคไม่หายที่จู่ ๆ พวกนั้นแต่งตั้งให้ตนเป็นหัวหน้าเสียได้ แน่นอน เขาไม่เอาด้วยแน่ ถึงต้องรีบตัดบท… ตัดบทด้วยการซิง โครกับโบยูแล้วบอกซิลเวียว่า ‘อินเตอร์เน็ต รออยู่ที่เมือง หลวง’ แค่นั้นแหละเจ้าแม่หันไปเขม่นคุณยักษ์ให้พาตน กับลากคอลุซบินกลับไปทันที แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดมีพลังอนันต์ ตั้งแต่เกิดมาเมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรกที่ทำให้ได้รู้จักคำว่า ‘หมดก๊อก’ เพิ่งเข้าใจว่า มันเหนื่อยแค่ไหน!

“จริง แล้วปิ่นเป็นไงบ้างล่ะ” จิณณ์ถามเหมือนเพิ่งนึก ได้ ตอนโทรไปหาก็ตอบกลับมาแค่ ‘ไม่สบายนิดหน่อย ไม่มีปัญหา เดี๋ยวให้ปารย์เอากุญแจไปให้’ เป็นอันจบสิ้น กระบวนการแถมวางสายทันทีอีกต่างหาก

ปารย์หัวเราะเล็ก ๆ อย่างรู้ทัน

“เห็นว่าต้องไปนั่งท้าลมหนาวร่วมสองชั่วโมงนี่คะ แถม ตอนกลับมาก็ยังต้องรอดูจังหวะที่เจ้าพวกชุดดำนั่นเผลอ อีกกว่าจะเข้าห้องได้ก็แทบแย่แน่ะ”

“พวก… ชุดด่าเหรอ?”

“ค่ะ พอดีฉันเห็นพวกนั้นก็เลยโทรบอกปิ่นเอาไว้ก่อน”

จิณณ์หยุดฝีเท้าลงเนื่องจากต้องใช้ความคิด เพราะนั่น หมายความว่าคาซี่เองก็สงสัยปิ่นอยู่บ้าง….
“แต่หลังจากดวงแสงนั่นดับลง เจ้าพวกนั้นก็รีบวิ่งหายไป หมดเลย คงไม่มีปัญหาอะไรมั้งคะ?”

ใช… ยัยนั่นคงหลุดปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว เพราะการที่ เขาขึ้นไปอยู่ร่วมกับพวกลุซ หนึ่งเองก็เพื่อทำให้พวกนั้น เลิกให้ความสนใจกับปิ่นนั่นแหละ แต่ในทางกลับกันหาก ความแตกว่าคนที่อยู่ ณ ที่นั้น เวลานั้น ไม่ใช่วอซขึ้นมา แล้วล่ะก็… อนาถ…

“คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกมั้ง…” จิณณ์พูดกับตัวเองด้วย ความเผลอตัว ก่อนจะนึกได้ว่าตนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ด้านข้างเขามีอยู่อีกหนึ่งที่กำลังมองมาด้วยสายตาเป็น กังวล เขารีบฉีกยิ้มขึ้นแล้วชี้ตรงไปข้างหน้า

“ช่างมันเถอะ บ้านฉันก็อยู่ข้างหน้านุ่นแล้วล่ะ” เขาโพล่ง ออกมาเสียงดัง ก่อนจะทําเป็นไม่สนใจความเคลือบแคลง สงสัยของเธอ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางที่เขาจะซ่อนอะไรได้แน่ หากอยู่ต่อหน้าสายตาสีดำขลับคู่นี้ ทั้งคู่เดินกันไปเงียบ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มสักคำ ซึ่งมันทำให้บรรยากาศขวน อึดอัดแพร่กระจายไปทุกหนแห่งที่เดินผ่าน จนแม้กระทั่ง หมาในบ้านข้างทางยังต้องเห่าทัก

บ้านของจิณณ์เป็นบ้านปูนสองชั้นธรรมดา แต่ที่ไม่ ธรรมดาคือความโทรม พื้นที่รอบบ้านมีแต่หญ้ารกรุงรัง สูงเทียมรั้ว แม้แต่ประตูเลื่อนด้านหน้ายังกลายเป็นพื้นที่ สำหรับไม้เลื้อย เช่นเดียวกับตัวบ้านซึ่งโดนล้อมกรอบ ด้วยต้นฟักแฟง ห้อยอยู่แถวปล่องไฟอย่างน่าอัศจรรย์ไม่ทราบว่ามันขึ้นไปอีท่าไหน และเลื้อยลงไปในบ้านด้วย หรือไม่…

“จิณณ์” เสียงต่ำ ๆ เอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ เรียก ให้จิณณ์กับปารย์หันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกัน และก็ พบคุณป้าร่างท้วมยืนทําหน้างงเล็กน้อย เมื่อเห็นพวกเขา ตอบสนองก็ยิ้มแป้นออกมา “ใช่จริง ๆ ด้วย ป้านึกว่าทัก ผิดคนเสียแล้ว”

“ป่าฮาซู!” จิณณ์งงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมาเสียง

ดัง

“แหมยังจำได้ด้วยนะเรา ดีใจจัง” คุณป้ายิ้มร่าอย่างเป็น มิตร แต่จิณณ์แอบสังเกตเห็นว่าหล่อนชราลงมาก เส้นผม สีดำาขลับเริ่มมีสีขาวแซมประปราย และเมื่อร่างท้วมนั้น เดินมาหยุดตรงหน้า น้ำตาหยาดน้อยก็ร่วงหล่นลงข้าง แก้มซ้ายของเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็โผเข้า กอดเธอคนนั้นเสียแล้วในรอบสิบปี…

หลังจากแม่ของเขาเสียไปก็ได้เธอคนนี้ที่คอยเลี้ยงดู และให้การสั่งสอนเรื่อยมา จนกระทั่ง…พ่อ…มาพาเขาไป ยัง โกยาน่า ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมีเทร์ และหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย…

“อะไรกัน ยังเป็นเด็กขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ” เธอคนนั้น ลูบหัวจิณณ์อย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ยังต้องปาดนํ้าตาของตนไปด้วย ภาพแบบนั้นทำให้ปารย์เผลอยิ้ม กริ่มขึ้นมาบ้าง ด้วยพลังพิเศษของเธอมักจะทำให้เห็นใน สิ่งที่ไม่ต้องการอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะจิณณ์ซึ่งเธอ เองก็สัมผัสได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาเป็นคนที่เก็บสิ่งต่าง ๆ เอาไว้เบื้องลึกอยู่ตลอดเวลา และครั้งนี้เท่านั้นที่ชายตรง หน้าของเธอแสดงความอ่อนแอออกมาโดยไม่มีการปิดบัง อะไรทั้งนั้น…

ปารขยับแว่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อปาดน้ำตาที่เริ่มจะคลอ เบ้าขึ้นมา และนั่นทำให้ป่าฮาซูหันมาสนใจที่เธอบ้าง

“ว่าแต่คิดยังไงถึงพาสาวมาบ้านรก ๆ แบบนี้ล่ะจ๊ะ” เธอ ว่าแล้วก็หัวเราะ

“พอดีวันนี้ทางโรงเรียนพามาทัศนศึกษา… น่ะครับ” จิณณ์โกหกหน้าตายสนิท ไม่เหมือนชายที่โกหกโลกทั้ง ใบมาเป็นสิบปีเลยสักนิด ซึ่งมันพอจะเรียกเสียงหัวเราะ เล็ก ๆ ออกมาจากปารย์ได้

“วันนี้คนอื่นเขาขึ้น el sol ไปหนูเองก็ร่างกายไม่ค่อย แข็งแรง ถึงโดนห้ามขึ้นไปข้างบนนั้นค่ะ” ปารย์แทรกเข้า มาตอบแทนแล้วยิ้มให้คุณป้า

“นั่นสิเนอะ ข้างบนนั่นทั้งหนาว ทั้งอากาศน้อย ค่อนข้าง อันตรายทีเดียวนะ แล้วหนู…?”
“ปารย์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เธอพูดแล้วก็โค้งให้อย่าง สุภาพ

คุณป้ายิ้มกริ่มก่อนจะหันไปทางประตูเหล็กด้านข้าง

“จะเข้าไปสินะจิณณ์” ฮาซูถาม แต่ยังไม่ทันได้ตอบจู่ ๆ ต้นตำลึงซึ่งพันประตูอยู่ก็ถูกตัดขาดเรียบด้วยพลังอะไร บางอย่างที่มองไม่เห็น ซ้ำยังถูกกระชากลอยวนไปมา เรียงแถวเป็นวงกลมในอากาศ คุณป้าหลับตาลงพึมพำกับ ตัวเองเล็กน้อย ในไม่ช้านิ้วอวบชี้ส่งไปทางบ้านด้านข้าง พริบตานั้นขบวนแถวตำลึงก็บินลอยละลิ่วเข้าหน้าต่าง ครัวของบ้านหลังนั้นไป

เธอเข็นประตูเหล็กสนิมเกาะ หนักอึ้งออกไปโดยง่าย เหมือนไม่ใช่เรื่องสําคัญ

“แล้วอย่าลืมไปแวะบ้านป้านะจ๊ะ เดี๋ยวจะทําซุปร้อน ๆ ให้ทาน” ป้าฮาซูว่าแล้วก็เดินฮัมเพลงกลับบ้านไปอย่าง อารมณ์ดี โดยไม่รอคำตอบ หรือให้โอกาสได้ปฏิเสธ แม้แต่น้อย

“ไม่ได้เจอตั้งนานแต่ดูเหมือนสุขภาพจะยังดีอยู่แฮะ” จิณณ์เอ่ยเสียงค่อย ก่อนจะรีบปาดน้ำตาตนเองเมื่อนึก ขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้มาที่นี่คนเดียว

“ฉันจะทำเป็นไม่เห็นให้ก็แล้วกันค่ะ” ปารย์พูดดักคอล่วงหน้าแล้วยิ้มให้ จิณณ์เกาหัวแล้วยิ้มกริ่มออกมาบ้าง

“คุยกับเทเลพาธีด้วยกันนี่ไม่ไหวแฮะ โดนดักได้หมด” จิณณ์พูดกึ่งจริงกึ่งเล่น พลางเดินตามทางเข้าไปเปิด ประตูไม้ปลวกกิน และได้ลูกบิดติดมือออกมาเป็นของ รางวัล ส่วนประตูไม้ล้มโครมเข้าไปข้างใน ตีฝุ่นคลุ้ง กระจุยกระจายจนต้องรีบเผ่นออกมาตั้งหลักนอกรั้วกัน อีกรอบ ทําลายบรรยากาศแสนซาบซึ้งซึ่งแผ่กระจายไป ทั่วเสียเรียบแปลในชั่วอึดใจ

หลังจากโดนพายุฝุ่นเล่นงานไปรอบหนึ่ง จิณณ์รีบยกมือ ปราม ไม่ให้ปารย์ซึ่งร่างกายอ่อนแอเสี่ยงเข้าไปข้างใน แต่ดูเหมือนค่าห้ามนั้นจะมีน้ำหนักน้อยกว่าเศษกระดาษ เมื่อคุณเธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกแล้วเดินแซงจิณณ์ เข้าไปอย่างรวดเร็ว…

ปารย์เดินเร่งฝีเท้าเข้ามาได้ครู่เดียวก็ต้องชะงัก ฝีเท้า เมื่อภายในมีใยแมงมุมห้อยระโยงระยางเต็มไป หมด จิณณ์ที่ตามมาทีหลังยื่นมือขวาเล็งตรงไปข้าง หน้า จังหวะเดียวกันนั้นลมเบา ๆ ก็พัดออกมากระทบใย แมงมุมเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง จิณณ์หลับตาลงแล้วพึมพำกับ ตนเองเสียงค่อย… เวลานั้นเองที่ปารย์เบิกตาโต มองภาพ มหัศจรรย์ตรงหน้าให้ชัดอีกครั้ง

..เหล่าแมงมุมทั้งหลายไต่ใยของตัวเองหลบขึ้นเพดาน ไปหมด..
จิณณ์เผยอตาขึ้นมองก่อนจะยิ้มร่าขึ้นมาอย่างพอใจ

“เพิ่งรู้แฮะ ว่าใช้ทําแบบนี้ได้จริงด้วย…

จิณณ์ปาดใยแมงมุมออกแล้วเดินเข้าไปยังห้องรับแขก ว่างโล่ง ภายในนั้นมีเพียงโต๊ะกลมตั้งโดดเด่นกลางห้อง แจกันร้างยังคงวางประดับอยู่ตรงกลาง มันเป็นแจกัน ที่เขามักนําดอกไม้ที่พบเห็นมาปักไว้ให้แม่ซึ่งป่วยอยู่ และไม่อาจไปไหนได้… เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง แสงทองส่องผ่านกระจกฟ้าลงสู่เก้าอี้โยกเยกที่มุมห้องพอ ดิบพอดี วิวที่ทอดยาวออกไปนั้นไกลถึงน้ำพุใจกลางเมือง

จิณณ์ยิ้มบางให้เก้าอี้นั้นแล้วหย่อนผืนผ้าเช็ดหน้าลงสู่ ที่นั่งแล้วหลับตาลง วินาทีนั้นภาพหญิงสาวผมสีน้ำตาล อ่อนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในมโนสำนึก เธอคนนั้นมักจะยิ้ม บางให้และคอยสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่สองตาของเขา พบเห็น อีกครั้งหนึ่งที่สองตาลืมขึ้นสู้แสงหยาดน้ำก็เอ่อ ล้นเต็มดวงตาทั้งสองข้าง

“แย่ชะมัด… ทั้งที่ทำใจมาแล้วแท้ ๆ” จิณณ์บ่นกับตัวเอง ก่อนจะปาดน้ำตาทิ้งแล้วยิ้มให้ปารย์ แต่เมื่อเห็นเธอกำลัง ดูรูปซึ่งติดอยู่ข้างตู้ คนในรูปเป็นชายหนุ่มหน้าสวย ไว้ หนวดหรอมแหรมสะพายกระเป๋าใบโตยืนอยู่บนยอดเขา สักแห่งในโลกใบนี้…
เพียงเท่านั้นแววตาของเขากลับขุ่นมัวลง พร้อมแสดง ความไม่พอใจออกมาชั่วแวบหนึ่ง เมื่อเห็นปารย์ทำหน้า ประหลาดใจ เขาก็รีบตีหน้าเรียบกลบเกลื่อนทันที

…แต่ในสายตาของเด็กสาว เธอเห็นอารมณ์ของเขายัง คุกรุ่นไม่จาง…

“ที่นี่คงไม่มีอะไรหรอก ไปบ้านป้าฮาซูกันเถอะ” จิณณ์ ตัดบทพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่ ได้แวะไปดูห้องอื่นเลยด้วยซ้ำ ปารย์ชายตามองรูปชาย คนนั้นสลับเก้าอี้สามตัวที่ล้อมรอบโต๊ะตัวกลม เพียงแค่ นั้นเธอก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า ‘เขา’ เป็นใคร และค่อนข้าง เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเขากับจิณณ์ไม่ดีสักเท่าใดนัก

ปารย์หยุดคิดแค่นั้นเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว เพิ่ม เธอส่ายหน้าสะบัดความคิดเหล่านั้นออกไป และเดิน ตามจิณณ์ออกสู่โลกแห่งแสงสว่างอีกครั้ง….

“คุณคาซี่” ชายผมน้ำตาลยาวประบ่าเอ่ยทัก แต่ดู เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีกะจิตกะใจคุยด้วย ยังคงนั่งท้าว คางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งไม่มีอะไรนอกจาก ท้องฟ้า อากาศ และก้อนเมฆ

“อัลมา เปิดคอมฯ” คาซี่เอ่ยออกมาเป็นคำแรกในรอบวัน หลังจากพ่ายศึกในยามค่ำคืนนั้น… อัลมายังคงงงอยู่ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็รีบทำตามทันที หน้าจอแสดงเส้น ทางการบินถูกปรับเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์พร้อมใช้งาน ในชั่วอึดใจ เซียโล่ กับซาเบร์ เมื่อเห็นพรรคพวกมีการ เคลื่อนไหวจึงวิ่งเข้ามามุงดูบ้าง

“มีอะไรหรือครับคุณคา ?” ซาเบรถาม…คา ยังคงเอา มือจรดคาง หลับตาพริ้มตั้งสมาธิให้ถึงขีดสุดเพื่อคิดอะไร บางอย่าง…

“ฉันมีข้อสงสัยหลักอยู่สี่อย่าง” คาซี่เปิดปากพูด พร้อม ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง “หนึ่งเจ้าลุซมันไปที่นั่นทําไม…? แค่ เพื่อหาโอกาสคุยกับ โนวา ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาด นั้น ก็ในเมื่อมันแอบไปคุยมาหลายหนแล้วใน โกยาน่า ไม่ใช่หรือไง”

สามคนที่อยู่รอบ ๆ คิดตาม และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น จริง… เอาแค่ภาพลวงตาของลุซ ผสมกับเทเลพอร์ตของอ ลาเบโอ พวกนั้นก็เกือบจะเป็นผีเมืองกรุงไม่มีใครจับได้ไล่ ทันอยู่แล้ว แต่นี่กลับทำเรื่องให้ยุ่งยาก….

“ข้อสอง…” คาซึเอ่ยต่อไป “สืบเนื่องจากข้อแรก ทําไม มันถึงต้องเสี่ยงล่อให้พวกเราตามมาเล่นงานตัวเองด้วย ล่ะ?”

จริงอยู่ที่ลุซเป็นพวกที่ทำอะไรให้คาดไม่ถึงเสมอ แต่ ไม่ใช่คนที่ละเอียดรอบคอบมากนัก และไม่ใช่คนที่หยาบกระด้างไม่คิดอะไร ทุกการกระทำย่อมมีเหตุและ ผล ในเมื่อมันยอมเสี่ยงขนาดนี้ สิ่งที่มันจะได้รับกลับ ย่อมไม่ใช่แค่มาพบหน้ากับพวกเขาเท่านั้นอย่างแน่นอน เพราะแบบนั้นมันเรียกว่า

สิ้นคิด

“ถ้าคุณพูดอย่างนี้ หมายความว่า… พวกมันอาจจะ หลอกให้เราทําอะไรสักอย่างโดยไม่รู้ตัวหรือครับ?” เซีย โล่ถามด้วยความข้องใจ ซึ่งคา เองก็จนปัญญาจะตอบได้ แต่ขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก

“ข้อต่อไปล่ะครับคุณคา ?”

“นั่นล่ะอัลม่า ฉันอยากให้นายช่วยตรวจสอบทีว่า… โอกาสทีซิลเวียจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ SS ในเวลานี้มีสักกี่ เปอร์เซ็นต์กันแน่?”

“หา” ทั้งสามอุทานขึ้นพร้อมกัน แม้จะยังไม่ทันคำนวณ แต่ในหัวของพวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นไปไม่ได้!

“ฟังนะ พวกนักวิจัยเคยบอกว่า… พลังของฉันหากจะ ถูกหยุดลงได้ คนตรงหน้าจะต้องเป็น ‘ไซโคคิเนซิสแห่ง จินตนาการ’ ‘กล่องสมบัติแห่งมีเทร์ หรือไม่ก็… ผู้ใช้ ไฟฟ้าระดับ SS”
นคําอธิบาย นทุกคนเงียบกริบ

“เฮ้ย ฉันไม่ได้ใช้ให้มานั่งงง” คาซี่เหน็บเล็ก ๆ อัลมา สะดุ้งเฮือกรีบหันไปทำตามคำสั่งทันที โดยไม่ทันสังเกต ว่าคา แอบขบฟันอยู่เพราะความเจ็บใจ… ตั้งแต่เจอ ทําลายพลาสมาทั้งหมดได้ในพริบตา ตั้งแต่วินาทีนั้น สมองเขาก็รวนไปหมดเพราะไม่เคยนึกฝันสักนิด

…คนที่ช็อคที่สุดไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเองนั่น

แหละ…

“คุณคา ครับ…” อัลมาพูดเสียงอ่อย เมื่อคาซี่หันมาก็พบ ว่าทั้งสามกำลังทำหน้ายุ่งเหมือนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี…

ข้อมูลที่ส่งตรงมาจากการคำนวณของศูนย์ใหญ่ให้คำ ตอบกลับมาสั้น ๆ แต่เต็มจอเล็กตรงหน้าว่า

iluminación – Class S

calculation completed

probability of improving at the time = 0.000111%

“โอโห… ตัวเลขสวยชะมัด” คาซี่ติดโรคหน้ายุ่งไปด้วยโดยไม่ได้นัดหมาย ข้อสงสัยย่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกบาน ตะไท เริ่มจากคอมมันโง่จนเชื่อถือไม่ได้ หรือจะเป็นเพ ราะยัยนั่นมันพัฒนาได้รวดเร็วเกินกว่าเราจะจินตนาการ ได้กันแน่ล่ะนั่น…

“แล้ว… ข้อสุดท้ายล่ะครับคุณคาซี่” เซียโล่กลืนน้ำลาย อย่างยากลำบากกว่าจะถามออกมาได้

คาซี่ชายตามองทั้งสามคนให้ชัดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เอามือตบหน้าผากเสยผม ขึ้นเล็กน้อยทิ้งตัวพิงเบาะเนื่องจากรู้สึกหมดแรงชอบกล… เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมองข้ามไปแน่หากสภาวะ จิตใจเป็นปกติ

“ฉันสงสัยว่าวอซที่เราเห็นน่ะจะเป็นวอซจริงหรือเปล่านี่

สิเพื่อนเอ๋ย”

“หะ….หา…?” เซียโล่อุทานติดอ่างเสียงสั่น “เดี๋ยวสิ ทำไม คิดอย่างนั้นล่ะครับ!!” เขาโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้

ในที่นั้นทุกคนดูลุกลี้ลุกลนไปหมด ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่น ที่ว่าอยู่แล้ว เพราะหากเป็นไปตามที่คาซี่พูดมาจริง นั่น หมายความว่าพวกเขาโดนต้ม…

โดนต้มเสียเปื่อยยุ่ย!
“วอซ” คา เอ่ยเสียงค่อย แต่ก็พอจะทำให้ทุกคนนั่งใจ จดใจจ่อรอฟัง “นี่พวกแกเคยเห็นไอ้หมอนั่นมันเดินออก มาโชว์ตัว ตั้งแต่กับดักยังไม่เริ่มทำงานด้วยเหรอ?”

และมันก็จริงอย่างที่พูด…

แม้วอซจะดูเหมือนคนอารมณ์ร้อนทั่วไป แต่ความ รอบคอบของมันเป็นของจริง เพราะฉะนั้นการเดินออก มาโชว์ตัวในเวลานั้นมันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรสัก นิด ในทางกลับกันการซ่อนตัวอยู่ภายในให้พวกเขา สับสนวุ่นวายย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก มิหนำซ้ำด้วยพลัง อ่ามหิตผิดมนุษย์ของวอซย่อมหยุดพวกเขาได้ง่ายกว่า ส่งอลาเบโอขึ้นมายืนเสี่ยงเผชิญหน้าเพื่อหย่อนยาตั้งไม่รู้ เท่า!

คาซ๊ตบมือเรียกสติของทุกคนให้ย้อนกลับมาที่ตนเอง อีกครั้ง และสายตาสีฟ้าใสนั้นเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมา ใหม่หลังจากได้เล่าเรื่องที่ตกค้างอยู่ในหัวทั้งหมดออกมา แล้ว…

“พร้อมสําหรับงานใหม่หรือยัง?” เขาถามแล้วหัวเราะร่วน โดยไม่ฟังคำตอบของทั้งสามที่ยังนั่งนิ่งเงียบกริบ

คาซี่ชายตามองลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง ณ ที่นั้นมีเมือง ใหญ่ตั้งอยู่เคียงข้างทะเลสาบขนาดยักษ์ เขาค่อนข้าง มั่นใจว่าจะสามารถหาคำตอบทั้งหมดที่สงสัยได้ที่
…ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม…


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ