ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 8 วันหน้าฟ้าใหม่ เมฆครึ้มลอยมาแต่ไกล



บทที่ 8 วันหน้าฟ้าใหม่ เมฆครึ้มลอยมาแต่ไกล

“กว่ายัยนั่นจะมาถึงก็คงต้องใช้เวลาหาสักหน่อย ชาย ผมค่เอ่ยขึ้นเสียงค่อยก่อนจะหย่อนมันลงกระเป๋าเสื้อ ของจิณณ์ เหมือนไม่มีความคิดจะใช้มันอีกต่อไป สายตา สีดำสนิทจ้องมองเขาด้วยทีท่าเคลือบแคลงสงสัยในอะไร บางอย่าง หรืออาจจะเป็นจำนวนมาก

“จะว่าไปแกนี่ก็อึดเหนือมนุษย์จริง ๆ แฮะ” วอซเช็คเวลา จากในมือถือของตน “นี่ก็ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังมีสติ เหลืออยู่อีก”

จิณณ์ยังคงไม่ตอบอะไร ส่วนวอซเองก็หมดความสนใจ จะเล่นกับของเล่นที่ใกล้พังมิพังแหล่เต็มทน เดินวนไป รอบห้องเพื่อสํารวจกับดักเสียงที่ตนวางเอาไว้ เพื่อเตรียม รับมือกับปั่นแทน

จิณณ์ถอนหายใจหนึ่งเฮือกเพราะความอ่อนล้า สอง เพราะความโล่งอก และสามเพราะความหนักใจ… หลัง จากโดนเล่นงานมาพักใหญ่ เขาก็เริ่มจับรูปแบบของคลื่น ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาพอจะป้องกันตัวได้ใน ระดับหนึ่งด้วยความสามารถจริง ๆ ของเขา

นั่นคือ ‘การตรวจจับ และการปรับเปลี่ยนคลื่นของ ตนเอง’ ไม่มีอะไรมาก อะไรน้อยกว่านั้นอีกแล้ว

“นี่… ให้มันจบแค่นี้ไม่ได้หรือไงวอซ” จิณณ์เอ่ยทักหลังจากเงียบอยู่ครูใหญ่ “แก้แค้นเท่านี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

เมื่อเห็นคู่สนทนาคืนชีพ วอชเดินตรงรี่เข้าหาด้วย สีหน้านักเลงโตพร้อมเอาเรื่องทุกเมื่อ ก่อนจะสอบกับตัว เอง เบือนหน้าหลบแล้วทั้งตัวลงนั่งอีกรอบ

“หัดโกรธซะบ้างไม่ได้หรือไง น่าเบื่อเป็นบ้า” วอซบ่นกับ ตนเองแต่จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน

“แม่ฉันเคยสอนว่า… คนเราไม่ผิดที่จะโกรธ แต่อย่าง น้อยควรจะโกรธเฉพาะสิ่งที่สำคัญกับตนเองเท่านั้น” จิณณ์พูดลอย ๆ เรียกวอซให้มองย้อนกลับมาบ้าง

“แล้วชีวิตของแกไม่สำคัญหรือไง”

จิณณ์พยักหน้า

“สำคัญ แต่ฉันก็ยังไม่ตาย ยังนั่งอยู่ดีมีลมหายใจ

“ชิ” วอซสบถ “แกจะทำตัวเป็นคนดีไปถึงไหน ในสังคมที่ ผุพังอย่างนี้”

“ไม่ว่าใครก็มีความมืดหรือแสงสว่างในตัวทั้งนั้น เพียง แค่เราไม่ปิดใจของตนเองแล้วมองผู้อื่นอย่างตรงไปตรง มา ก็จะพบสิ่งมีค่าอีกมากมายอยู่ตรงหน้า”
“คำสอนของแม่แกอีกละสิ

“เปล่า” จิณณ์ตอบกลับ “จากหนังสือคุณค่าของมุมมอง โดย โซเร็น วาร์สเตน

วอชหัวเราะเยาะ แต่เมื่อมองตาของอีกฝ่าย เขาไม่เห็น วี่แววล้อเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย ความหงุดหงิดเริ่มประดัง เข้ามาจนนั่งไม่ติดเก้าอี้

“หยุดกวนประสาทกันสักที ไม่งั้นแกตายแน่….

จิณณ์ได้ยินก็หลับตาลงแล้วยิ้มบาง

“คนที่พูดว่าจะฆ่า ส่วนใหญ่คือคนที่ไม่คุ้นกับความตาย และไม่เคยฆ่าใครมาก่อนนายคิดว่าจริงไหมวอซ”

วอซหมดสิ้นความอดทนใช้มือหยาบกร้านบีบคอของ จิณณ์อย่างแรง “ดูท่าว่าแกจะอยากตายมากสินะ!!” เขา ตวาดเหมือนคนคุ้มคลั่งเสียสติ จิณณ์เห็นว่าทนต่อไปไม่ ไหวแล้วจึงสะบัดเชือกที่มือออก วอซตกใจนิดหน่อยก่อน จะกลับมาแสยะยิ้ม

“ชวนคุยเพราะถ่วงเวลาสินะ เยี่ยมมาก! ฉันจะได้ไม่ ลังเลที่จะ ฆะ..”
เสียงของวอยขาดหายไป แต่กลับมีเสียงอื่นเข้าแทนที่ วอชทรุดตัวลงหลังเสียงของปืนในชั่วอึดใจ เพียงพริบ ลาเดียวกลุ่มคนในชุดดำ ก็พากันกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว จิณณ์มองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งแปลกใจ

กลุ่มคนข้างหน้านี้ทั้งปิดหน้าปิดตา ไม่มีสัญลักษณ์ของ หน่วยงานใด แต่กลับมีอาวุธครบมือแล้วยิงคนอื่นหน้าตา เฉย!

“ยืนยันเป้าหมายโค้ดเนม ‘voz’ คลื่นเสียงระดับ S จับกุม เสร็จสิ้น” ชายคนหนึ่งพูดพลางเดินเข้าหาเด็กหนุ่มผมดำ วอช ที่กำลังพยายามยันตัวลุกขึ้นมามองหน้ากลุ่มแขกผู้ ไม่ได้รับเชิญ เขาคลำที่หลังของตัวเองที่รู้สึกร้อนจนแทบ บ้าก็พบของเหลวสีแดงขันติดมือสีซีดของตนมาด้วย

“แล้วผู้เห็นเหตุการณ์นั่นล่ะ” จิณณ์สะดุ้งเฮือกเมื่ออีก ฝ่ายเริ่มพูดถึงตนบ้าง และหัวใจก็ยิ่งเต้นโครมครามเมื่อ ชายคนหนึ่งหยิบเครื่อง Scan ใบหน้ามาส่องตน “ขยะ ก็ แค่ลมระดับ i เก็บทิ้งได้เลย”

“อะ… อะไรนะ…?” จิณณ์ลุกลี้ลุกลนจะแกะเชือกที่รัด ขา แต่กลุ่มชายตรงหน้ายังใจเย็นเล็งปืนใส่เขาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเหนี่ยวไก ปืนทุกกระบอกลั่นพร้อมกันแต่กลับไม่มี กระสุนออกมาสักนัด กระสุนทั้งหมดร่วงกราวอย่างสาย ฝนลงจากมือของชายหนุ่มผมสั้นในชุดคลุมสีดำผู้มาใหม่ พร้อมยืนขวางให้ทั้งวอซและตัวเขา
จิณณ์ตะลึงตาค้าง ไม่เข้าใจว่าคนข้างหน้าตนใช้วิธีคิด คำนวณแบบไหนถึงท่าเรื่องเหลือเชื่อขนาดนี้ได้ เทเล พอร์ตกระสุนจากปืนทุกกระบอกมาไว้ในมือของตนเช่นนี้ แต่มันก็ชวนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ใช่วิธีขโมยปืน… หรือไม่ก็ จับพวกเขาหนีไปแทนการเข้ามาขวางเล่า…?

คำตอบนั้นตอบง่ายนิดเดียวคือ ‘หมอนั่นทำไม่ได้

อลาเบโอ าเลืองมองเล็กน้อยด้วยสายตาเย็นชาเช่นทุก ครั้งที่พบหน้า ก่อนจะดีดนิ้วส่งเชือกที่มัดตัวของจิณณ์ให้ หายไปเยี่ยงนักมายากลชั้นยอด เขาไม่รอช้ารีบประคอ งวอ วิ่งเข้าหาอลาเบโอที่คอยคุมเชิงให้ทันที ก็พอดีกับ ที่พวกชุดดำข้างนอกรีบกรูกันเข้ามาเสริมสาดกระสุนไล่ หลัง

…แต่มันก็สายไปแล้ว….เป้าหมายหนีไปได้อย่างน่า เจ็บใจ…

พวกจิณณ์ที่เพิ่งหลบออกมาได้ล้วนโทรมกันถ้วนหน้า แม้แต่อลาเบโอที่ทำหน้าเฉยชาสนิทยังนั่งพิงกำแพงหอบ ตัวโยน เห็นได้ชัดกว่าการเทเลพอร์ตสิ่งที่ซับซ้อนมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘มนุษย์’ เป็นเรื่องที่กินพลังมากถึงมาก สุด เพราะเท่าที่เขาเคยอ่านหนังสือมา ยังไม่บันทึกไว้ เลยว่ามีผู้ที่สามารถเทเลพอร์ตมนุษย์ได้อย่างใจนึก
ความจริงตอนแรกเขานึกว่าการที่พวกนี้หายตัวได้เป็น เพราะการหักเหแสงของลุขมากกว่า แต่ในเมื่อโดนจับวาร์ ปด้วยตัวเองก็คงต้องเชื่อเสียแล้ว….

“ทำไมถึงรู้ว่าผมเทเลพอร์ตมนุษย์ไม่ได้ หากไม่สัมผัส โดยตรง”

จิณณ์ไม่ตอบ หากแต่หัวเราะแหะ ๆ เนื่องจากไม่อยาก

บอกไปว่า

…พอจะเดาได้ก็เพราะเงื่อนไขที่ให้ใช้พลังได้เต็มที่ช่าง คล้ายกันนัก…

“แล้วคุณ…. ไม่เจ็บบ้างหรือ?” อลาเบโอชี้นิ้วหาเขาซึ่ง กำลัง “งง” กับคำว่า ‘เจ็บ’ เมื่อมองตามนิ้วนั่นก็เห็นว่าคนที่ ถูกยิงไม่ได้มีคนเดียว สีข้างของเขาก็เลือดโชกเหมือนกัน สงสัยว่าจะโดนลูกหลงตอนก่อนหนี ชั่วเสี้ยววินาทีนั่น!

เพียงแค่เหล่มองเข่าก็อ่อนลงทรุดลงนั่งกองกับพื้น ทันตาเห็น เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกเจ็บจะค่อย ๆ แล่น พล่านจนในที่สุดก็ปวดจนแทบสลบ เขาเข้าใจแล้วว่าคน ที่ตื่นเต้นจนลืมเจ็บมันเป็นยังไง เข้าใจชัดเจนสุด ๆ ด้วย ประสบการณ์จริงเห็น ๆ

อลาเบโอเห็นจิณณ์แล้วก็อุบหัวเราะไม่อยู่ ก่อนจะรีบตีหน้าขึงขังกลบเมื่อจิณณ์หันหน้าแหยมาหา อลาเบโอ ขายตามองวอชที่เจ็บจนไม่ได้สติแล้วก็ถอนหายใจ

…เขาจะต้องรีบพาตัวทั้งคู่นี่กลับไปรักษาให้เร็วที่สุด

แต่เมื่อยันตัวลุกขึ้นก็มีดาวตกพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง เสียงตกกระทบดังสนั่นหวั่นไหวทั่วเมืองกรุงยามราตรี

อลาเบโอเทเลพอร์ตหลบได้ทันท่วงที ก่อนจะทรุดลงไป นั่งชันเข่าเพราะเริ่มถึงขีดสุดแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่ม ฝุ่นที่คละคลุ้งกลบกำแพงหนาที่แหลกละเอียดไม่เหลือ ซาก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกลุ่มควันนั้นก็ต้องเหงื่อตกอีก รอบ…

เด็กสาวตัวเล็กในชุดนอนสีม่วงลายลูกหมียืนเท้าเปล่า อยู่ตรงนั้น สายตาสีแดงฉานเหมือนกำลังอยากสูบเลือด คนภายใต้ใบหน้านวล เธอชูมือขึ้นเล็งตรงมาที่เขาโดยไม่ เอื้อนเอ่ยอะไรสักคำ…เขาพูดอะไรไม่ออก ปากชาสนิท ในใจคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว

“ปั่น ทําอะไรของเธอเนี่ย!!” เป็นจิณณ์ที่ตะโกนทักออก มาก่อน แล้วก็น้ำตาร่วงเพราะความเจ็บที่สีข้าง เพียงแค่ เห็นความคิดทั้งหมดของเด็กสาวก็หยุดนิ่ง สมองตื้อไป หมดทำได้เพียงรีบวิ่งเข้าหาและโผเข้าซบคนเจ็บ ร้องไห้ โฮออกมาโดยไม่อายใคร
พวกของคุณมาก็ดีแล้ว เพราะดูเหมือนผมจะไม่มีพลัง พอจะพาคุณไปด้วยอยู่พอดิ” อลาเบโอพูดพลางเดินเข้า หารอหมายจะพาหนีไปก่อน แต่ปั่นหันหลังกลับมาเขม่น มองตาขวางกางแรงดึงดูดใส่จนอลาเบโอกิ้งกับทรุด

“ใครให้พวกนายไป” ปิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน ถึงแม้จะ จางลงจากเมื่อครู่ แต่มันก็ทำให้อลาเบโอรู้สึกแน่นหน้าอก ด้วยความห่างชั้นกันของพลัง จิณณ์เอื้อมมือมาจับแขน น้อย ๆ พริบตานั้นพลังของเธอก็สลายไปจนเธอตกใจ ก่อนจะหันมามองชายตรงหน้า…

เขาส่ายหัวเป็นเชิงขอให้ปล่อยพวกนั้นไป จังหวะนั้นเอง ทอลาเบโอรีบวิ่งไปคว้าวอซแล้วหายตัวไปพร้อมกันทันที

ไม่กี่อึดใจต่อมาหญิงสาวผมทองในชุดราตรีสีขาวก็โผล่ ออกมาจากมุมมืดของตึกบ้าง เธอหันรีหันขวางเหมือนหา อะไรบางอย่างแต่สิ่งที่พบกลับน่าตื่นตะลึงกว่า

นั่นคือ…การที่ลูกศิษย์ของตนกำลังจับมือเด็กสาวเอา ไว้ทั้งที่กำลังนั่งอาบเลือด เธอขยับแว่นตาเล็กน้อยเพื่อ ยืนยันว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่แค่ภาพหลอน

“คุณจิณณ์ นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!” เธอโพล่งเสียงดังพร้อมวิ่งเข้าหาสุดฝีเท้าแล้วคุกเข่าลง จิณณ์ขยับปาก ตอบกลับเหมือนจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมาอีกแล้ว มือที่ จับปืนอยู่ก็สั้นเรี่ยวแรงร่วงลงไปอยู่ข้างลำตัวแทน

“คุณ…. เป็นใครคะ แล้วมาที่นี่ได้ไง ?” ปั่นตามอย่างลุกลี้

ลุกลน “อาจารย์สอนสังคมที่ผ่านมาเพราะเห็นลูกหมีสีม่วงบิน

อยู่บนฟ้าจ้ะ” เธอตอบพลางยิ้มหวานให้ลูกหมีตัวนั้น

ปิ่นสำรวจตัวเองแล้วก็หน้าแดง คุณครูตีแก้มเด็กหนุ่ม เพื่อสังเกตอาการ แล้วรีบปลดกระดุมเสื้อของเขาออก เผยให้เห็นร่องรอยของกระสุนปืนที่สีข้าง ดูจากจุดที่โดน ไม่น่าจะมีอันตรายมากนักแต่ก็เสียเลือดไปมากโขอยู่… เธอฉีกปลายกระโปรงออกจนสั้นกุดและพับให้หนาเพื่อ นำมาปิดปากแผล กระชับร่างของเขาเข้ามาไว้ในอ้อม แชน

“หนูเป็นผู้ใช้พลังพิเศษอะไรเหรอคะ ?” เธอหันไปถาม ปืนพลางปาดเหงื่อ

“ระ แรงดึงดูดค่ะ” ปิ่นตอบทั้งที่หน้ายังซีดเผือด

“งั้นคงทําได้แค่รีบพาไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ…”

คุณครูพูดยังไม่ทันจบ ปิ่นก็จับทั้งคู่เอาไว้แล้วใช้พลังพิเศษของตนทำให้พวกเธออยู่ในสภาพกึ่งไร้น้ำหนักฉับ พลัน ทำให้งานง่ายขึ้นเป็นกองคุณครูแอบชมในใจ…

“จับไว้ให้แน่น ๆ ล่ะ” เธอว่าพลางเปิดโหมดพลังพิเศษ ของตน ‘acelir

พริบตาเดียวพวกเธอก็หายไปด้วยความเร็วเท่าที่ สามารถจะมีได้ เป้าหมายของค่ำคืนนี้มีเพียงห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลเท่านั้น!

ในห้องโปร่งจัดตกแต่งอย่างมีระเบียบ อากาศภายนอก สดใสดี หน้าต่างใหญ่ฉายภาพมุมกว้างของเมืองใหญ่ เปิดรับลมที่อบอวนไปด้วยกลิ่นไอของสวนหย่อมที่มีผู้คน เดินกันขวักไขว่ แต่สิ่งที่น่าหนักใจก็คือ ‘เขาบาดเจ็บ’

จิณณ์ตื่นขึ้นช่วงบ่ายด้วยความงุนงงสับสนในชีวิต เพียง แค่วันเดียวมันมีเรื่องเกิดขึ้นได้มากมายขนาดนั้นเชียว หรือ… เริ่มด้วย… เขาได้รับงานแต่พาลหนีไปคุยกับผู้ ก่อการร้าย จากนั้นก็ได้งานใหม่แล้วก็โดนผู้ก่อการร้าย จับตัวไป แล้วไหงใครก็ไม่รู้มายิงผู้ก่อการร้ายที่ว่าและ จะฆ่าเขาด้วยเสียอย่างนั้น ชั่วนาทีระทึกขวัญกลับมีผู้ ก่อการร้ายอีกนายหนึ่งมาช่วยเอาไว้ สุดท้ายมีลูกหมีตัวสี ม่วง ๆ พุ่งลงมาจากฟ้าอัดผู้ก่อการร้าย

…แล้ววิ่งมาซบอกเขาที่กำลังเจ็บหนัก ระเบิดเสียงร้องไห้อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

จิณณ์รู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะ สะบัดศีรษะตั้งสติพยายามนึกย้อนความต่อ แต่ดูเหมือน ความทรงจำของเขาขาดช่วงแค่นั้นจริง ๆ เขานึกไม่ออก เลยว่าเกิดขึ้นกัน แต่สาบานได้ว่าก่อนสติจะขาดวูบ

เขามองขาขวาของตนแล้วนึกคำถามได้เพียงประโยค เดียวว่า… ทำไมเขาต้องใส่เฝือก..? ก็เท่าที่จำความได้เขา ไม่น่าจะโดนอะไรที่ทำให้ขาเจ็บนี่นา

“เฮ้! จิณณ์!!” ประตูโรงพยาบาลเปิดโครมออกพร้อม เสียงร้องทัก จิณณ์สะดุ้งรีบลุกขึ้นนั่งให้สะเทือนแผลเล่น รับแขกด้วยหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหนุนหมอน ฉับพลัน ส่วนเหล่าแขกไม่รู้ว่าใครเชิญก็วิ่งกรูกันเข้ามา ร่วมสิบกว่าคนทําห้องล้นในพริบตา จากความเงียบสงบ กลับครึกครื้นทันใด เขาชำเลืองมองนาฬิกาเล็กน้อย ตอน นี้เป็นเวลาบ่ายสาม ซึ่งโรงเรียนของเขาเพิ่งเลิกได้ไม่นาน เท่านั้นเอง!

“นี่พวกนาย…. มาได้ไงเนี่ย?” จิณณ์ถาม

“เฮ้ยอะไรวะ ทักทายเหล่าเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมแบบนี้ได้ ไงเนี่ย แบบนี้มันต้อง..” เจ้าตัวป่วนอันดับหนึ่ง ‘ฮารุ’ ตรงรี่ เข้าหาอย่างรวดเร็วในมือถือเมจิกหนึ่งด้าม จิณณ์เริ่มรู้สึกไม่ดีเมื่อใบหน้าของหมอนั่นยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วน คนอื่น ๆ ก็กรูกันเข้ามาล้อมพร้อมกัน

“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ จะทำอะไรคนป่วย!!” จิณณ์ด้านแต่ไม่มีใคร หยุด หัวโจกฮารุประเดิมวาดรูปพัดลมลงบนเผือกของเขา “เฮ้ย! รังแกคนป่วยนี่หว่าพวกแก!!!!” จิณณ์โวยลั่นก่อนคำ โวยจะโดนจับฝังซึ่งหน้า ปากกาเปลี่ยนมือคนแล้วคนเล่า วาดรูปเล่นกันอย่างเมามันในอารมณ์

ยกเว้นก็แค่เด็กสาวผมสั้นที่เดินเข้ามาไม่ทำอะไรมาก นอกจากทิ้งตัวลงนั่งหัวเราะขำกลิ้งอยู่ที่โซฟา

ย้ยหัวหน้าห้อง

“นายไปโดนลูกหลงมาอีท่าไหนเนี่ย?” เพื่อนคนหนึ่งถาม และหลายเสียงก็เออออตาม จิณณ์นั่งมองเพดานนึกอยู่ นิดหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้

“ก็เพราะมันหลงมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะสิถึงนั่งงงอยู่เนี่ย” จิณณ์ตอบกลับ ทั้งห้องยืนงงกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะมี เสียงผู้หญิงแทรกขึ้นมาว่า

“ไปตามสมองของนายที่หลงทางกลับมาก่อนดีกว่า” บาง คนเริ่มหัวเราะนํา คนตามรออยู่เป็นแถบ พริบตาเดียว เสียงหัวเราะก็ดังลั่นห้องจนพี่พยาบาลรีบวิ่งมาโวย โทษ ฐานก่อความวุ่นวายในห้องคนไข้
จิณณ์ของกลุ่มเพื่อนของคนที่กำลังยืนสงบเสงี่ยมเจียม ตัวยามโดนสวด ก่อนจะขายตามองเผือกที่โดนเขียน จนเละ แต่ทุกสิ่งที่เขียนคือคำอวยพรให้เขาหายเร็ว ๆ มี หนำซ้ำแต่ละคนยังหยิบของเยี่ยมติดไม้ติดมือกันมา ทั้ง ขนม ทั้งหนังสือ หรือแม้กระทั่งชีทสรุปตำราเรียนในมือ ของมิกิ หัวหน้าห้องเลือดร้อนที่ชอบมาโวยวายใส่เขาอยู่ เป็นประจำ

…แม้จะเจ็บอยู่แต่มันก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก…

“นี่ถ้าอาจารย์ฟิเลเน่ไม่บังเอิญไปเจอเข้า นายจะเป็นยัง ไงก็ไม่รู้นะเนี่ย” มิกิพูดพลางถอนหายใจ เมื่อคนอื่นเริ่ม กระจายกันไปทำธุระของตน จิณณ์นั่งฟังแล้วนึกตามอยู่ ครูใหญ่ก่อนที่สมองเบลอ ๆ จะนึกออกว่าใครคือเจ้าของ ชื่อนั้น เขาตาลุกโพลง

“อาจารย์ฟิเลเน่งั้นเหรอ…. !?”

“ก็แหงสิ อาจารย์เขาเป็นคนพานายมาส่งโรงพยาบาล นี่ ซ้ำยังเอาข่าวไปแจ้งให้ที่โรงเรียน แล้วเดินเรื่องประกัน สุขภาพให้ทั้งหมดด้วยนา” ฮารุว่าพลางทำตาเยิ้ม ดู เหมือนอาจารย์สาวต่างทวีป จะทำคะแนนในสายตา นักเรียนขึ้นมาได้มากโขในครานี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขา…. ติดหนี้นักวิจัยคนนี้สองรอบแล้วน่ะสิ…

จิณณ์เหม่อมองออกหน้าต่างไปแล้วถอนหายใจ ก็บังเอิญเห็นคนหน้าคุ้นเดินอยู่ที่สวนหย่อมข้างล่าง พวก ในห้องพอเห็นว่าคนป่วยจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่ก็รีบ กรูกันเข้ามาดูบ้าง

“เอ… นั่นเจ้า เชียง ใช่หรือเปล่าน่ะ” ฮารุกามขึ้นมาก่อน

“แล้วที่นั่งในรถเข็นนั่น… น้องเหรอ ?” มิกิแทรกขึ้นบ้าง พลางหรี่ตามองเด็กหนุ่มผมดำใส่ชุดนักเรียนโรงเรียน เดียวกับพวกเธอ เขาเดินเข็นรถนั่งพาเด็กผู้หญิงผมบ ลอนออกมารับอากาศภายนอก เธอน่าจะอายุประมาณ 10 ขวบเท่านั้น… แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ เด็กหนุ่มผู้สืบ เชื้อสายชาวจีนคนนี้แทบไม่เคยยิ้มเลยยามอยู่ที่โรงเรียน

“มันจีบเด็กขนาดนั้นเลยเหรอน่ะ” ฮารุยังคงปากเสียไม่ เลิก และก็ได้มะเหงกเป็นรางวัลจากคุณหัวหน้าห้องลงไป นอนดิ้นกับพื้น

“น้องต่างแม่น่ะ… ที่เจ้านั่นเข้ามาโรงเรียนเราก็เพื่อสิทธิ พิเศษในทางการแพทย์… อย่างที่เห็นนี่” จิณณ์พูดลอย ๆ เรียกทุกสายตาจับจ้องมาทางตนทั้งหมด

“นายรู้ได้ไงน่ะ” มิกิถามด้วยความสงสัย เพราะใน สายตาเธอชายคนข้างล่างนั้นเป็นคนเข้าถึงได้ยากมาก… ถึงแม้จะเรียนเก่งจนได้ทุน แต่ด้านพลังจิตนั้นด้อยมาก หากเทียบกับมาตรฐานของโรงเรียนที่ค่าเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ C ส่วนหมอนั่นอยู่แค่ระดับ E เท่านั้น…..คือดีกว่า 1 นิดเดียว

ซึ่งอันที่จริงแล้วหากเขาเลือกเรียนในโรงเรียนอื่นก็คง…. ไม่ต้องมานั่งกดดันตัวเอง ทำตัวเป็นหลุมมืดไม่เกี่ยวข้อง กับใคร และไม่ให้ใครมาเกี่ยวข้องง่าย ๆ แบบที่เป็นอยู่ ตอนนี้หรอก

จิณณ์หัวเราะ

“มิกิ นี่เธอลืมไปแล้วเหรอไงใครคือท็อปโหล่ของ โรงเรียน” เขายอมรับอย่างหน้าตาเฉย ชวนให้คุณหัวหน้า ห้องหงุดหงิดเล็กน้อยอยากจะเพ่นกบาลคนป่วยสักที… แต่จะว่าไปก็จริงของมัน…. เพราะแม้ในโรงเรียนจะมีการ แบ่งกลุ่มกันชัด ในหมู่นักเรียนว่าใครเป็นพวกมีพลัง และ ใครเป็นพวกไม่มี…

นายระดับ i คนนี้กลับเข้าได้กับทุกกลุ่มอย่างน่า

ประหลาด

“จริงสิจิณณ์ แล้วตกลงเด็กคนนั้นเป็นอะไรล่ะ ?” ฮารุ ?” ถาม

จิณณ์นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทบทวนความทรงจำของ ตน สีหน้านั้นเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด และคำตอบที่ออก จากปากนั้นยิ่งทำให้ทุกคนตกอยู่ในห้วงของความเห็นอกเห็นใจ ไม่เว้นแม้แต่คุณครูสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ พร้อมกับเด็กสาวต่างโรงเรียนสองคน….ซึ่งรู้สึกเหมือนตน เข้ามาผิดจังหวะมาก…ถึงมากที่สุด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ