ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 11 หนึ่งวันธรรมดา… (มั้ง)



บทที่ 11 หนึ่งวันธรรมดา… (มั้ง)

ภายใต้ความมืดมิดของค่ำคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ นี่นับ เป็นคืนที่สองแล้วที่ห้องหนึ่งของคอนโดหรูยังคงเปิด ไฟสว่างไสว ห้องนั้นเต็มไปด้วยกองกระดาษหนาเตอะ เครื่องปรินท์ เครื่องซึ่งกำลังร้องโหยหวนเนื่องจากกรา งานหนักไม่หยุด และบนเตียง ‘เธอ’ นั่งอยู่ตรงนั้น

สาวสวยในชุดนอนสีหวานบางเฉียบ ปล่อยให้เส้นผมสี ทองยาวสลวย หลุดพ้นพันธนาการทั้งหมด เหยียดปลาย เงางามลงสัมผัสพื้นพรมห้องพอดิบพอดี เธอนั่งคร่ำเคร่ง อยู่กับจอคอมพิวเตอร์ระบบสัมผัส ติดอยู่ข้างฝาผนัง ที่นอนต่างวอลเปเปอร์ ดีดโฟลเดอร์กลุ่มข้อมูลเก่าเขียน ว่า ‘วาร์ลเดน’ ไปกองไว้มุมซ้ายล่างของจอ ส่วนตรงหน้า ของเธอเป็นหน้าจอที่แยกออกมาต่างหาก มีไฟล์งานใหม่ ที่กําลังลงข้อมูลอยู่

รูปที่แปะอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษคือลูกศิษย์ของเธอเอง เธอเลื่อนมือไปสัมผัสคำว่า conexión เพื่อเพิ่มลิงค์ไปยัง รายละเอียดที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้มา เรื่องราวซึ่งไม่เคยถูก บันทึกที่ใดมาก่อน…

แม้จะเคยตกลงกันไว้ว่า ‘เธอ’ จะไม่เผยแพร่ข้อมูลเหล่า นี้ออกไปที่ใดเป็นอันขาด แต่เลือดนักวิจัยย่อมยอมให้ ข้อมูลอันมีค่ามีอันเป็นไปไม่ได้ จึงต้องจับมันกลับมา บันทึกลงในดาตาเบสของเธอทั้งหมด และที่สำคัญ… เวลานี้เธอเจอตัวแปรหลัก ผู้อาจจะไขปริศนาข้อมูลลับซึ่ง ส่งต่อกันมาจากอดีตได้เข้าให้แล้ว
เหล่าเอกสารเขียนด้วยลายมือยิ่งกว่าไก่เขี่ย มีเส้น กราฟพันกันมั่วไปหมดจนดูไม่ออกว่ามันคืออะไร…

เธอมองย้อนกลับไปยังภูเขากระดาษซึ่งกองอยู่ท่วมห้อง ก่อนจะเบิกรอยยิ้มชวนขนลุกออกมา…

ค่ำคืนเดียวกันจิณณ์เผลอตื่นขึ้นมาพลางมองล่อกแล่ กไปทั่วห้องคนไข้… ซึ่งตนนอนอยู่คนเดียว บรรยากาศ เงียบสงัดแสงสลัวส่องจากสวนเข้ามาชวนให้ดูลึกลับ เหงื่อของเขาไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุดทั้งที่แอร์เย็น เฉียบ

เขาตัดสินใจแน่วแน่คลุมโปงหลับตาปี่และจะไม่ยอม ลืมตาขึ้นอีกแน่ จนกว่าแสงแรกของวันใหม่จะมาเยือน

ยามสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กสาวผมสีน้ำตาล แดงยาวประบ่า แต่งตัวสบาย ๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวมีหน้า ลูกหมีเล็ก ๆ ตรงเอว และกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนตัดสี ด้วยลายดอกสีส้มเล็กน้อย. เธอนั่งพักกินไอศครีมรถเข็น ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสักครู่ตรงข้ามกับน้ำพุข้างหลังม้านั่งตัวนี้

ม้านั่งตัวเดิมที่จิณณ์แบกเธอมานั่งพัก ม้านั่งตัวเดิมที่ ทำให้เธอได้พบหมอนั่นในวันต่อมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้เกิด เรื่องตามมามากมายอย่างคิดไม่ถึงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน
เจ้าแมวดำตัวน้อยด้านข้างเลียมือซ้ายของเธอ เหมือน เรียกให้หันมาสนใจมันบ้าง แต่เมื่อหันกลับมาดันเจอคน ไม่พึงประสงค์มานั่งอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ และเธอก็ไม่อยากรู้ด้วยว่านายหัวเกรียนใส่แว่นดำ เจาะหู เจาะปากท่าทางเถื่อนคนนี้เป็นใครสักนิด

โดยไม่ต้องคิดเธอลุกพรวดขึ้นฉับพลัน หมอนั่นลุกตาม อย่างรวดเร็วเอื้อมมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้

“ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งหนีสิคนสวย” หมอนั่นพูดเสียงเหมือน จะหวาน พริบตานั้นไอศครีมหมดความอร่อยโดยสิ้นเชิง มือขวาโลดแล่นก่อนความคิดป้กไอศครีมโคนเข้าเต็ม จมูกใหญ่ ๆ แล้วรีบกระชากมือกลับ ก่อนจะเดินไปล้างมือ ที่น้ำพุหน้าตาเฉย ท่ามกลางสายตาของผู้คนซึ่งมองเธอ อย่างเป็นห่วง แต่ไม่กล้าแม้จะเข้ามาทัก

คุณคนบ้าปัดโคนไอศรีมทิ้งก่อนจะเช็ดหน้าของตัวเอง ด้วยมือที่สั่นระริก ชำเลืองมองไปรอบ ๆ คนอื่นรีบหลบตา กันเป็นแถบ ก่อนจะมองกลับยัยเด็กตัวการที่กำลังล้าง มืออยู่อย่างเดือดดาล แล้วเตะม้านั่งจนล้มคว่ำเป็นการ ระบายอารมณ์ เจ้าแมวน้อยรีบวิ่งหนีมาอยู่ด้านข้างของ เธอทันที… ก่อนจะสะดุ้งถอยออกห่างเมื่อเห็นสายตาสี แดงที่ถูกจุดไฟให้ลุกพรึ่บขึ้นฉับพลัน

“อะไร ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าไง ยัยเด็กบ้า!!” หมอนั่นชี้หน้าด่า แต่ปิ่นกลับยิ้มเย้ยพลางเสยผมที่โดน ลมพัดอย่างสบายอารมณ์ ราวกับคนหน้ากลัวข้างหน้าเป็นเพียงเศษขยะเพียงหนึ่งก้อน จากความโกรธมากก็ กลับกลายเป็นภูเขาไฟระเบิด

เขาฉีกยิ้มก่อนจะกระทืบเท้า พริบตานั้นพื้นดินตรงที่ปั่น ยืนอยู่ก็ปะทุขึ้นมาสร้างความแตกตื่นไปทั่วบริเวณ แต่ก็ ยิ่งตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเด็กสาวคนเมื่อครู่ กระโดดลอยตัวตี ลังกากลับหลังดุจดั่งขนนกที่พริ้วลมขึ้นไปยืนอยู่บนน้ำพุ สายตาสีแดงนั้น… ช่างตัดกับสีท้องฟ้ากว้างยิ่ง

มือเล็กชูขึ้นเล็งโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรสักถ้อยคำ และ แล้วคุณคนป่าเถื่อนก็โดนแรงอะไรบางอย่างกระชาก ขึ้นไปอยู่เหนือบ่อน้ำ ก่อนที่แรงนั้นจะขาดสะบั้น ปล่อย ให้หมอนั่นแหกปากร้องตอนร่วงหล่นอย่างน่าอนาถ เมื่อ สายตาทุกคู่หันกลับมายังน้ำพุเด็กสาวคนนั้นก็หายตัวไป แล้ว

…พร้อมเจ้าแมวดำตัวนั้น…

“งี่เง่าที่สุด ทำไมฉันต้องเจอแบบนี้ประจำเลยนะ” ปิ่นบ่น ไปพลางกระโดดหิ่งขอบตึกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้าแมว น้อยเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ จนกระทั่งลงจอดบนดาดฟ้าโรง พยาบาล เธอหลับตาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้าเครื่องแบบนักเรียนเป็นกางเกงขาสั้นได้ก็ดีสินะ”เมื่อลืมตาขึ้นก็มีใครบางคนนั่งพิงกำแพงเอาแขนรองหัว ตนเองมองเธอตาแป๋ว

“นะ นายมัน!!” ปิ่นพูดตะกุกตะกักพร้อมชี้หน้าเขาด้วย มือสั่น ๆ “ทําไมมาอยู่ที่นี่ได้ นี่จะมาลักพาตัวหมอนั่นอีก แล้วเหรอ!!”

คนตรงหน้าลุกขึ้นพลางเกาหัวและหาวหวอดออกมา หน้าตาเฉย หมอนั่นเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วดูตัวโตกว่า ยามยืนคุมเชิงอยู่ในอากาศมากโข คล้ายหมีแต่… ย้อมผม แดงเสียอย่างนั้น

“ว่าแต่เธอเป็นใครล่ะ ยัย…. ขาสั้น ?”

“หา!!”

“อ้าวก็เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าชอบกางเกงขาสั้น”

นั่นเป็นฉายาที่สิ้นคิดที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับ และมัน ช่างกำกวมจนชวนโมโหมากที่สุดอีกต่างหาก!

“นายอย่ามาทำให้จินตนาการหมีที่น่ารักของฉันต้อง เสื่อมเสียนะยะ!” ปิ่นชี้หน้าด่าอย่างที่คนโดนด่ายืนงง ทำ หน้าเอ๋ออยู่ร่วมห้าวินาที ก่อนจะตบมือเหมือนนึกออกเดิน กลับไปนั่งที่เดิมหน้าตาเฉย
“พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง จะไปไหนก็ไป ไป๋ ยัยขาสั้น” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หลับตานอนกรนต่อหน้าต่อตา

“นี่นายอยากเจ็บตัวนักใช่ม้ายยยย!!!ปิ่นจิตหลุดตวาด ลั่นแต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมตื่นง่าย ๆ ซ้ำเพิ่มระดับการ นอนเป็นน้ำลายยืดเสียอีก!

“ขอโทษนะ” เสียงหวานทักมาจากอีกด้านหนึ่งของ กำแพง “Boyuyu* เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ไม่มีเจตนา ร้ายอะไรหรอก” เธอเอ่ยเสริม

ปิ่นเดินตามเสียงไปก็พบหญิงสาวผิวสีซีดพร้อมผมดำ ยาวสลวยกำลังนั่งหลบแดดนั่งเล่น laptop ของตนอยู่ เมื่อเห็นปิ่นก็ก้มศีรษะให้เล็กน้อยอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้ ปรอทความโกรธลดระดับลงเรื่อย ๆ ก่อนจะนึกได้ว่าคุณ เธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มของตัวปัญหา ‘ลุซ

“วางใจเถอะ พวกเราก็แค่ได้รับมอบหมายให้มาคุ้มครอง conexión เท่านั้น”

“คุ้มครอง ?” ปิ่นตีหน้าสงสัยถาม เธอหันมาหาแล้วกระ พริบตาปริบ ๆ มอง ปิ่นเผลอถอยหลังให้กับสายตาสีดำ ขลับแสนใสซื่อคู่นั้นเล็กน้อย หากมองให้ดีแล้วหญิงสาว คนนี้จัดเป็นคนสวยมากทีเดียว เพียงแค่ปล่อยตัวตาม สบายไม่คิดจะแต่งอะไรเลย… และอดนอนจนขอบตา คล้ำ
เธอหันกลับไปที่ laptop อยู่ครู่หนึ่งพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่วก่อนจะหันมันออกมาให้เธอดู มันเป็น คลิปชายชุดดำกลุ่มใหญ่กรูกันเข้าไปในโกดัง เมื่อดูจาก วันที่และเวลาแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นโกดังที่วอซเรียก เธอไป แต่ดันเกิดเรื่องเสียก่อนตามที่จิณณ์เล่า

“จากดาวเทียมทางการทหารขององค์กรป้องกันตนเอง แห่งโกยาน่า” เธอพูดเสียงเรียบแต่คนฟังที่กำลังครุ่นคิด อย่างหนักแทบจะคะทำหน้าทิ่ม

“ดะ ดะ เดี๋ยวสิ! แล้วคุณเอาของแบบนี้มาได้ยังไงล่ะ!” ปิ่นถาม สีหน้าแสดงความสงสัยออกมาชัดแจ้ง เธอยิ้มให้ แล้วตอบสั้น ๆ แต่น่ากลัวว่า “แฮค”

“conexión ยังไม่อยากเปิดเผยตัวเองไม่ใช่เหรอ เพราะ งั้นในฐานะคนธรรมดาที่พวกมันไม่สนใจก็อาจโดนสั่งฆ่า ปิดปากได้” เธออธิบายต่อ

“งั้น… ถ้าพวกนั้นรู้เข้าล่ะคะ ?” ปิ่นถามเพิ่ม

“ก็โดนจับไปทําการทดลองอะไรสักอย่าง… ล่ะมั้ง?” เธอ ตอบเสียงเนือยหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวพูดไม่ ออกเมื่อได้ฟังคําตอบ…

ทั้งที่มันอาจเป็นแค่เรื่องปั้นน้ำเป็นตัว แต่สมองของเธอ คิดทบทวนดูหลายตลบกลับคิดว่ามีทางเป็นไปได้
“แล้วคุณรู้ไหมคะว่าพวกนั้นเป็นใครน่ะ” ปิ่นกลั้นใจถาม ทั้งทีเสียงสั่น ใจสั่น สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ถ้ารู้แล้วจะทําอะไรล่ะ” หญิงสาวถามตามตรง แต่ปิ่นไม่ ตอบ… เธอเห็นว่าสายตาคู่นั้นดุดันขึ้นจึงถอนหายใจ ก่อน จะหันกลับไปเล่น laptop ของตนต่อโดยไม่หันกลับมา มองอีกเลย

ปิ่นจำใจเดินจากออกมาด้วยความลังเล และความสับสน ก็ยิ่งเพิ่มพูนเมื่อเห็นนายคนตัวโตที่นั่งหลับน้ำลายยืด เพราะภาพของผู้ก่อการร้ายในความคิดของเธอมันต่าง จากที่เห็นมาก… แต่เมื่อคิดถึงวันแรกที่เธอยืนเผชิญหน้า กับลุซ

….วันที่เธอเกือบตายเพราะฝนระเบิด…

เธอตบแก้มทั้งสองข้างเพื่อเตือนสติของตน ก่อนจะ พาเจ้าแมวน้อยเดินไต่กำแพงโรงพยาบาลลงไปง่าย ๆ ท่ามกลางสายตาของคนในสวนหย่อมที่กระพริบตาตาม องปริบ ๆ

จิณณ์นอนอ่านหนังสือไปหาวไป หลังจากเกิดเรื่องรอบ นั้นไปทางโรงพยาบาลก็เอาป้าย keep out! มาวางไว้หน้า ห้องของเขาทั้งสองด้านเหมือนกับเป็นสถานที่อันตราย อะไรสักอย่าง เพราะงั้นจึงไม่มีใครมาเยี่ยมเลย… ยกเว้น ก็เพียงคนเดียวที่แอบมาเคาะกระจกเรียกทุกวัน ดัง…

ก๊อก ก๊อก…

ใช่เลยเสียงแบบนี้แหละ!

เขาหันไปทางหน้าต่างก็เห็นเด็กสาวนั่งคุกเข่าอยู่บน กระจก และก้มหน้าลงมามองเขาเหมือนอยู่กันคนละมิติ มิหนำซ้ำเจ้าแมวเองก็เดินวนไปวนมาบนพื้นตั้งฉากนั้น เหมือนเป็นเรื่องปกติ

เธอดีดนิ้ว แรงดึงลึกลับก็ดีดกลอนที่คุณพยาบาล อุตส่าห์ล็อคขึ้นอย่างง่ายดาย และเพียงครู่เดียวแรง ลึกลับนั่นก็ดึงหน้าต่างเปิดออกทั้งที่ด้านนอกไม่มีที่ให้ จับสักนิด เธอจับเจ้าแมวแล้วโยนตัวเข้ามาข้างในอย่าง ทะมัดทะแมง พร้อมหน้าต่างซึ่งปิดตามมาเหมือนไม่เคยมี อะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ภาพแบบนี้เห็นกี่ครั้งเขาก็ยังรู้สึกแหม่ง ๆ อยู่ดีนั่นแหละ

โดยเฉพาะวันที่เจ้าหล่อนใส่กระโปรง…

“มีอะไรทำไมมองแปลก ๆ งั้นล่ะ”
“ปะ เปล่า”

จิณณ์รีบบ่ายเบี่ยงตอบกลับทันควัน เขาค่อนข้างมั่นใจ ว่า หากตอบไปตามตรงอาการบาดเจ็บคงจะหนักขึ้นแหง ๆ ปิ่นหรี่ตามองเหมือนจ้องจับผิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลิก สนใจเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟา โดยมีลูกน้อยเด็นร้อง เมี้ยว ๆ เดินตามไม่ห่าง

“นี่ ช่วงนี้มีใครมาหานายหรือเปล่า… ฉันหมายถึงพวก ลุซน่ะ” ปิ่นถามหยั่งเชิง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่รู้สึก ประหลาดใจอะไรเลย

“สงสัยเธอจะได้เจอสองคนนั่นแล้วสินะ” จิณณ์ถามกลับ ก่อนจะหัวเราะร่วน

ปีนไม่อยากตอบกลับเลยว่าเจอแล้ว และเกือบมีเรื่องกัน

ไปแล้ว จึงหัวเราะแข็ง ๆ ตอบกลับอย่างรู้กัน

“ฉันยังไม่เจอหรอกนะ แต่ลุซแว่บมาบอกเมื่อคืนน่ะสิ”

จิณณ์พูดเสริมต่อไป แต่ประโยคนั้นทำให้ปิ่นลุกพรวด แล้วเดินเข้าข้างเตียง

“อะไร? หมอนั่นเอาอีกแล้ว!?” เธออุทานแล้วกำมือแน่น ดูเหมือนไฟสงครามจะลุกโชนขึ้นมาอีกรอบ จิณณ์ยกมือ ห้ามเอาไว้ ก่อนที่ปิ่นจะวางเพลิงโรงพยาบาลโทษฐานห้ามคนเยี่ยมแต่ไม่ห้ามผู้ก่อการร้ายเยี่ยม

“จริง ๆ เธอก็น่าจะรู้นี่นาว่าคราวที่แล้วหมอนั่นไม่ได้ ตั้งใจสู้เลยด้วยซ้ำ” จิณณ์เปิดประเด็นที่ค้างคามาสองวัน เต็ม

ความจริงเธอเองก็รู้ดีแก่ใจ เพียงแค่ไม่อยากยอมรับ ตอนนั้นเธอเองถึงจะสู้สุดฝีมือแต่ก็ไม่เต็มกำลัง ส่วนหมอ นั่นเองก็สู้แบบเลี่ยง ๆ ไม่คิดจะยิงให้โดนแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่สร้างดวงแสงมากมายให้เธอกับ จิณณ์สังเกตเห็น มิหนำซ้ำยังให้เวลาพอสมควรเพื่อที่จะ ตอบโต้กลับ… เพื่อจะได้เห็น ‘conexión’ ชัด ๆ

สําหรับพลังระดับลุซ การจะยิงล่าแสงในวันแดดจ้า ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ไม่จําเป็นต้องสร้างดวงแสงอะไร ให้วุ่นวายด้วยซ้ำ และด้วยความเร็วของแสงไม่มีใครหลบ ได้แน่

“แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ…!” ปิ่นตีหน้าบูดแย้ง แต่พูดยัง ไม่ทันจบประตูไม้ก็ส่งเสียงครางออดแอดและเปิดออก ทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวมองย้อนกลับไปซื่อ ๆ คาดการณ์เอาไว้ ล่วงหน้าว่าต้องโดนสวดยับแน่ แต่ทว่าผู้ที่เข้ามากลับเป็น เด็กหนุ่มผมสีดำตัดสั้นผู้เข็นรถคนป่วยเข้ามา

ทั้งเขา ทั้งเด็กบนรถหยุดกึกเมื่อสายตาทั้งสี่คู่ประสานกัน
“มีอะไรหรือจ๊ะ ?”

“อ๋อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร

เสียงพยาบาลถามไล่หลังเข้ามาจากภายนอก เขารีบ

ขานตอบก่อนจะรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“เซี่ยง นายนี่เส้นใหญ่แฮะเข้ามาหน้าตาเฉยเลย” จิณณ์ พูดเล่น พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“สวัสดีค่า พี่จิณณ์!” เด็กสาวผมทองตัวน้อยบนรถเข็น ร้องทัก เซี่ยงเองก็เข็นรถเข้าหา แต่ดูเหมือนสายตาของ ทั้งพี่ทั้งน้องจะจับจ้องอยู่ที่ปิ่นเสียมากกว่า “เป็นแฟนพี่ จิณณ์เหรอคะ ?” เด็กน้อยถามซื่อ ๆ แต่ก็พอจะทำให้ปั่นที่ ถูกถามหน้าแดงขึ้นได้

“ปะ เปล่าจ้ะ” เธอปฏิเสธแล้วยิ้มแข็งทื่อให้ เด็กน้อยทำ หน้าไม่พอใจนิดหน่อย

“อย่าหลอกกันนะ ไม่งั้นมิเรียโกรธด้วย

คนที่นอนอยู่หัวเราะร่าเรียกสายตาของเด็กสาวมาอยู่ที่

ตนเอง

“ใช่แล้วล่ะมิเรีย นั่นแฟนพี่เอง แต่เขาขี้อายน่ะ” จิณณ์ตอบกลับ

“นี่! เดี๋ยวสิ” ปิ่นรีบแย้ง แต่จิณณ์ก็แอบขยิบตาส่ง สัญญาณให้ช่วยตามน้ำ เมื่อเธอมองกลับมายังมีเรียก็พบ ว่า แววตาของสีฟ้าของเธอเป็นประกายและยิ้มให้อย่าง ใสซื่อ ก่อนจะหันไปแซวจิณณ์ร้องเรียกให้พี่ชายเข็นตัว เองไปข้างเตียงหน่อย

“ขอโทษนะ พอดีมิเรียเขาชอบเรื่องทำนองนี้น่ะ” เซี่ยง แอบกระซิบข้างหูตอนเดินผ่านปิ่น หันมายิ้มพร้อมผงกหัว ให้นิดหนึ่ง แล้วมองย้อนกลับไปทางเพื่อนของตน

“เชื่อเขาเลยเห็นโดนสั่งห้ามเยี่ยม ไม่นึกว่าจะมีสาวสวย แอบเข้ามาหาได้อีก” เซี่ยงทักทายเพื่อนประโยคแรก แต่สะดุ้งถึงคนที่ยืนข้างหลัง ปิ่นอับจนหนทางไม่รู้จะพูด อะไร จึงได้แต่ถอยไปนั่งฟังที่โซฟาอย่างสงบเสงี่ยม

“พี่จิณณ์เป็นยังไงบ้างคะ” มิเรียถามก่อนจะมองไปที่ เฝือก… “มิเรียอยากวาดบ้างจัง”

จิณณ์แกล้งตีหน้ามู่ทู่

“มิเรียเป็นเด็กดีคงไม่เลียนแบบพวกมือบอนหรอกมั้ง” เขาพูดแล้วยิ้มให้ พลางชูมือขวาใส่เด็กน้อยปล่อยลมเบา ให้สัมผัสใบหน้าของเธอ
เซี่ยงเข็นรถเข้าหาอีกนิดหนึ่ง เปิดโอกาสให้จิณณ์ได้ลูบ หัวมิเรียพอเป็นพิธี

สองพี่น้องอยู่คุยกับจิณณ์อยู่เพียงครู่เดียว เซี่ยงก็เป็น ฝ่ายขอลา เพื่อพามิเรียไปตรวจร่างกายประจำวัน เด็ก น้อยโบกมือลาจิณณ์กับปิ่นด้วยสีหน้าร่าเริง ทั้งที่ควรจะ เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการสำหรับเด็กอายุเพียง 7 ปี เช่นนี้

“ขอโทษนะ” จิณณ์เอ่ยเสียงค่อยหลังจากประตูไม้ปิด สนิทลง

“ถ้าหมายถึงเรื่องเมื่อครู่ก็ช่างเถอะ” ปิ่นหลับหูหลับตา ตอบกลับ พยายามจะทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่นั่นกลับทำให้ ใบหน้าของคุณเธอเหมือนไม่พอใจจนจิณณ์หงอลงไปทัน ควัน

“จริงสิ เด็กคนนั้นเป็นโรคอะไรเหรอ?” เธอรีบเปลี่ยน เรื่อง แต่กลับทําให้จิณณ์ซึมลงถนัดตา… เธอลืมไปว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับแม่ของเขาที่เสียไปแล้วด้วย ถึงจะ ยังสงสัยอยู่ว่า… พ่อของจิณณ์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในเมื่อ ลูกของตนบาดเจ็บขนาดนี้ยังไม่กลับมาดูแล…

ถึงแม้พ่อแม่ของปิ่นเองจะทำแค่ส่งเงินมาให้ใช้เอง ก็ เถอะ… แต่ก็ใช่ว่าจะเย็นชาขนาดนี้.……..
“มีเรียเป็นโรคพลังจิตย้อนกลับน่ะ”

“เอ๋ ?”

“เป็นโรคที่เกิดเมื่อผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมพลังของ ตนเองได้ดีพอ และพลังนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเองเมื่อ อารมณ์แปรปรวน ซึ่งในหมู่ผู้มีพลังจิตแล้วมีโอกาสเกิด เพียง 0.001% เท่านั้นเอง”

นั่นเป็นเรื่องที่เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจึงยังงงอยู่ ไม่น้อย

“ตลกดีไหมที่ฉันเจอคนที่เป็นโรคนี้มาแล้วสองคนใน ชีวิตนี้”

“เดี๋ยวสิ แล้วโรคที่ว่ามันรักษาไม่ได้เหรอ?”

ปิ่นถามตรง ๆ จิณณ์มองหน้าเธอก่อนจะขยับปากตอบ สั้นว่า “ไม่ได้”

“อย่างน้อยก็ด้วยวิทยาการในปัจจุบันนี้ล่ะก็นะ” จิณณ์ เอ่ยเสริม

“ขอสรุปความหน่อยสิยะ” ปิ่นท้าวเอวมองอย่างไม่พอใจ เธอไม่ชอบให้มีการพูดแบบชวนให้สงสัยค้างคาสักเท่าไหร่นัก จิณณ์ถอนหายใจก่อนจะยิ้มเนือยให้..

“ทางแก้คือลิมิตเตอร์” จิณณ์ตอบสั้น ๆ แต่มันกลับทำให้ ปิ่นตกตะลึง

“นั่นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ คลื่นสมองของคน แต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป การที่ไม่รู้จักปัญหาแล้วจะ แก้ปัญหาได้ยังงะ…” ปิ่นพูดยังไม่ทันจบก็นึกอะไรบาง อย่างออก เธอหันขวับกลับไปมองหน้าชายบนเตียงอีก ครั้ง และนั่นทำให้เธอเข้าใจเรื่องทุกอย่างกระจ่างชัด

ในเมื่อชายข้างหน้านี้ น่าจะเป็นคนเดียวในโลกที่ สามารถตรวจสอบคลื่นสมองของผู้อื่น มิหนำซ้ำยังสามา รถซิงโครเพิ่มเสริมและดูดพลังจิตของอีกฝ่ายได้ หรือ กระทั่งตอนที่ช่วยปารย์… จิณณ์เองก็สามารถจูนเข้ากับ คลื่นสมองที่ผิดปกติของปารย์เพื่อทําการรักษาได้.. ถึง แม้ว่าโรคพลังจิตย้อนกลับจะเกิดขึ้นเรื้อรัง แต่ถ้ามีคนที่ สามารถจูนเครื่องควบคุมให้เข้ากับคนนั้น ๆ ได้สมบูรณ์ แบบก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

เพราะฉะนั้นปัญหาจึงมีอยู่จุดเดียวก็คือหมอนี่.. ที่ไม่ อยากเปิดเผยตนเอง!

ที่สำคัญ… ถ้าอย่างนั้นแล้ว…

“ทำไมล่ะ.. ถ้างั้นนายก็น่าจะช่วยแม่ของตัวเองได้น่ะล!” ปิ่นโพล่งออกมาโดยไม่ทันคิด

“ตอนนั้นฉันแค่ห้าขวบนี่!” จิณณ์ตวาดกลับทั้งน้ำตาซึม เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าผวาเพราะเสียงของเขาจึงเลี่ยง หันไปทางอื่น “ตอนนั้นฉันทำได้แค่ระงับอาการให้แม่ เท่านั้นโดยไม่รู้ตัว และแม่ก็เป็นคนบอกให้ฉันเก็บความ ลับนี้ไว้ให้ดีด้วย…

ปิ่นรู้สึกผิดที่เปิดประเด็นความหลังอันโหดร้ายในอดีต นี่ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า… เขา.. กำลังปวดใจจริง ๆ ไม่ใช่ เพียงทำทีเป็นซึมเศร้าอย่างเคย เธอสืบเท้าเข้าหาพลาง เลื่อนมือสัมผัสหน้าผากของจิณณ์อย่างอ่อนโยน

“ฉันขอโทษ”

ปิ่นเอ่ยเสียงค่อย พริบตานั้นจิณณ์เผลอใช้พลังของตน สัมผัสความรู้สึกของปิ่น จึงค่อย ๆ มองย้อนกลับมา

เขาเห็นเด็กสาวขี้แยคนหนึ่ง… ที่รู้สึกห่วงเขาจากใจจริง

“คือ… นี่ปิ่น… คือ จะว่ายังไงดีล่ะ…”

“อะไรของนายอีกล่ะ!” ปิ่นตวาดพลางชักมือกลับแล้ว ตีหน้าดุใส่
“คลื่นสมองจะแรงที่สุดที่ไหนเหรอ..?”

“ก็จะที่ไหนล่ะถ้าไม่ใช่…!!”

ปิ่นเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะชะงักไปอีกรอบ.. หน้าแดงแป๊ด ขึ้นทันตาเห็น

“เดี๋ยวสิ ฉันนึกว่านาย… นายต้องใช้มือขวา”

เธอพูดออกไปทั้งที่รู้ว่ามันไม่สมเหตุสมผล สมองอะไร จะอยู่ที่มือ! นั่นมันแค่ความคุ้นเคยที่เธอเผลอคิดตามไป เองเพราะเคยเห็นเขาใช้แต่มือเท่านั้น!!!

“นั่นฉันฝึกเองและถนัดที่สุด นอกจาก..” จิณณ์เว้นระยะ นิดหนึ่งก่อนจะต่อให้จบว่า “หัว”

“นาย-อ่าน-ใจ-ฉัน-เรอะ” ปิ่นพูดเน้นเสียงทีละคำ มือก่ หมัดแน่นทั้งสั่นระริก

“เฮ้ย ใช่ที่ไหนเล่า! ความสามารถของฉันก็แค่การอ่าน คลื่นเท่านั้นเองนะ!!” จิณณ์ลุกลี้ลุกลนแก้ตัว มือไม้โบก พันกันไปมาและนั่นมันทำให้ความน่าสงสัยเพิ่มขึ้นอีก มากโข

“เมี้ยว”
เสียงเล็ก ๆ ร้องออกมาหลังจากหลับไปครู่หนึ่งใต้เตียง คนไข้ ทั้งคู่ดูเจ้าแมวเดินเข้าคลอเคลียที่ร้องเท้าผ้าใบสี ขาว แล้วเดินวนไปเวียนมาไล่ตบเชือกผูกรองเท้าของปิ่น บรรยากาศคุกรุ่นน่าอึดอัดในห้องนั้นถูกดับลงในชั่วอึดใจ ทั้งคู่พ่นหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้น มามองกันตรง ๆ อีกครั้ง

ปิ่นลูบผมของตนเล็กน้อยเพื่อจัดระเบียบก่อนจะจับเจ้า แมวขึ้นมาอยู่ที่ไหล่

“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปก่อนดีกว่า” เธอว่าพลางเดินตรง ไปยังทางออกพิเศษ… ‘หน้าต่าง’

“เดี๋ยวสิปิ่น” จิณณ์เรียก เมื่อปิ่นมองย้อนกลับมาก็เห็นว่า เขายื่นมือให้… เหมือนขอจับมือ…

“เมื่อครู่ฉันใช้พลังเช็คคลื่นสมองของมิเรีย สัญญาซิงโค รกับเธอ ก็เลยหลุดไปแล้วน่ะ” จิณณ์รีบอธิบายต่อ

“เอ๋…?” ปิ่นอุทาน ก่อนจะเงียบไป… ความจริงเธอรู้ตั้งแต่ ตอนนั้นแล้วแต่ท่าเป็นลืมไปก็เท่านั้น…

ใบหน้าที่อุตส่าห์กลับเป็นปกติก็ร้อนผ่าวขึ้นอีกจนได้ บท จะปฏิเสธอีกฝ่ายก็ทำหน้าจริงจังเต็มที่

…อีกทั้ง… เขาและเธอก็รู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี
ปั่นจําใจฝืนตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ จึงเดิน เข้าหาด้วยทีท่าเรียบเฉยแล้วจับมือข้างนั้นเอาไว้ พร้อม มองหน้าจิณณ์ตรง ๆ ช่วงเวลานั้นความทรงจำตลอดช่วง 7 วันก็ลอดผ่านเข้ามาในหัวของทั้งคู่ ทั้งห้องเงียบกันอยู่ ครู่หนึ่งจนกระทั่ง….

“มันจะนานไปแล้วนะ แอบอ่านอะไรในหัวฉันอีกหรือ เปล่าเนี่ย” ปิ่นถามเล่น ๆ แต่ดูเหมือนจะมีมูลเมื่ออีกฝ่าย ดันหัวเราะ แหะ ๆ ตอบเสียอย่างนั้น

“จริงสิ” จิณณ์ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ละจาก มือเล็กตรงหน้าไปหยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง แล้วยื่น ให้ปั่นที่กำลังทำหน้างงอยู่แต่ก็รับเอาไว้โดยง่าย เจ้าแมว ก็ยื่นคอเข้าดูทำเหมือนจะอ่านหนังสือออกกับเขาเหมือน กัน

“เรื่องรักษามิเรียน่ะ ฝากให้ อ.ฟิเลเน่ ทีสิ” จิณณ์เสริม นั่นทำให้ปิ่นตีสีหน้าแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบาน ออกมา

“วางใจได้เลย!” เธอขานรับเปิดหน้าต่างปล่อยลมเย็น ข้างนอกพัดเข้ามาไล่แรงแอร์ แต่เมื่อเตรียมจะกระโดด เสียงเดิมก็เรียกซ้ำอีกครั้ง

ปิ่นหันกลับไปมองด้วยสีหน้ามู่ทู่
“อะไรอีกล่ะคราวนี้ นายจิณณ์ ?”

เขากำลังเกาแก้มอยู่ด้วยสีหน้าปั้นยาก…เหมือนลังเลอยู่ ว่าจะพูดดีหรือไม่ ก่อนจะกลั้นใจบอกออกไป

“คราวหลังใส่กางเกงแบบนี้ไว้ใต้กระโปรงด้วยจะดีกว่า นะปิ่น”

ปิ่น จากที่กำลังเริงร่าอารมณ์กลับดับวูบอีกครั้ง มิหนำซ้ำ ยังทําให้ปรอทความอายกระโดดขึ้นชนเพดานเสียอีก!

“อีตาบ้าจิณณ์! น่าเกลียดที่สุด!!!” เธอตวาดสุดเสียง พร้อมโยนตัวออกไปข้างนอก ปิดหน้าต่างโครมใหญ่ จนกระจกร้าว พวกนางพยาบาลได้ยินเสียงพิลึกก็รีบ กรูกันเข้ามาอย่างกับในห้องนั้นเป็นสนามรบ แต่สิ่งที่ พวกเธอพบก็คือความว่างเปล่าและคนไข้ที่ฝืนลุกขึ้นมา นั่ง….เหมือนกำลังบังอะไรบางอย่างอยู่…

…มันคือร่องรอยความเสียหายและขนแมว…


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ