ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 10 หมอกลงเมื่อฝนหาย



บทที่ 10 หมอกลงเมื่อฝนหาย

ภายในห้องว่างเปล่า เตียงที่เคยอยู่กลับไม่อยู่ คนที่เคย นอนอยู่กลับหายไปมีสองสาว ยืนนิ่งเงียบมองเด็กสาวอีก คนที่ยังก้ามือเล็กของตนเองแน่นจนเลือดไหลออกมา บ ๆ มือข้างนั้นที่ไม่อาจคว้ามือของเขาได้ มือข้างที่มัวลุกลี้ ลุกลนจนพลาดท่า…

“ปิ่น ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกนั้นเป็นใคร แต่… แจ้งหน่วย ปราบปรามก่อนดีไหม” ปารย์ตบบ่าของเพื่อนสาวด้วย ความเห็นใจ แต่ปิ่นกลับคว้ามือของเธอไว้แน่น แล้วหัน กลับมามองด้วยสายตาที่ยังไม่มอดลงง่าย ๆ

“ปารย์ ช่วยฉันที ฉันมองเจ้าพวกนั้นไม่เห็น แต่เธอ… น่า จะ…” ปิ่นพูดเชิงขอร้องอย่างที่เธอไม่เคยพบมาก่อน นั่น ทําให้เธอแปลกใจเล็กน้อย เธอยิ้มบาง…

“นาน ๆ จะเห็นเธอขอให้ช่วยสักทีนะ” ปารย์ว่าพลาง ถอดแว่นโยนทิ้งไว้บนโซฟา แล้วคว้ามือของปิ่นเอาไว้จน แน่น จังหวะนั้นเองที่สาวผมทองเดินเข้ามาจับบ่าของปิ่น เอาไว้อีกคน

“ถึงครูจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ช่วยพาไปด้วยได้ ไหมคะ?” เธอว่าพลางจ้องตาของเด็กสาวตรง ๆ เวลานั้น คำพูดไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป พวกเธอกระโจนทะยาน ออกจากหน้าต่างห้องไปอย่างรวดเร็ว
ด้านจิณณ์ที่ถูกจับเทเลพอร์ตมาสองสามรอบก็เริ่มตั้ง สติได้ รีบคว้ามืออลาเบโอเอาไว้ พริบตานั้นเตียงก็ร่วงลง กระแทกพื้นพร้อมเสียงโวยวายของนายหัวหยิกลุซ พวก เขาอยู่บนหลังคาตึกหลังหนึ่ง จิณณ์ยิ้มกริ่มเหมือนผู้มีชัย เหนือสองยอดมนุษย์ตรงหน้าทั้งที่หัวยังหนุนหมอน ขายัง ใส่เฝือกห้อยอยู่กับคานเตียง

“เฮ้ย อย่าทำให้เสียเวลาน่าจิณณ์” ลุซบ่นอย่างหัวเสีย

“เรื่องอะไร ทำไมฉันจะต้องยอมแพ้ง่าย ๆ ด้วยเล่า ?” เขาตอบกลับด้วยเสียงยียวน

“ตอนนี้นายทำได้ก็แค่ถ่วงเวลา เปล่าประโยชน์น่ะ” ลุซ ว่า

จิณณ์ยิ้มกริ่ม นั่นล่ะจุดประสงค์ของเขา…

“ขอบอกว่าแกดูถูกความดื้อของยัยนั่นมากเกินไปแล้ว ลุซ” เขาพูดพลางหลับตาลงไม่ยอมคุยด้วยอีกต่อไป ชั่ว หนึ่งอึดใจหลังจากนั้นเครื่องบินขนาดย่อมก็ร่อนถลาลง จอดใกล้ ๆ กันนั้นอย่างรวดเร็ว ลุซสะดุ้งโหยงเมื่อเห็น สามสาวที่ตามมาทันด้วยความเร็วเหลือเชื่อ….

“ล้อเล่นน่ะ…” ลุซกัดฟันกรอดจ้องหน้าสองสาวตาไม่ กระพริบ
ปารย์เบิกตาคู่โตปราศจากแว่นจ้องมองไปจนทั่วบริเวณ ก่อนที่มือสีซีดจะชี้ตรงไปยังพื้นที่ว่าง…

“ตรงไป 15 ก้าว” เธอพูดเสียงเรียบ ปิ่นแสยะยิ้มออก มาอย่างน่าขนลุก พริบตาเดียวพื้นที่แถบนั้นก็โดนอัดยับ ด้วยแรงดึงดูดมวลมหาศาล

*ไม่โดน หมอนั่นหลบไปทางขวา

ปิ่นกระทืบเท้า พื้นที่ทางขวาทั้งแถบก็พังยับพื้นปูน แตกกระเทาะออกมาอย่างกับโดนค้อนยักษ์ทบ ในที่สุด ภาพลวงตาที่อยู่ตรงเตียงก็หายวับไป อลาเบโอคิดจะรีบ ไปช่วยแต่ลืมไปว่าแขนขวาของเขาโดนจิณณ์จับเอาไว้

“ปล่อยผมนะครับ” อลาเบโอยังคงสุภาพไม่คลาย แต่ ใบหน้ากลับขุ่นเคืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่” จิณณ์ตอบกลับง่าย ๆ อลาเบโอจ้องตอบไม่ลดละ ชูมือซ้ายขึ้นพริบตานั้นปืนสีดำมะเมี่ยมก็ปรากฏอยู่ในมือ ของเขาจนจิณณ์ตกตะลึง และยิ่งตกใจยิ่งกว่าเมื่อปืนนั่น ดันหันไปหาเด็กผู้หญิงผมยาวผู้หันหลังให้

“ปารย์อันตราย หลบไป!!” เขาตะโกนเตือน แต่ช้าไปเมื่อ เสียงปืนดังลั่นขึ้นในวินาทีถัดมา จังหวะนั้นเองที่ อาจาร ฟิเลเน่ ใช้ความสามารถของตน เร่งความเร็วการกระโดดเข้าผลักปารย์ล้มหลบไปได้อย่างหวุดหวิด จิณณ์ ถอนหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลั้นใจฝืนลุกขึ้นนั่งแล้ว คว้าข้อมือซ้ายของอลาเบโอเอาไว้อีกข้างจนแน่น

“ถอยไป ไม่งั้นผมเอาคุณตายแน่” อลาเบโอไม่ขู่เปล่าใช้ เท้าขวายันเข้าที่ท้องของจิณณ์ แต่แรงแขนทั้งสองข้าง ของเขากลับมากกว่าที่คิดและไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อา จารย์ฟิเลเน่เห็นก็รีบวิ่งตรงรี่เข้าล็อคคออลาเบโอจับกด ลงบนที่นอนไป ส่วนปารย์ที่ตามมาทีหลังก็รีบดึงปืนออก จากข้อมือของหมอนั่น พริบตาเดียวกลายเป็นศึกมวย ปล้ำตะลุมบอนบนเตียงพยาบาลของสองชาย สองหญิง เสียอย่างนั้น

ปิ่นกับลุซเผลอมองมวยคู่รอง ซึ่งกำลังดุเดือดด้วยสีหน้า เหนื่อยใจสุด ๆ ไม่นึกว่ามันจะน่าอนาถได้ขนาดนั้น

“เฮ ปล่อยแฟนเธอไปเล่นแบบนั้นมันจะดีเหรอ” ลุซเกา หัวแซวหน้าตาเฉย

“ฉันไม่ใช่” ปิ่นตอบกลับพลางหันขวับกลับมาหาคู่ต่อสู้ ก่อนจะสังเกตเห็นว่า…แม้คำพูดจะเหมือนล้อเล่น แต่หมอ นั่นไม่มองเธอด้วยแววตาล้อเล่นเช่นที่เคยเป็นอีกต่อไป…

“อะไรเป็นอะไรฉันก็ไม่รู้หรอก แต่สิ่งเดียวที่ฉันมั่นใจในตอนนี้คือ…” เธอเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อให้จบ “ฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำอะไรตามใจอีกต่อไปแล้ว”

ลุ หันมาจ้องหน้าเด็กสาวตรง ๆ เป็นครั้งแรก พริบตานั้น แสงเลเซอร์สีขาวก็ยิงตรงดิ่งลงข้างเท้าของเธอ โดยที่ยัง ไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด ไม่เห็นแม้แต่วิถีกระสุนด้วยซ้ำว่ายิง มาจากไหน…

“ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอหรือหมอนั่นเลยสักครั้ง… แต่ถ้าพูดไม่รู้จักฟังก็คงต้องใช้กำลังกันบ้างล่ะ”

เพียงพูดจบประโยคค้อนแรงดึงดูดก็ให้คำตอบชัด เธอ ไม่ต้องการจะฟังอะไรอีก ภาพลวงตาของลุซหลับตาลง แล้วถอนหายใจ ปิ่นไม่รอช้าอีกแล้ว ในเมื่อที่นี่คือที่โล่ง เธอกางรัศมีแรงดึงดูดของตนเองออกจนเกือบเต็มทั้งตึก และทำให้ทุกสิ่งในอาณาเขตไร้น้ำหนัก เศษก้อนหิน ดิน ปูนต่างลอยเคว้งกลางอากาศ ยกเว้นก็เพียงตัวเธอเอง

ทันใดนั้นดวงแสงกลมโตก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ปิ่นรีบ กระโดดเข้าหลังแผ่นกระเบื้อง แต่มันไม่ช่วยอะไรสักนิด เจ้าแสงนั่นทะลุแผ่นกระเบื้องเฉียดเส้นผมของเธอไปนิด เดียวเท่านั้น เธอเตะเศษหินให้กระเด็นชิ่งกันไปมากลาง อากาศ ก่อนจะสลับใช้แรงดึงดูดมวลมหาศาลกดทับทั้ง โซนอีกครั้ง
คราวนี้ลุบเลิกซ่อนตัว เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อีกต่อ ไป หมอนั่นเลือดอาบหน้าผากนอนหมอบอยู่กับพื้น แต่ ยังคงมองตรงมาที่ปั่น พริบตานั้นลำแสงก็วิ่งเฉี่ยวเอวของ เธอไปเป็นคําเตือน เสื้อไหม้เป็นรูเผยให้เห็นรอยแผลที่ ผิวนวล แต่สายตาคู่แดงก็ไม่ส่อแววหวั่นไหวเลยแม้แต่ น้อย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความรุนแรงของแรงโน้มถ่วงให้มาก ขึ้นเรื่อย ๆ

“นี่เธออยากจะตายพร้อมฉันขนาดนี้เลยหรือ โนวา” หมอนั่นพูดเล่นทั้งที่ใบหน้าไม่ได้ยิ้มแม้แต่น้อย จังหวะนั้น เองที่เธอรู้สึกว่าดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้ากว่าที่เป็น เมื่อเงย ขึ้นมองดวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ข้างบนนั้น และพร้อมจะยิงตรงลงใส่เธอทุกเมื่อ

สี่คนที่เล่นมวยปล้ำกันอยู่บนที่นอนถึงกับตกตะลึง ตาค้างกับภาพเบื้องหน้า การต่อสู้ถึงจุดชี้ขาดที่ดีไม่ดีอาจ สูญเสียกันทั้งคู่ จิณณ์ตัดสินใจปล่อยแขนของอลาเบโอ ที่จับมาได้แสนนาน ก่อนจะจ้องตรงไปในดวงตาของเขา

“นายคงอยากช่วยลุซใช่ไหม งั้นส่งฉันไปหาปิ่นที!” จิณณ์ยื่นคําร้องขอเอาแต่ใจจนแต่ละคนตกตะลึง

“คุณบ้าหรือเปล่า” อลาเบโอด่าหน้าเรียบ

“เหอะน่า! ขอร้องล่ะ!!” จิณณ์ยื่นคำขาด สายตาคู่นั้นยังมั่นคง… ในที่สุดสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก็คือมือของอลาเบ โอยื่นมาตบหน้าผาก โลกทั้งใบดับวูบและสว่างไสวขึ้นใน พริบตา

ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ตัดกับดวงแสงสว่างเจิดจ้านั้นจู่ ๆ ก็ มีอะไรบางอย่างเข้ามาบังเป็นร่มเงาให้ ปั่นยังไม่ทันจะได้ ชายตาดู เจ้าสิ่งนั้นก็รวบเธอลงไปนอนกองกับพื้น เมื่อ สายตาเริ่มโฟกัสเข้าที่เธอถึงกับตกตะลึง

จิณณ์ที่น่าจะอยู่บนเตียงกลับปรากฏตัวขึ้นเป็นโล่ให้เธอ แต่กลับอยู่ในสภาพนอนทับร่างของเธอไว้ ใบหน้าของ หมอนั่นซุกอยู่ตรงซอกคอซ้ายของเธอ และเพราะน้ำหนัก ที่กดทับลงมาด้วยแรงดึงดูดทวีคูณทำให้เธอเข้าใจชัดว่า นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา

จากความงงเปลี่ยนเป็นความอายฉับพลัน ดวงหน้าแดง ระเรื่อราวถูกย้อมสี ปากเริ่มสั่นก่อนจะตวาดด่าไม่เป็น ภาษา หัวหมุนติ้วคิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ลืมแม้กระทั่ง การปิดขอบเขตแรงดึงดูดของตนเอง

จิณณ์ก็ใช่ว่าอยากอยู่ในสภาพน่าอายอย่างนี้นานนัก แต่เขารู้สึกหนักจนขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย ใบหน้าที่คว่ำ อยู่กับพื้นก็ปวดไปหมดแล้ว!

“จัดการ…ไอ้ข้างบน……………..….……….. เสียง กระซิบดังขึ้นข้างหู นั่นทำให้ปิ่นยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่แต่มือขวาก็ชูขึ้นฟ้าก่อนความคิด สั่งปิดขอบเขต แรงดึงดูดทั้งหมดในพริบตา ก่อนจะวาดวงกลมขนาด ยักษ์กลืนกินดวงแสงเอาไว้ทั้งหมด ดวงแสงเหล่านั้นเริ่ม ไหววูบวาบ ก่อนจะถูกดูดเข้ากับลูกบอลสีดำที่ค่อย ๆ หด ตัวลง

ลุซที่เพิ่งหลุดจากพันธนาการลองยิงลำแสงอื่นใส่เจ้า ลูกบอลนั่น แต่ทุกสิ่งเหมือนถูกดูดกลืนหายไปหมดสิ้น ไม่ เหลือแม้เศษให้เห็น… นั่นทําให้ทุกคนเหงื่อตก…

ในไม่ช้าเจ้าวงกลมปริศนาก็จางหายไปเหมือนละอองฝุ่น สีดำเทมิฬ ปินหายใจหอบเพราะความเหนื่อยอ่อน ปล่อย แขนขวาไร้เรี่ยวแรงตกลงบนหลังของจิณณ์ ก่อนที่เธอ จะนึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญอย่างยิ่งยวดออก รีบ ผลักเขากลิ้งโค่โล่ไปกับพื้น กระโดดลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ อย่างลุกลี้ลุกลน แต่ก็พบว่าทุกคนกำลังสนใจลูกบอล ประหลาดเมื่อครู่มากกว่า ยกเว้นคนคนหนึ่ง…

“เฮ้อ… ร้อนแรงกันจังเด็กสมัยนี้” เสียงของนายจอมกวน ลุยทัก

เมื่อปิ่นมองย้อนกลับไปนักเทเลพอร์ต อลาเบโอก็เข้า ประคองหมอนั่นเอาไว้แล้ว เธอชูมือขึ้นเล็งตรงไปทาง สองคนนั่นเพื่อวัดระยะ หมายสานต่อการต่อสู้ให้จบ ส่วน ปารย์กับอาจารย์ฟิเลเน่ พอเห็นสงครามกำลังจะเกิดอีก รอบ ก็รีบวิ่งหลบเข้ามุมอย่างรวดเร็ว พวกเธอค่อนข้าง มั่นใจว่าตนไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วในการต่อสู้ระดับยอดมนุษย์ ขืนเข้าใกล้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเสีย เปล่า ๆ

“ลุซ ไหนแกว่าจะมาขอโทษไม่ใช่หรือไง!?” เสียงนั้นดัง ขัดจังหวะมาจากบนฟ้า ทุกคนเองก็เพิ่งสังเกตว่ามีผู้มา เยือนลอยอยู่กลางอากาศถึงสองคน คนพูดเป็นชายร่าง โตใส่แจ็คเก็ตสีแดงมองตรงลงมาด้วยสีหน้าเริงร่า หมอ นั่นหัวเราะเยาะแถมให้คุณหัวหน้าลุซ ส่วนอีกคนเป็น หญิงสาวท่าทางซึมสนิทผมยาวร่วมเมตร สวมเสื้อยืดเอว ลอยกับกางเกงยีนส์ เธอนั่งขดตัวมอง laptop ตรงหน้าไม่ วางสายตา

“รีบหนีก่อน… หน่วยปราบปรามอยู่ถัดไปแค่สามบล็อค อีกไม่นานคงรู้ว่าฉันแอบเข้าระบบดาวเทียมเอาไว้หลอก พวกมัน” เธอพูดด้วยสีหน้าเนื้อยไม่เปลี่ยน ลุซหลับตาเกา หัวแบบเซ็ง ๆ ก่อนจะมองจิณณ์ที่นอนกุมสีข้างอยู่กับพื้น สลับกับปิ่นที่ยังยืนคุมเชิงให้กับทุกคนเพียงลำพัง สายตา คู่นั้นไม่มีความหวาดหวั่นแม้จะมีพวกเขาเพิ่มขึ้นมาอีกถึง สองคน

“ถึงยังไม่ได้ตัว แต่อย่างน้อยก็คุ้มแฮะที่ได้เห็นความ สามารถนั่น” ลุซพูดแล้วก็ยิ้มร่าทั้งที่เลือดยังชุ่มศีรษะ แม้แต่พรรคพวกตัวเองยังอดอนาถไม่ได้ลากหมอนั่นลอย หายตัวไป ส่วนพวกปารย์และ อาจารย์ฟิเลเน่พอไม่เห็น พวกผู้ก่อการร้ายก็ออกจากที่ซ่อนวิ่งเข้าหาพวกจิณณ์ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
…ก่อนจะมองไปรอบ

สภาพดาดฟ้าตึกดวงตกหลังผ่านการต่อสู้เพียงประมาณ 10 นาทีเศษกลับดูประหนึ่งว่าผ่านสงครามมาแล้วนักต่อ นัก พวกเธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าจิณณ์กับปิ่นเข้ามา เกี่ยวพันกับเรื่องแบบนี้อีท่าไหนกันแน่

ปีนดีดนิ้วเบา ๆ พริบตานั้นไอ้หลุมอากาศสีดวงเล็กกระ ทัดรัด ก็ปรากฏห่างออกไปตรงหน้าประมาณสองเมตร เมื่อดีดนิ้วอีกทีมันก็สลายไปเป็นฝุ่นผงในอากาศ เธอหัน ไปมองจิณณ์ที่ลุกขึ้นมานั่งเกาหัวฟู ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ ไม่รู้…

“นี่ยัง… ซิงโครอยู่เหรอ ?” ปิ่นขมวดคิ้วถาม ในตอนแรก เธอคิดว่าจะต้องสัมผัสกันอยู่เสียอีก… แต่ดูเหมือนว่า หลังจากระบุการซิงโครแล้ว ถ้าหมอนั่นไม่เปลี่ยนคลื่น ของตนเอง เธอก็ยังสามารถดึงพลังของเขาออกมาใช้ได้ อยู่ดี… เว้นก็แค่ไม่แน่ใจเรื่องระยะเท่านั้น…

“คิดว่าฉันผ่านการตรวจคลื่นสมองของโรงเรียนมาได้ไง ล่ะ” จิณณ์ถามกลับทำให้คนอื่นเริ่มนึกภาพตาม

คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ… เขาแอบไปจูนคนที่ใช้ ลมจริง ๆ ก่อนเข้ารับการตรวจ มิหนำซ้ำยังเพิ่มหรือลด พลังของตนเองได้… ทำให้พวกเธอเริ่มเข้าใจความจริงที่ น่าตระหนกอีกอย่างว่า
…เครื่องมือไฮเทคราคาหลายร้อยล้าน ยังมีความ ละเอียดต่ำเตี้ยติดดินเมื่อเทียบกับนายคนนี้…

“ว่าแต่เราก็ควรจะรีบหนีได้แล้วมั้ง” จิณณ์กำชับ

ปั่นเป็นคนเดียวที่ตอบสนองอย่างทันท่วงทีโดยการ ดีดนิ้ว พริบตานั้น ‘เจ้าเตียง’ เฟอร์นิเจอร์หนึ่งเดียวที่ยัง สมบูรณ์อยู่ก็แหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นไปในพริบตา คนอื่นสะดุ้งโหยงไม่นึกว่าจะทำลายหลักฐานกันซึ่งหน้า ก่อนจะเดินมาดึงคอเสื้อของจิณณ์แล้วยกขึ้นมาหน้าตา เฉยเหมือนกำลังจับแมว

“เอ้ย” จิณณ์อุทานเสียงค่อยพลางเหลือบมองหน้าเด็ก สาวด้านข้างเล็กน้อย คุณเธอหันมาเขม่นกลับจนเขา เหงื่อไหลพรากเป็นรางวัลตอบแทน เขานึกไม่ออกว่าไป ทำอะไรให้แม่คุณโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่กล้าขัดจำ ใจโดนหิ้วไปโดยง่าย

ปิ่นหันกลับมาเรียกปารย์กับอาจารย์ฟิเลเน่ที่ยืนมองอยู่ ห่าง ๆ ใบหน้าของเธอกลับขึ้นสีแดงระเรื่อ ใบหน้าฉาย ความเอียงอายออกมาชัดเจน… ดูแล้วแตกต่างกับตอน มองหน้านายตัวกวนในมือลิบลับ ทั้งคู่อดขำไม่ได้จน กระทั่งคุณเธอเริ่มหรี่ตามองแฝงด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆ พวกเธอมองหน้ากันแล้วยิ้มกริ่ม สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ โบกมือลาความวุ่นวายครั้งใหญ่….ก่อนจะกลับไปเผชิญความวุ่นวายที่น่าปวดหัวเล็ก ๆ

ครั้งใหม่…

‘การแก้ตัว’ ที่จะตามมาอีกเป็นพรวน

เริ่มจาก…

จะอธิบายกับทางโรงพยาบาลอย่างไรดี กับเตียงที่สูญ สลายไปจากโลกใบนี้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ