บทที่ 13 ผู้สร้างปัญหาและผู้รับกรรม 2
“ปิ่น นี่คิดอะไรของเธอน่ะ” หลังจากผ่านการเดินทางมา นานอักโข ปารย์รีบปิดประตูห้องพักแล้วโวยวาย พร้อม มองค้อนเพื่อนสาวของตนซึ่งนั่งบนเตียงเหม่อมองออก ไปนอกระเบียง ณ หุบเขาสูง ด้านบนมีหิมะปกคลุม… แต่ สายตาคู่นั้นกลับดูเลื่อนลอยเหมือนจะมองผ่านไปอีกไกล โข ที่เป็นแบบนี้จะว่าไปก็ตั้งแต่แอบไปคุยกับคุณคนร้าย บนรถไฟนั่นน่ะแหละ มิหนำซ้ำยังให้เธอช่วยปิดความลับ แล้วลากมาจับคู่นอนด้วยกันแบบนี้อีก…!
“อย่าบอกนะว่าคิดอะไรแผลง ๆ ออกมาอีกแล้ว” ปารย์ ถามกำชับ
“เปล่าสักหน่อย” ปิ่นเลี่ยงที่จะตอบกลับไปตามตรง…
“นี่เธอคิดจะโกหกใครกันปั่น” ปารย์ขยับแว่นตีหน้าขึงขัง ด้วยความสามารถเทเลพาธีของเธอ… หากจะมีคนที่ โกหกเธอได้ อย่างน้อยคนคนนั้นก็ต้องโกหกตนเองให้ได้ ก่อน เช่นเวลานี้… เธอมองเห็นเมฆหมอกแห่งความลังเล แผ่อยู่เต็มศีรษะของคุณเพื่อนอย่างชัดเจน….
ปิ่นทำหน้ายุ่ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นตรงไปเปิดประตู ระเบียง ปล่อยให้ลมเย็นพัดกระจายเข้ามาจนเต็มห้อง…
“เดี๋ยวฉันจะไปบ้านเกิดของจิณณ์หน่อย” เธอว่า
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ที่ฉันอยากรู้คือหลังจากนั้นต่าง หาก” ปารย์แย้งกลับทันควัน คราวนี้หมอกควันแห่งความ ลังเลของปิ่นหายไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงแสงทองแห่ง ความมั่นคง ปิ่นยิ้มบางออกมา
…จนปารย์รู้สึกหวั่นหนักข้อ…
“ถ้ามีเรื่องที่อยากรู้ฉันจะต้องรู้ให้ได้ เธอก็รู้นี่” ปิ่นว่าแล้ว ก็ยิ้มแฉ่ง
“เดี๋ยวปั่น! นั่นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ อย่างน้อยก็ควร ปรึกษากับคุณจิ..!!” ปารย์รีบวิ่งมาห้าม แต่มือที่เธอคว้า เอาไว้ได้มีเพียงอากาศหนาวเหน็บ ส่วนตัวปัญหาทิ้งตัวลง ไปจากระเบียงชั้นสี่อย่างหน้าตาเฉย
“ปั๊ดโธ่!! ฉันยังพูดไม่ทันจบเลยยัยปิ่น!!” ปารย์ตะโกนไล่ หลังไป แต่ไอ้เจ้าแสงทองแห่งความมั่นใจนั่นยิ่งโชติช่วง และเจิดจรัส อีกทั้งเธอก็ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของคนเพียง คนเดียว ที่สามารถห้ามแม่สาวจอมดื้อคนนี้ได้เสียด้วย… ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงมีเพียง…
กลบเกลื่อนแทนคุณเพื่อนและภาวนาให้คุณเพื่อน ปลอดภัย…ก็เท่านั้น
“ความจริงคุณจิณณ์ อยากไปที่นั่นด้วยใช่ไหมล่ะ” สาว สวยผมสีทองยาวระยับขยับแล้วแว่นมองหน้าเขา… คน ที่นั่งใจลอยอ่านเอกสารเพียงหนึ่งหน้า แต่อ่านเท่าไหร่ก็ อ่านไม่จบเสียที สายตาเหมือนจะหลุดออกนอกหน้าต่าง ไปไกลโพ้น
…เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสอง…
“ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ” เขาตอบตามตรง เมื่อเห็นว่า ปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์ “ผมไม่ได้ไปเหยียบบ้านเกิดตัว เองมาร่วมสิบปีแล้ว ”
อาจารย์ฟิเลเน่ชำเลืองมองไปยังโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ เอี่ยมซึ่งวางอยู่ตรงหัวนอน เธอค่อนข้างมั่นใจว่าลูกศิษย์ ของตนไม่มีทางซื้อของพรรค์นี้ได้ชัวร์ ดังนั้นคงต้องมีคน เอามาให้ยืมหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์… และคนที่จะให้ยืมของ แบบนี้ก็คงจะมีเพียงคนเดียว
“ของหนูปิญชาน์ล่ะสิ” อาจารย์สาวเอื้อมมาหยิบไปดู ปรากฏว่ามีระบบเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงภาพ เสียด้วย “อาการอย่างนี้สงสัยกำลังรอโทรศัพท์แหง ถ้า ดูตามตารางเวลาตอนนี้ก็น่าจะถึงเมือง” คุณเธอว่าแล้วก็ หัวเราะแบบไม่เกรงใจใคร
ถึงทั้งห้องจะมีแค่สองคนก็เหอะ!
“ผมสอบเสร็จแล้ว เอกสารของอาจารย์ก็ได้รับแล้ว…. ผมว่าอาจารย์ควรจะกลับไปได้แล้วล่ะ” จิณณ์ตีหน้าบูด ขับไล่ซึ่ง ๆ หน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสะทก สะท้านเลยสักนิด มิหนำซ้ำใบหน้านวลยังฉีกยิ้มกว้างขึ้น อีกต่างหาก
“แหม ๆ กลัวครูขัดคอขนาดนั้นเลยหรือคะ” คุณเธอตอบ กลับกึ่งจริงกึ่งเล่น
แม้จะฟังดูสุภาพแต่มันกลับทำให้ความอดทนจวนเจียน จะขาด จิณณ์หน้าย่นขึ้นอีกระดับ แต่ก่อนที่จะได้โวยวาย อะไรกว่านั้น สัญญาณเรียกเข้าจากโทรศัพท์เจ้าปัญหา ก็ดังขึ้นเสียก่อน อาจารย์สาวยื่นให้อย่างว่าง่าย แต่ไม่ ยอมขยับลุกออกจากที่นั่งสักก้าว จิณณ์ไม่เห็นทางเลือก อื่นนอกจากกดรับสาย ก่อนจะช่าเลืองมองคนด้านข้าง เพื่อถอนหายใจบาง ๆ แล้วใส่คำสั่งให้เชื่อมต่อหน้าจอ ๆ โทรศัพท์กับจอภาพที่ห้อยอยู่กับเตียง
พริบตานั้นภาพก็ปรากฏขึ้นบนจอ มันเป็นทางเดิน โบราณทำจากหิน มีหิมะปกคลุมอยู่บาง ๆ ทางเดินนั้น ทอดยาวเข้าหาหุบเหวลึก และหากข้ามเหวไปได้ก็ยังเจอ หน้าผาสูงลิบขวางกั้นอีกทีหนึ่ง ภูมิทัศน์ที่แปลกขนาดนี้มี เพียงแห่งเดียวในโลก
“El Sol นี่นา!” อาจารย์ฟิเลเน่โพล่งขึ้นเสียงดัง
El Sol หรือชื่อโบราณว่าปราสาทเขาพระวิหารนี้ จาก เปลือกโลกที่เคลื่อนเข้าชนกันเมื่อ 1500 ปีก่อนก่อให้เกิด ปาฏิหาริย์มากมาย เริ่มตั้งแต่การที่ทางเดินครึ่งหนึ่งโดน ตัดขาดจากตัวปราสาทมาอยู่ข้างล่างนี่ ส่วนตัวปราสาท กลับขึ้นไปอยู่บนยอดหน้าผา ซึ่งเป็นเพียงภูมิประเทศ แห่งเดียวในภาคใต้ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี นับเป็นสถานที่ พิสดารเช่นเดียวกับ Sierra Nevada(เซียร่า เนวาดา) ทาง ตอนใต้ของประเทศสเปนในอดีต…
“เป็นไงบ้าง ยังเหมือนเมื่อสิบปีก่อนหรือเปล่า จิณณ์?” เสียงใสทักมาจากในโทรศัพท์ จังหวะนั้นเองที่ภาพ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาว สวมหมวกและชุดไหมพรม พร้อมด้วยกางเกงยีนส์หนา แต่ยังดูทะมัดทะแมง
“ฉันจะไปจำได้ยังไงกันล่ะ มันก็ตั้งกี่ปีแล้ว” จิณณ์ตอบ กลับพลางหัวเราะร่วน ๆ
เด็กสาวในจอยิ้มพลางดีดนิ้ว ภาพก็ค่อย ๆ เคลื่อน บรรจงฉายทิวทัศน์ให้เห็นทั้งหมดเริ่มตั้งแต่กลุ่มนักท่อง เที่ยวที่เดินอยู่ตามทางเดินหิน บ้างก็แอ็คท่าถ่ายรูปกัน ไปตามปกติ ถัดออกไปไม่ไกลนักก็มีศูนย์บริการทางการ แพทย์ตั้งอยู่ด้านข้าง ศูนย์กระเช้าไฟฟ้าซึ่งจะส่งนักท่อง เที่ยวขึ้นสู่ยอดผาโดยง่าย
…ซึ่งนับว่าสะดวกกว่าที่คิดไว้แต่แรก….
ปิ่นเดินลัดเลาะไปตามทางโดยกวักนิ้วเรียกโทรศัพท์ ของตัวให้ลอยตามเพื่อจะไปขอขึ้นไปที่ตัวปราสาท แต่ดู เหมือนว่าในแต่ละวันจะกำหนดกฎเอาไว้ให้ขึ้นไปได้แค่ ช่วงเช้าเท่านั้น ซึ่งมันทําให้สาวน้อยหน้าบูดเล็ก ๆ และหัน หลังให้พนักงานโดยสิ้นเชิง
เธอถือวิสาสะกระโดดข้ามเหวลากโทรศัพท์ลอย เคว้งแหวกอากาศตามไปอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังยืน บนหน้าผาตั้งฉากกับแรงโน้มถ่วงแล้วเดินขึ้นไปง่าย ๆ ท่ามกลางสายตาของพนักงานที่ยืนโวยวายไล่หลัง และ เหล่านักท่องเที่ยวที่ยกกล้องขึ้นถ่ายพร้อมส่งเสียงเชียร์ ฮือฮาให้ลั่นบริเวณ
…กับสองหน่อที่มองจากโทรศัพท์ทางไกล มึนหัวไป หมด… พร้อมกับความรู้สึกเหนื่อยหน่ายอันบันดลแก่ จิตใจฉับพลัน…
“เอ่อ… นี่ปิ่น…” จิณณ์ทักขึ้นเสียงค่อย ปั่นหันมายิ้ม ให้ท่ามกลางฉากหลังสีขาวโพลน กลืนไปกับปราสาทหิน โบราณที่ดูเอียงเล็กน้อย ส่วนทางเดินที่เหลือก็ชี้ไปทาง ทิศอื่นซึ่งไม่ต่อกับด้านล่างสักนิด นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับ การกล่าวขานจากนักธรณีวิทยากันอย่างกว้างขวาง เกี่ยว กับทฤษฎีว่าเปลือกโลกเคลื่อนตัวอีท่าไหนถึงกลายเป็น แบบนี้ไปได้… แต่นั่นยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนนัก พอ ๆ กับ การกระทำของสาวเจ้าเมื่อครู่
“ไหงทำหน้าแปลก ๆ งั้นล่ะจิณณ์?” คุณเธอมักง่ายถาม ทั้งที่เป็นเรื่องที่ตัวเองควรจะรู้อยู่แล้ว!
“สงสารยามข้างล่างชะมัด” จิณณ์บ่นหน้าบูด
“อยู่ที่สูงก็น่าจะหาบ้านของนายเจอง่ายขึ้นไม่ใช่เหรอ?” ปิ่นตอบง่าย ๆ
จะว่าไปมันก็ใช่อยู่หรอก… แต่ว่ามันเกินความจำเป็น ไปมาก ก็ในเมื่อคุณเธอต้องพักอยู่ที่นี่อีกสองคืน พรุ่งนี้ ก็ต้องขึ้นมาบนนี้อยู่แล้วแต่ดันทำตัวเด่นแหกกฎเพื่อขึ้น มา ถึงจะเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นได้ ขนาดนี้…
“จริงสิ เธอพักอยู่ที่ไหนล่ะ” จิณณ์แกล้งถามลองเชิง เพราะดูจากภาพในจอแล้วอีกฝ่ายพยายามฉายภาพ มุมกว้างก็จริงอยู่… แต่กลับไม่ยอมอธิบายอะไรเกี่ยว กับคณะทัวร์ของตนเองเลย อย่างน้อยคนที่สนิทกับเจ้า หล่อนอย่างเมตรากับ ปารย์ก็ไปด้วยทั้งคู่นี่นะ!
ปิ่นยิ้มร่าก่อนจะเลื่อนกล้องไปทางทิศตะวันออก ชี้ ไล่ตามถนนใหญ่ซึ่งทอดยาวขึ้นสู่เนินสูง สุดทางนั้น เป็นคฤหาสน์ใหญ่ดูกำลังคึกคักด้วยกลุ่มเด็กที่เริ่มเดิน กระจายกันออกมาจากตัวอาคาร และเหมือนกำลังจะทำ กิจกรรมอะไรกันสักอย่าง… นั่นทำให้จิณณ์เริ่มขมวดคิ้ว
…แล้วยัยนี่ไม่ต้องไปเข้าร่วมกับเขาหรือไง…
“จากแผนที่ที่เขียนมาให้นี่… บ้านนายน่าจะอยู่ถนนทาง ทิศใต้นี่นะ?” ว่าแล้วภาพก็ค่อย ๆ เคลื่อนหนีไปอีกทาง หนึ่ง ถนนเส้นยาวตัดตรงลงไปจากลานน้ำพุใกล้ทางเข้า โบราณสถาน ถัดออกไปอีกนิดเป็นตลาดนัดมีแต่ผู้คน เดินขวักไขว่ ก่อนจะเป็นเขตห้องแถวและบ้านเรียงราย กันไปตามถนนใยแมงมุมที่เชื่อมกันทั้งหมด
จิณณ์หลับตาลงแล้วลองนึกถึงความทรงจำในอดีต หลายอย่างเปลี่ยนไปมากแต่สถานที่เพียงแห่งเดียวที่เขา ได้อยู่กับแม่ถึงห้าปีก่อนที่ท่านจะเสียไป
…เขาย่อมจําได้…
“จากถนนใหญ่ ซอยที่ทางขวามีโบสถ์ เลยไปจนถึง ร้านสะดวกซื้อ… แล้วเลี้ยวซ้าย” จิณณ์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนหน้าจอก็ซูมแล้วเลื่อนตามคำพูดของเขาแต่หาร้าน สะดวกซื้อไม่เจอ ไม่ทราบว่าเจ๋งไปแล้วหรืออย่างไร “สวน สาธารณะมีรูปปั้นงี่เง่าอะไรสักอย่างอยู่ทางซ้ายมือ ถัด ไปก็บ้านฉันแล้วล่ะ”
ไม่นานนักบนหน้าจอก็ฉายภาพบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง สวนหน้าบ้านรกรุงรัง ไม้เลื้อยไต่ขึ้นจนถึงหลังคาสภาพ คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นบ้านผีสิงเต็มทน
“ใช่ นั่นแหละ!” จิณณ์ยืนยัน “นึกว่าโดนรื้อไปแล้วซะ อีก” เขาว่าแล้วก็หัวเราะ ภาพจับกลับมาที่ปิ่นอีก คุณเธอคิ้วขมวดมุ่น
“กุญแจนี่ยังจะใช้ได้เหรอ?” เธอพูดพลางหยิบกุญแจ ทองเหลืองเงาวับขึ้นมาโชว์ มันช่างเหมือนอยู่คนละมิติ เวลากับคุณบ้านเหลือเกิน
“ใช้ไม่ได้ก็ห้ามพังบ้านฉันล่ะ” จิณณ์กำชับ ก่อนจะเกา หัวยุ่ง ๆ ของตน… “ว่าแต่ระยะขนาดนี้เธอยังใช้พลังได้อยู่ หรือเปล่า…?”
ปิ่นหันมามองหน้าตรง ๆ เป็นครั้งแรก ก่อนจะลองดีดนิ้ว ไปด้านข้าง… ในไม่ช้าลูกบอลแรงดึงดูดสีดำทมิฬก้อนจิ๋ว ก็ปรากฏขึ้น….และสลายไป…
“ดูเหมือนจะมีดีเลย์พอสมควรแฮะ…” เธอตอบ “ว่าแต่… ถามทำไมเหรอ?”
จิณณ์เปลี่ยนสายตาเรียวคมของตนกลับเป็นคนที่อ ๆ ตามปกติอีกครั้ง
“ก็แค่ลองถามดูน่ะ ฉันไม่เคยซิงโครระยะไกลขนาดนี้มา ก่อนเลย” เขาตอบก่อนจะเอ่ยเสริมต่อไปอีกว่า “แต่ถ้ามี ปัญหาอะไรก็… รีบโทรมาเลยนะ”
“ชิ ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงเลยย่ะ คลื่นไส้” ปิ่นหน้าขึ้นสี เลือด โวยกลับทันควันก่อนจะรีบวางสายไปทันที…
“แหม อะไรจะขี้กังวลขนาดนั้นคะคุณจิณณ์ ความจริง พลังระดับ S ปกติก็แทบจะไร้ผู้ต้านอยู่แล้วแท้ๆ” อาจาร ย์ฟิเลเน่รีบแซวทันควันเมื่อการติดต่อสิ้นสุดลง จิณณ์ ถอนหายใจก่อนจะเกาหัว แล้วหันย้อนกลับมามองคุณ อาจารย์… ด้วยสีหน้าจริงจังจนเธอเผลอผงะถอยหลังไป นิดหนึ่งนึกว่าจะโดนเขม่น แต่สิ่งที่ออกจากปากบางบน หน้าเรียบ ๆ นั้นกลับเป็นคำขอร้องพิลึก เช่นว่า…
…ขอไปสูดอากาศบนดาดฟ้าสักหน่อย…
เวลาค่ำคืนในเมืองเล็กกลางป่าเขาทั้งเงียบสงบและ วังเวงด้วยแสงไฟสลัว ตัดกับหมอกและไอน้ำซึ่งกระจาย อยู่ทั่วบริเวณราวกับเป็นแดนสนทยา แสงจันทร์ ดารา บน ฟากฟ้างามงดกว่าคืนใดในเมืองใหญ่… ชายหนุ่มผมสีชา ในชุดแจ็คเก็ตหนังสีดำทั้งตัวนั่งเงยหน้าเหม่อมองฟ้า ปาก พ่นไอเย็นออกมาไม่หยุด และชายหนุ่มผมสีดำตัดสั้น ด้านข้างก็เช่นกัน…
จากจุดที่พวกเขานั่งอยู่ เดินเลยขึ้นเนินไปไม่ไกลนักก็ คือโรงแรมสุดหรูของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
…พวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่…
“ขอโทษทีที่พานายมาลำบากแบบนี้ อลาเบโอ” ลุซเอ่ย เสียงค่อยแล้วก็โยนตัวลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ชายด้านข้าง หันมามองเล็กน้อยก่อนจะลุกตาม แต่ยังไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นกลุ่มชายชุดดำติดเกราะ พร้อมอาวุธ ครบมือก็วิ่งกรูกันเข้าล้อมพวกเขาเอาไว้จากถนนทั้งสอง ด้านเหมือนเปิดทางหนีให้เพียงทางเดียว คือซอยเล็ก ๆ พวกเขารับรู้ได้ทันทีว่านี่คือกับดัก
“ดูเหมือนว่าแกจะโดนหักอกว่ะลุซ” เสียงเล็ก ๆ แว่วออก มาจากตรอกด้านข้างนั้น และไม่ช้าเจ้าของเสียงก็เดิน ออกมา พลางเอามือล้วงกระเป๋าอย่างใจเย็นพร้อมยิ้ม เยาะให้ นอกจากนั้นด้านหลังก็ยังมีคนตามมาอีกสามนาย “โนวา… หรืออีกชื่อคือแม่มดแรงดึงดูด ถึงจะเป็นพลังรูป แบบหายาก แต่มีค่าให้แกต้องเสี่ยงขนาดนี้เชียวหรือ?” หมอนั่นพูดพลางถอดฮู้ดคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นเรือน ผมสีทองเงางามบนใบหน้าอ่อน..
“CASI(คาซี่)… นายมาอยูที่นี่ได้ไง” ลุซว่าแล้วก็กัดฟัน กรอด อีกฝ่ายหัวเราะร่วนก่อนจะขายตามองอลาเบโอที่ อยู่ด้านข้าง
“เลือกทางผิดก็ดวงตกอย่างนี้แหละน่า จะย้ายข้างกลับ มาอยู่กับพวกเราอีกครั้งไหม?” เขาพูดโดยรู้คำตอบอยู่ ก่อนแล้ว… ชายผมดำตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น
ลุซชายตามองผู้มาใหม่ทั้งสี่… ทุกคนเป็นคนที่เขาคุ้น หน้าดีทั้งนั้น เริ่มจากคาซี่ผู้ใช้พลังบังคับการสั่นไหวของ อะตอมระดับ SS ตามมาด้วย ไซโคคิเนซิส acelir เทเล พาธี… ทุกคนมีพลังระดับ S ประกอบกับยามนี้เป็นเวลากลางคืน พลังของเขาย่อมทำอะไรได้ไม่มากนัก โอกาส หนีรอดแทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย…
“ครั้งที่แล้ววอซเกือบโดนเจ้าพวกนั้นจับได้ แต่นึกไม่ถึง เลยจริง ๆ ว่าพวกที่มาคราวนี้จะเป็นแก” ลุซยิ้มบางออก มาแล้วชี้ไปทางพวกกลุ่มชุดดำอาวุธเต็มมือข้างหลัง ทําที เหมือนไม่ยี่หระกับสภาพเสียเปรียบนี้แม้แต่น้อย
“แกต้องขอบคุณพวกมันนา ที่ทำงานกันห่วยแตกสิ้นดี” คาซี่ ว่าแล้วก็จ้องใส่พวกชุดดำข้างหลัง ก่อนจะกลับมา ยิ้มเย้ยใส่ลุซ “แต่คราวนี้รับรองได้ว่านายไม่มีทางหนี”
ลุซเกาหัว แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแก่จิตใจ “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ใจคอไม่คิดจะคุยกันเลยเหรอ ?”
“เอาสิ คุยกันด้วยพลังพิเศษเป็นไง” คาซี่ชูมือขึ้นบนฟ้า สิ่งที่หมุนวนกันอยู่บนนั้นคือดวงแสงไหววูบวาบไปมา แต่ กลับมีไฟฟ้าแลบโดยรอบ… นั่นไม่ใช่เพียงการรวมแสง แบบเดียวกับลุซเลยสักนิด หากแต่เป็นการบังคับการสั่น สะเทือนของอากาศจนเกิดเป็นพลาสมาขึ้นมา… “ถึงเรา จะอยู่ระดับ SS เหมือนกัน แต่ในเวลากลางคืนแบบนี้ แกก็ เหมือนพวกระดับ A ดาด ๆ เท่านั้นล่ะน่า!”
“ก็คงงั้นมั้ง… แต่ขอโทษนะ ที่ฉันยังไม่อยากให้เมือง ต้องถล่มเพราะพวกนาย…” ลุซชูมือเล็งตรงไปยังกลุ่มคา ซี่ พริบตานั้นพลาสมาก็สั่นไหวแปลก ๆ ก่อนจะสลายไป กลางอากาศธาตุ ท่ามกลางความแตกตื่นของกลุ่มชาย ชุดดำ แม้กระทั่งคาซี่เองยังตัวสั่นระริกอย่างไม่อยากจะ เชื่อสายตาตัวเอง
เขาพยายามจะสร้างพลาสมาขึ้นอีกครั้งแต่ก็ยังคงเกิด ความผิดปกติขึ้นซ้ำสอง นายเทเลพาธียืนนิ่งเกร็งอยู่ครู่ หนึ่งก่อนจะกัดฟันชี้หน้าอลาเบโอ
“ฝีมือหมอนั่น!!
พวกกองกําลังพิเศษรีบยกปืนขึ้นประทับบ่าเตรียมยิง อย่างรวดเร็ว เสียงปืนดังระรัวท่ามกลางเมืองเล็ก ๆ อัน เงียบสงบ แต่อลาเบโอกลับใช้มือเปล่าปาดอากาศวาด วงกลมกลางความว่างเปล่า ห่ากระสุนที่พุ่งออกมาหยุดนิ่ง อยู่กลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ก่อนจะดีดกลับไปทาง ไหนทางนั้น ท่ามกลางความแตกตื่นของกองกำลัง พริบ ตาเดียวคนกว่าครึ่งก็ลงไปนอนร้องโอดครวญอยู่กับพื้น เสียแล้ว
“แก… แกไม่ใช่อลาเบโอแล้ว! หรือว่าจะเป็นโบยู!!” คาซี่ โวยลั่นสุดเสียง แต่ไม่มีคำตอบจากสองคนที่เขาเรียก ลุ ซกับชายปริศนาลอยขึ้นไปหยุดยืนอยู่บนอากาศ จังหวะ เดียวกันลูกบอลกลม ๆ สีเทาหม่นขนาดเท่าลูกบอลก็ลอย ลงสู่พื้นเบื้องล่าง พริบตาที่มือขวาซึ่งกำแน่นแบออก ฝุ่นจำนวนมากที่สะสมเข้าไว้ด้วยกันก็ปลิว คละคลุ้งไปทั่วด้วยแรงลม ก่อนที่ทั้งคู่จะบินจากไป หน้าตาเฉย ปล่อยให้พวกที่อยู่ข้างล่างซึ่งยังงงไม่หาย สำลักฝุ่นกันไป
ท่ามกลางความมืดของค่ำคืน ลุซหัวเราะร่าเหมือนคน บ้า ทั้งที่กำลังโดนอะไรบางอย่างฉุดกระชากลากคอลอย ขึ้นฟ้าไป จนทำให้คนด้านข้างขมวดคิ้วลงด้วยความไม่ พอใจ… เธอรู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้ชอบกล…
“สมน้ำหน้าไอ้เจ้าคาซี่มัน เธอนี่เจ๋งจริง ๆ เลย โนวา เลือกใช้พลังได้ชวนปวดหัว จนพวกนั้นยืนที่อกันไปหมด เลย!!” ลุซว่าแล้วกลับไปหัวร่อต่อ
“หุบปากไปเลย!! นายไม่เห็นบอกฉันเลยว่าต้องเผชิญ หน้ากับผู้ใช้พลังจิตเป็นฝูงแบบนั้นน่ะ!!” ปิ่นยิ่งคิดก็ยิ่ง เจ็บใจ เธอต้องมาปลอมตัวเป็นอลาเบโอ ทำเป็นนั่งรอ เหมือนนัดกับตนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ทั้งหมดเพื่อ ล่อให้ผู้ประสงค์ร้ายบุกเข้ามาเล่นงาน
แผนบ้า ๆ พรรค์นี้คนสติดีคงคิดไม่ได้ แล้วถ้าเกิดเธอ บอกปัดปฏิเสธไม่ยอมร่วมแผน ไอ้คนสติไม่สมประกอบ ด้านข้างนี่มันจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไรกัน! สาบานได้ว่า ไม่รอด!!
“เมื่อกี้ทำยังไงนะ… เริ่มจากใช้แรงดึงดูดบิดเบือนศูนย์กลางของพลาสมา ใช้แรงดึงดูดสลับด้านสะท้อน กระสุน ว่าแต่ไอ้ระเบิดฝุ่นนั่นเธอทําอีท่าไหนเนี่ย โนวา!” คนช่างจ้อยังพูดไม่หยุด ทั้งที่ยังไม่พ้นอันตรายมันยิ่ง ทําให้เธอหงุดหงิดหนักข้อ
ความจริงแล้วการที่พวกเธอหนีรอดออกมาได้ง่าย ๆ เป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันเธอได้ไปผูกแรงดึงดูดเก็บไว้ บนยอดปราสาทเผื่อกรณีฉุกเฉิน พอถึงเวลาจึงสามารถ ลากตัวเองกับอีตานี ลอยตรงดิ่งขึ้นมาได้เหมือนเป็นพลัง ทั่วไปของพวกไซโคคิเนซิส
…แต่หลังจากนั้นล่ะ…
หลังจากนั้นเธอก็จนปัญญา จะให้กระโดด ๆ หนีแล้วมัน จะพ้นไหม ถ้าในเมื่ออีกฝ่ายอย่างน้อยต้องมีเทเลพาธี สําหรับตรวจจับ นอกจากนั้นหน่วยย่อยแบบนี้… ยังน่าจะ มีพวกความสามารถเกี่ยวกับการเคลื่อนที่อีกต่างหาก!!
ปิ่นลากจอดลงบนพื้นจนหิมะสีขาวสาดกระจาย ก่อนจะกลิ้งโคโล่ไปหลายตลบ เพราะความรีบร้อนจึง ทำให้บังคับพลังผิดพลาดหย่อนกำลังเพื่อลดความเร็ว ไม่ทัน เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นท่ามกลางความหนาว เหน็บ เวลานี้เธอรู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบไปหมด เสื้อ หนาสองชั้นที่เพียงพอในเวลากลางวันมันไม่ช่วยอะไร เลยในเวลาเช่นนี้ เธอชำเลืองมองไปรอบ ๆ เพื่อหานาย ตัวแสบ พี่แกนอนหน้าคว่ำอยู่บนหิมะดูน่าอนาถเหลือหลาย
“ลุซ ทำบ้าอะไรของนายอีกล่ะ! เข้ามาซ่อนก่อน!!” ปิ่น ตะโกนเรียก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบสนองจึงใช้พลังดูด ให้เข้ามาใกล้ ๆ หมอนั่นถึงกับหมดสติไปเสียแล้ว ทันใด นั้นแสงไฟจากไฟฉายก็สาดส่องอยู่รายรอบเหมือนมีคน กำลังตามหาพวกเธออยู่ แสงจากไฟฉายนั้นไล่ตามเธอ มาเรื่อย ๆ ราวกับรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
…การที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คงต้องเป็นเทเลพาธีเท่านั้น…
ปิ่นชูมือเล็งตรงไปข้างหน้าหมายจู่โจมใส่คู่ต่อสู้ แต่อีก ฝ่ายกลับรู้ทันและหยุดก่อนเข้าระยะนิดหนึ่ง
“ใจเย็น นี่ฉันเองปิ่น” เสียงนั้นช่างคุ้นหูเธอนัก… แต่มัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนนั้นจะมาอยู่ที่นี่เวลาแบบ นี้!
โดยไม่ต้องรอให้เธอขานตอบ เขาก็เดินกระโพลกกระ เพลกเข้ามา ทั้งที่ขายังใส่เฝือกอยู่… ด้านข้างมีอาจาร ย์ฟิเลเน่ สาวสวยตาหมีแพนดาผู้นั่งสลดอยู่กลางอากาศ พร้อมด้วยนายตัวโตผมแดงโบยู และแม้กระทั่งคนที่เธอ ปลอมตัวเป็น… จนกระทั่งเมื่อสักครู่
“บอกแล้วไงถ้ามีอะไรให้รีบโทรมาทันทีน่ะ” จิณณ์พูด ปนตำหนิ แต่ก็ไม่ถือสาเอาความมากนัก ซ้ำยังยื่นผ้าห่มที่เตรียมไว้มาให้เหมือนกับมองออกล่วงหน้าแล้ว ก่อนจะ เดินเข้าหาลุซที่เพิ่งลุกขึ้นมายืนตั้งแต่เมื่อครู่
หมอนั่นยิ้มร่าเหมือนดีใจที่มีคนมารับ ก่อนจะได้รับ กําปั้นแข็ง ๆ เข้าตอบแทนเต็มกราม จนปากแตกล้มลงไป นอนกลิ้งกับพื้นอีกรอบ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุก คนในที่นั้น แม้แต่อลาเบโอยังทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเข้ามาล็อคจิณณ์เอาไว้
“ฉันมองนายผิดไปจริง ๆ ลุซ! ตัวเองเสี่ยงคนเดียวไม่พอ ยังจะลากคนอื่นมาตกระกำลำบากไปด้วยแบบนี้!!” จิณณ์ ชี้หน้า ตวาดใส่คนที่นั่งกุมหน้าตนเองซึ่งกำลังจ้องตอบ ด้วยตากระพริบปริบ ๆ ก่อนที่สายตาสีครามของลุซจะ อ่อนลงและก้มลงมองพื้นเหมือนคนสำนึกผิด
“ขอโทษ… ถ้าฉันไม่ยอมทำตามแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบ นี้หรอก” สาวผมดำเป็นเพียงคนเดียวที่ขอโทษมาตลอด ทาง ซึ่งนั่นมันทำให้จิณณ์รู้สึกเหนื่อยใจชอบกล… ถึง เธอจะเป็นคนเดียวที่สามารถแฮคระบบทั้งหลายได้ แต่ ทั้งหมดก็เป็นเพราะคำสั่งของไอ้คุณหัวหน้าขบวนการที่ ทําอะไรไม่คิดต่างหาก ถ้าไม่มีคนมาขวาง… เขาก็อยาก จะตอกส้นใส่กลางกระหม่อมด้วยเฝือกแข็ง ๆ นี่ชะมัด!
“นี่คุณจิณณ์ เรื่องนั้นนะค่อยว่ากันทีหลัง เราน่าจะรีบ หนีกันได้แล้วนะ” อาจารย์ฟิเลเน่ออกความเห็น แต่จิณณ์ กลับคิ้วขมวดมุ่นหนักกว่าเดิม…
“ถ้าหนีปิ่นอาจจะโดนสงสัยเอาน่ะสิครับ เพราะงั้น…” จิณณ์หันไปสบตาปิ่นนิดหนึ่ง “เธอพาอาจารย์ฟิเลเน่กลับ โรงแรมไปก่อนดีกว่า”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ก็ในเมื่อเรื่องนี้ฉันเอง..” ปิ่น พูดแล้วก็ชะงักไป “…ฉันก็เป็นคนก่อปัญหาเหมือนกันนะ”
“ขอร้องล่ะปิ่น” จิณณ์ย้ำด้วยเสียงหนักแน่นจนปั่นไม่ กล้าปฏิเสธอีกต่อไป เธอจำใจเดินเข้าหาอาจารย์ฟิเลเน่ แล้วเดินหลบออกไปด้วยกันก่อนจะมองย้อนกลับมาหา จิณณ์ “กุญแจบ้านนายอยู่กับฉัน… อย่าลืมล่ะ” เธอกำชับ ก่อนจะหายตัวไป…สถานที่นั้นเงียบเชียบลงถนัดตา
“เอาล่ะ… แล้วทีนี้เราจะทำยังไงต่อครับท่านผู้นำ” ลุซ แกล้งแซวทำให้จิณณ์คิ้วกระตุกเล็กน้อย… แต่ในเมื่อ เวลาแทบจะไม่มีจึงหมดทางเลือก สิ้นทางคิดแค้นอะไรได้ สาระ
“ก่อนอื่นเลย นายต้องทำให้คนอื่นเห็นฉันเป็นวอซ” จิณณ์โพล่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ณ ที่นั้นแทบทุก คนยืนงงกันอยู่ครู่หนึ่ง จะมีก็เพียงซิลเวียที่ตบมือแล้วยิ้ม ร่าออกมาเนื่องจากเริ่มเข้าใจแล้วว่า เขาคิดอะไร…
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ