ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 7 ค่าคืนแห่งฝันร้าย



บทที่ 7 ค่าคืนแห่งฝันร้าย

ร้าน อาเซเนราร์ เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เขาไม่เคยคิด ว่าจะมีโอกาสได้ย่างเท้าเข้ามาเลยในชีวิต แม้แต่พนักงาน ก็รับมาเฉพาะพวกหัวกะทิ เพื่อมิให้คุณภาพของร้านด้วย ลง เพราะฉะนั้นคนอย่างเขาจึงไม่เคยแม้แต่จะยื่นใบ สมัครงานมาก่อน แต่วันนี้โอกาสกลับมาเยือนโดยไม่ทัน ตั้งตัว

ไฟที่มอดดับไปเมื่อสักครู่กลับมาลุกโชนอีกครั้งแล้ว!!

ณ ที่โต๊ะรับรองสองที่ เด็กสาวสองคนนั่งดูดน้ำเปล่าดับ กระหาย สายตามองเด็กฝึกงานคนใหม่ที่กะตือรือร้น ด้วย ความรู้สึกทึ่ง ปนแปลกใจพิลึก ๆ ไม่นึกว่าคนหน้าแห้ง เมื่อสักครู่ จะกลับมามีชีวิตชีวาอย่างกับเป็นคนละคน มิ หนําซ้ำยังเข้ากับคนเก่งเอาเรื่อง

พวกเธอไม่รู้ว่าหมอนั่นเข้าไปสัมภาษณ์อีท่าไหน เปลี่ยน หน้าขมึงทึงของท่านเจ้าของร้านหน้าดุ…พ่อของเมตรา… ให้เดินยิ้มแป้นออกมาเสียอย่างนั้น

“แฟนเธอนี่… ไปขุดมาจากไหนกันนะ ฉันชักสงสัยแล้ว สิ” เมตราเลื่อนสายตามามองเพื่อนของตน เธอรีบหันขวับ กลับมาทันที หน้าตาเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“เมตรา…! แฟนที่ไหนกัน ก็แค่คนรู้จักเท่านั้นแหละ” ปิ่นตอบกลับเสียงค่อย จากสาวพลังจิตสุดแกร่งที่โรงเรียน อยู่ดี ๆ ก็ตัวลีบเล็กลงจนเมตรอดหัวเราะไม่ได้

“เธอนี่เก่งก็เก่ง ฉลาดก็ฉลาด แต่กลับแพ้ความตรงไป ตรงมาไม่เปลี่ยนเลยนะปิ่น” เมตราพูดแล้วก็ยิ้มเมื่อเห็น อีกฝ่ายเงียบไป หน้าตาเหมือนกำลังอยากแย้งก็แย้งไม ออก

“จริงสิ หมอนั่น… ดูจากชุดอยู่โรงเรียน… เนตรนารา หรือเปล่านะ” เมตราถามต่อ ปิ่นพยักหน้าตอบ

“งั้นก็น่าจะมีพลังพิเศษเหมือนกันใช่มะ” ดูเหมือนคำถาม จะไม่หยุดง่าย ๆ แต่คำถามนี้ตอบยากปิ่นนั่งครุ่นคิดอยู่ ครู่หนึ่ง ความจริงเธอไม่อยากโกหกเพื่อนที่สนิทที่สุดคน นี้ แต่บทจะให้ความลับของจิณณ์รั่วไหลก็ใช่ที่อีกเหมือน กัน… ก็พอดีกับอาหารมาวางตรงหน้าคั่นเวลาพอดิบพอดี

เมตราเห็นอีกฝ่ายทีท่าออกจะแปลกไปบ้างจึงขมวดคิ้ว

“ความสามารถของหมอนั่นมัน… แย่ขนาดนั้นเลยเห รอ?”

“ก็… ลมระดับ i แย่พอหรือเปล่า…” ปิ่นอ้อมแอ้มตอบ เม ตรานั่งงงนับระดับขั้นของพลังจิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะ เผลอพ่นหัวเราะดังพอจะให้เด็กใหม่ที่กำลังฝึกงานได้ยิน แถมยังกล้าหันไปมองจิณณ์กันทั้งคู่ กลัวไม่รู้ว่า กำลังคุยเรื่องใคร

“ดูเหมือนพวกนั้นกำลังนินทาเธออยู่แน่ะ”

คุณเจ้าของร้านในชุดเชฟว่าแล้วก็หัวเราะต่อหน้าต่อตา ลูกค้ามากมาย จิณณ์เองก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นเป็นครั้ง แรก แรกเริ่มก็ออกจะอายกับความเป็นกันเองแบบนี้ แต่ พออยู่มาได้พักหนึ่งก็ชักจะเริ่มชิน ซ้ำยังรู้สึกนับถืออีก ต่างหาก… บรรยากาศของร้านช่างชวนรู้สึกอบอุ่น ใน ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้าน อาเซเนราร์ จึง สร้างชื่อเติบใหญ่ได้ในย่านชุมชนเมืองที่มีการแข่งขันกัน สูง

ผ่านไปร่วมสามชั่วโมงได้เวลาปิดร้าน ด้านนอกแม้จะ เข้าสู่ช่วงค่ำแต่ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่ แสงไฟยังแยง ตาแม้แต่สุนัขยังต้องหลบมุมไปนอน จิณณ์เปลี่ยนเสื้อผ้า กลับชุดนักเรียนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยในร้านที่เกือบ จะร้าง เหลือสองสาวที่ยังคุยกันน้ำไหลไฟดับไม่ยอม เลิกรา

“จิณณ์ ค่าจ้างสำหรับวันนี้นะ” คุณพ่อเมตราเดินออก มาจากในครัว เหงื่อโชกทั้งร่างแต่ปากใต้หนวดฮิตเลอร์ก็ ยังยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่เงินในมือร่วม 100 ASI (Asian dollar) นั้นมันออกจะมีค่าเกินไปหน่อยสำหรับการทำงาน กึ่งฝึกงานของเขา
“จะดีหรือครับ วันนี้เหมือนผมไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย”

บอกให้รับ รับไปเถอะ อย่ามาเกรงใจกับเรื่องเล็ก ๆ สิ ว่าแต่เธอจะมาทำงานวันไหนได้บ้าง ต้องเรียนด้วยไม่ใช่ หรือไง?”

“ถ้าเป็นวันอังคาร พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็ว่างครับ” จิณณ์ตอบพลางรับเงินมาทั้งที่ยังลังเล

“โอเคงั้นตามนั้น งานเริ่มบ่าย 3 นะ” “เอ๋…? ผมมาได้ทั้งห้าวันเลยเหรอ” พ่อของเมตราหัวเราะร่า

“ลุงไม่รู้หรอกนะว่าเธอต้องการเงินไปทำอะไร แต่ดูจาก ความมุ่งมั่นก็คงไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกจริงไหม”

จิณณ์ไม่ตอบหากแต่ย้อนมองชายตัวโตตรงหน้า ก่อน จะโค้งให้ด้วยความเคารพ ดูเหมือนวันนี้เขาดวงดีเสีย ด้วยซ้ำที่โดนไล่ออกจากบาเนลุ แต่มันก็ชวนคิดอยู่ว่าคน ดวงตกอย่างเขาดวงดีได้ขนาดนี้… ไม่ทราบว่ามันจะต้อง จ่ายชดเชยด้วยอะไรหรือไม่…

“นี่เลิกงานแล้วก็ไปส่งเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกัน” เมตราเลิกเข้ามาทัก พลางคันปิ่นเข้ามาด้วย

“ฉันกลับเองได้น่าเมตรา โรงเรียนก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง” เธอ รีบปฏิเสธ และไม่เคยคิดเลยว่าจิณณ์จะตอบรับ แต่คราว นี้เธอคิดผิด เมื่อหมอนั่นกลับยื่มบางให้

“กิกะอย่างนั้นอยู่แล้ว” เขาตอบกลับอย่างเริงร่าเล่นเอา เด็กสาวตัวน้อยหน้าแดง ก่อนจะเสริมต่อไปอีก…

“ขืนไม่ส่งคงได้มีเรื่องยุ่งยากอีกแหง ๆ” เจ้าตัวว่าแล้ว หัวเราะร่า โดยไม่ต้องรอช้าอาการปากเป็นพิษก็ส่งภัยให้ อยู่ดี ๆ เขาก็ถูกอะไรบางอย่างดูดลอยขึ้นไปค้างอยู่บน อากาศ

“เอ๋?” จิณณ์อุทานเสียงค่อย เมื่อมองไปรอบ ๆ เมตรา ตีหน้าผากสีหน้าดูจะกลุ้มใจเหลือประมาณ ส่วนนายจ้าง ของเขาก็เดินย่องหลบเข้าครัวไปเรียบร้อย ท่าทางไม่ อยากเห็นภาพอุจาดตา…

“ปิ่น เล่นอะไรของเธอเนี่ย” จิณณ์โวยลั่นแต่เมื่อสบตา กับสาวน้อยข้างหน้าก็ต้องสะดุ้งเฮือก คุณเธอเล่นเปิด โหมดฆาตรกรตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

“วางใจเถอะ…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำสุด ๆ จนรู้สึก ขนลุก “ฉันกลับเองได้ นายก็กลับบ้านไปเลี้ยงแมวเหอะ!!”
สิ้นเสียงนั้นเขาก็หล่นลงกระแทกพื้นอย่างจัง ส่วนปั่น เดินลงเท้าหนัก ๆ ออกนอกร้านไป จิณณ์ลุกขึ้นมานั่งจับ คลำหน้าของตัวเอง ก่อนจะหันไปหันมาเพื่อดูลาดเลา เขาไม่เห็นเด็กสาวผมน้ำตาลแดงอีกต่อไป เหลือก็แค่ เพื่อนของเธอที่กำลังท้าวเอวมองหน้าเขาอย่างเอือมระอา

“ยังมัวทำอะไรอีกเล่า! รีบตามไปสิยะ!!” เมตราแหวใส่ เผลอใช้พลังพิเศษของตนเหวี่ยงลูกจ้างคนใหม่ ลอยไป ตามลมกลิ้งโคโลอยู่ตรงถนน ผู้คนหลบหนีกันไม่หวาดไม่ ไหว จิณณ์พอลุกขึ้นได้ก็ก้มหัวขอโทษหัวเราะเล็ก ๆ พอ เป็นพิธีก่อนจะรีบวิ่งจากไป

“นี่ปิ่น รอก่อนสิ!” จิณณ์วิ่งแหวกฝูงคนตะโกนเรียกไป พลาง กว่าจะตามทันก็เล่นเอาซะหอบ

“จะตามมาทำไม ฉันบอกแล้วว่ากลับเองได้” เธอปัดมือ ของเขาที่ยื่นเข้าคว้าแขนออก

จิณณ์ถอนหายใจพลางเกากีรษะ

“คือ ฉันจะตามมาขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอน่ะสิ”

ปั่นหันขวับกลับมาหา ก่อนจะหน้าแดงหันหลังให้เหมือนเดิม
“จะเอาเบอร์ฉันไปทําไมกัน

“ก็เพราะเป็นห่วงอยู่แล้ว” เขาตอบตรง ๆ นั่นยิ่งทำให้ปืน ไม่กล้าหันกลับไปสู้หน้าไปกันใหญ่ “ตอนนี้ไม่มีอะไรรับ ประกันได้เลยว่าพวกนั้นจะไม่ย้อนมาอีก…

*066-3466-xxx” จิณณ์พูดไม่ทันจบรหัสลับก็ลอยมา

“เอ๋ อะไรนะ?”

“ฉันบอกว่า 066-3466-xxx ไงเล่า!” ปิ่นฝืนหันมาตะคอก แต่พยายามยืนให้เงาอื่น ๆ ช่วยบังใบหน้าของตนที่ร้อน ฉ่า ไม่กล้าดูกระจกว่าตอนนี้หน้าแดงแค่ไหนแล้ว แต่ จิณณ์เองก็เหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่หยิบมือถือของตนขึ้น มาลุกลี้ลุกลนกดเลข ก่อนจะกดโทรออก ไม่กี่วินาทีถัดมา โทรศัพท์ของปิ่นก็ดังขึ้นมาบ้าง

จิณณ์ยิ้มบาน

“นั่นเบอร์ฉัน แล้วถ้ายังไงคืนนี้ช่วยโทรมาหน่อยนะ” ปิ่นฟังไปฟังมาชักรู้สึกทะแม่ง ๆ ยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง…

“ให้ฉันโทร…?” ปิ่นถามง่าย ๆ คิ้วเริ่มขมวดมุ่น…มันมีธุระ แต่จะให้เธอโทรไป??
“ใช่เลย โทรศัพท์ฉันเงินหมดนี้

มือของเธอเริ่มสั่นระริกอีกครั้งกับคำตอบมักง่าย…

เวลาอยู่กับชายคนข้างหน้านี้.. บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกหวั่น ไหว แต่บ่อยยิ่งกว่าที่เธอรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก…

“นาย…” ปิ่นก้มลงปล่อยให้ผมปรกใบหน้านวล จิณณ์ สะดุ้งโหยงกระโดดถอยหนีตามสัญชาตญาน แต่คราว นี้ไม่มีระเบิดลูกย่อม ๆ หมายทุบใส่หัว เธอเลื่อนมือสั่น ๆ ขึ้นมาชี้หน้าเขา

“นาย…ไม่ต้องมาห่วงฉันเลยย่ะ! ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!!”

เธอตวาดจนคนรอบ ๆ หันมามองเป็นทางเดียวกัน ว่า แล้วก็กระโดดลอยลิ่วขึ้นหลังคาตึก หายตัวไปกับความ มืดอย่างรวดเร็ว จิณณ์ยืนเกาหัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อน ลมหายใจแล้วยิ้มบางยืดตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย แต่ก่อนจะ ได้ก้าวเท้ากลับบ้านเขากลับรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง มัน เป็น ‘คลื่น’ อย่างหนึ่งที่เขาเคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้

โดยไม่มีโอกาสตอบโต้ จิณณ์ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ท่ามกลางฝูงชนที่เนืองแน่น เขาพยายามมองหาตัวการไป รอบ ๆ แต่กลับไม่เจออะไรนอกจากสายตาของผู้คนที่จับ จ้องมาที่เขา ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัวมากยิ่งขึ้นและในที่สุดสติของเขาก็ขาดผึ้งไป

ชายคนหนึ่งเดินขากระเผลกตรงรี่เข้าเขย่าตัวของเขา แต่ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง ชายคนนั้นแอบยิ้มเล็ก ๆ ที่มุม ปากก่อนจะแกล้งทำหน้าซีด

“เฮ้ย นี่เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย” เขาทําสีหน้าตื่น “ขอโทษ ที่ทำให้เดือดร้อนครับ เพื่อนผมเขาสุขภาพไม่ค่อยดี” เขา ว่าพลางโค้งให้คนอื่น ที่พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็หมดความ สนใจหันไปสนุกสนานเฮฮากันต่อ

“สังคมเฮงซวย…” เขาก่นด่าเสียงค่อยก่อนจะแบกคุณ เพื่อนหลบเข้าซอกตึกเงียบงันตามลำพัง…

จิณณ์ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องมืด พยายามขยับแขนขาแต่ก็ขยับไม่ได้… เขาโดนมัดตัวเอา ไว้กับเก้าอี้… ส่วนตัวการที่ทำอย่างนี้เขามั่นใจว่าไม่มีใคร อื่นนอกจาก…

“จับผมมาทำไม คุณมนุษย์คลื่นเสียง” จิณณ์ถามน้ำ เสียงออกประชดเล็ก ๆ

“ยังกวนได้อีกหรือ ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้” วอซ ตบบ่าของจิณณ์จากข้างหลัง ถึงเขาอยากจะหันกลับไป มองแต่ก็ไม่ใช่นกฮูกที่หมุนคอได้ 360 องศาเสียหน่อยนี่
เห็นพวกชกุกใจแกมากนี้ แต่อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้า….. หาอะไรนายก็แล้วกัน” หมอนั่นกำชับก่อนจะเดินอ้อมมา ข้างหน้าบ้าง จิกมองขาของหมอนั่นแล้วก็ถอนหายใจ

“ให้ตายเหอะ นี่นายแบกฉันมาได้ไงเนี่ย ด้วยขาแบบ

นั้น

วอซหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกอดอก จ้องหน้าของ จิณณ์ตรง ๆ

“เรื่องนั้นมันสำคัญนักหรือไง ถ้าเทียบกับเรื่องที่แกกำลัง จะเผชิญต่อจากนี้

จิณณ์เหงื่อตกแอบกลืนน้ำลายหนึ่งอีก แล้วฝืนยิ้มตอบ กลับอีกฝ่ายบ้าง…..

“น่ากลัวจริง ๆ ด้วยสิ… เกิดฉันไม่ได้ให้อาหารแมวคง โดนยัยนั่นฆ่าเอาแน่ ๆ”

วอซดูไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ หยิบมือถือของตน ขึ้นมาแล้วเปิดเพลงดนตรีบรรเลงร้องโหยหวนเข้ากับ บรรยากาศยิ่ง หมอนั่นฉีกยิ้มยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง

“คิดว่าแกคงรู้ความสามารถของฉันแล้วสินะ” จิณณ์ไม่ ตอบเอาแต่นั่งเงียบ แต่นั่นยิ่งทำให้วอซมั่นใจยิ้มกริ่มขึ้นมา ใบหน้าโฉดสนิทกำลังเย้ยหยันอีกฝ่าย เหมือนไม่ใช่ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกับตน หากแต่เป็นอะไรบางอย่าง ที่ด้อยค่ากว่ามาก…….

“แต่ถ้าแกไม่ยอมแสดงความสามารถให้ฉันเห็นบ้าง… ล่ะก็…” จิณณ์เริ่มรู้สึกว่าโลกเวียนไปวนมาจนเวียนหัวอีก ครั้ง เขาหลับตาสนิทกัดฟันแน่น ไม่ช้าความเจ็บปวดก็ เริ่มคืบคลานเข้ามา หัวของเขาแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เพราะคลื่นเสียงแปลกปลอมที่มุ่งเล่นงานสมองของเขา โดยตรง ถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็ไม่สามารถต่อต้าน ได้ ถึงจะพยายามดิ้นหนีเท่าไหร่แต่ก็ทำได้เพียงล้มลงไป พร้อมกับเก้าอี้

เขาหอบเพราะความเหนื่อยล้า น้ำตาไหลเป็นทาง แต่ แววตากลับเลื่อนลอย… วอซเดินเข้าหาแล้วดึงเก้าอี้ตั้งขึ้น ตามเดิม

“ถึงกับร้องไห้เชียว น่าสมเพชเป็นบ้า” หมอนั่นว่าแล้วก็ หัวเราะเยาะซ้ำ “แต่แกก็ทนเอาเรื่องนี่ พลังของแกคือการ ลบล้างพลังคนอื่นไม่ใช่หรือไง ทำไมจะต้องปกปิดอะไร นักหนา”

จิณณ์ส่ายหน้าตอบเนือย ๆ

“พลังของฉันมันสะดวกสบายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ….” จิณณ์ตอบกลับเสียงค่อย เลี่ยงไม่มองหน้าอีกฝ่ายอีกต่อไป

“” วอชสบถ สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก “จริง ๆ แล้วเรื่อง ความสามารถของแกมันน่าสนใจตรงไหนกัน”

“งั้นก็ปล่อยฉันซะทีสิ…” จิณณ์โวยกลับ

วอซเดินดึงผมยุ่ง ๆ ของจิณณ์ให้เงยหน้าขึ้น

“ปล่อยให้โง่เหรอ ปล่อยศัตรูให้หนีไปได้ สุดท้ายมันก็จะ กลับมาแก้แค้นเหมือนที่แกกำลังโดนอยู่นี่ ไม่ใช่หรือไง?” จิณณ์ไม่ตอบหากแต่มองย้อนกลับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย สายตานั้นไม่มีความแค้นเคืองอยู่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันยิ่ง ทำให้วอซไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น เดินกลับไปนั่งที่เดิมแล้ว หยิบมือถือสุดรักมาประคองไว้กับมือ แววตาสีดำนั้นเย็น ยะเยือกจนชวนขนลุก

จิณณ์หลับตาลง เวลานี้เขาทำได้แค่เพียงภาวนาให้ฝัน ร้ายนี้จบลงโดยเร็วที่สุด…

ค่ำคืนเดียวกันนั้น เด็กสาวในชุดนอนสีม่วงลายหน้าลูก หมีเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องพักเล็ก ๆ บ้างก็นอนกลิ้งบน เตียง ในมือถือโทรศัพท์ไม่ปล่อย พอหยิบขึ้นมา กดเลข โทรออกจนครบ แต่ก็กดปิดเสียอย่างนั้น

“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจพลางนอนกอดหมอนใบโปรดแก้มค่อย ๆ ขึ้นสีเลือดทีละน้อย… เมื่อเห็นว่าชักจะไม่ ได้การ ปล่อยให้นานเข้าก็จะดึกเกินไปอีกจึงกลั้นใจกด โทรออกอย่างรวดเร็วแล้วเอาขึ้นมาแนบข้างหู หัวใจเต้น โครมครามไม่หยุด ความจริงมันไม่ใช่เรื่องของเธอเลยสัก นิตที่จะต้องโทรหาผู้ชายที่ไม่สนิทกันนักตอนดึก ๆ อื่น ๆ

เธอรออยู่ครู่หนึ่งก็แปลกใจเพราะไม่มีคนรับเสียทีจน สายตัด

“หรือหมอนั่นจะหลับไปแล้ว?

เธอส่ายหน้าปฏิเสธตัวเอง นิสัยของหมอนั่นทั้งชื่อทั้งที่อ ก็ในเมื่อเขาบอกให้เธอโทรเขาก็ต้องรอรับ… ไม่ก็ยิงมา เป็นแน่ เธอจึงตัดสินใจโทรกลับอีกรอบ คราวนี้รอเพียง ครู่เดียวอีกฝ่ายก็รับสาย

“นายจิณณ์! ตกลงมีธุระอะไรกันแน่!” เธอตะคอกใส่ โทรศัพท์โดยไม่กะให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แต่เธอกลับเป็น ฝ่ายหน้าซีดเสียเองเมื่อเสียงที่ส่งผ่านมาไม่ใช่จิณณ์ แต่ กลับเป็นเสียงหัวเราะน่าขนลุกที่เธอจำได้ติดหู… ชาย ผู้ใช้พลังจิตควบคุมคลื่นเสียง ฉายาวอซที่เคยเล่นงาน เพื่อนของเธอจนต้องเข้าโรงพยาบาลไป

“นายมัน…ไม่ใช่…”
“ไม่ใช่อะไรจ๊ะ แม่หนูน้อย” เสียงนั้นตอบยียวนกลับ

“ทําไมนายถึงใช้โทรศัพท์นั้น…? ปิ่นถามทั้งที่ในหัว กำลังปะติดปะต่อเรื่องเลวร้ายได้ไม่จบไม่สิ้น

“มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” วอซตอบ “ฉันก็จับตัว หมอนี่เอาไว้นะลิ”

เสียงนั้นอื้ออึงไปหมด รู้สึกเหมือนโดนทุบหน้าอกด้วย ค้อนเหล็กจนหายใจไม่ออก

“แกอยู่ที่ไหน…” ปิ่นกัดฟันถาม “แกอยู่ที่ไหนบอกมา เดี๋ยวนี้นะ!!!” เธอตะโกนลั่นไม่สนใจว่าจะมีคนอื่นได้ยิน หรือไม่

“ปั่น! อย่ามานะ… ที่นี่มีแต่กับดัก เพราะงั้นห้ามมาโดย เด็ดขาด!!” จิณณ์ฝืนใช้เสียงแหบแห้งตะโกนเตือน แต่มัน กลับทำให้เธอน้ำตาร่วง

วอซหัวเราะแทรกขึ้นมาบ้างเมื่อเธอเงียบลงไป

“ฉันรออยู่ที่ห้องเก็บของ ร้านขายของชำใจกลาง เมือง…แม่เด็กจอมอวดดี”

วอซพูดก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ไป แต่สิ่งสุดท้ายที่แว่วเข้าหูมากลับเป็นเสียงคำเตือนของเด็กหนุ่มที่ตะโกน แทรกเข้ามาไม่หยุด

แค่เสียงนั้นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วสำหรับ การจะ ขยี้คนคนหนึ่งให้แหลกคามือ

ปืนล็อคห้องจนมิดชิดก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่าง ลม เป็นพัดกระแทกใบหน้า ปาดน้ำตาของเธอให้แห้งผาก ลง เธอคำนวณทิศทางลมเล็กน้อยแล้วกระโดดออกนอก หน้าต่าง และลอยตามลมไป…


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ