ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 12 ผู้สร้างปัญหาและผู้รับกรรม 1



บทที่ 12 ผู้สร้างปัญหาและผู้รับกรรม 1

ในห้องคนไข้ยามสาย แสงอาทิตย์จ้าจนต้องเลื่อนมู่ลี่ ไม้ไผ่ลง… เด็กหนุ่มผมสีกาแฟแก่นั่งอยู่บนเตียง จ้องจอ คอมซึ่งห้อยลงมาจากเพดานด้วยทีท่าไม่ใส่ใจนัก ด้าน ข้างมีอาจารย์สาวผมทองนั่งไขว่ห้างมองเขาอยู่โดยไม่ วางสายตา… ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเซ็ง

“นี่คุณจิณณ์ ทําไมจงใจทําข้อสอบให้ผิดเยอะขนาดนี้ ล่ะ?” เธอถาม จิณณ์ได้แต่มุ่ยหน้าตอบ

การทักท้วงนี้… มันจะไม่แปลกเลยหากนี่ไม่ใช่เวลาสอบ และยัยอาจารย์คนนี้ก็คือคนคุมสอบ!

“พูดอย่างนี้มันจะดีเหรอครับอาจารย์” จิณณ์พูดบ่นบ่น ก่อนจะหันกลับไปตอบคำถามตรงหน้าอย่างมักง่าย

“ครูเข้าใจแล้วทำไมคุณถึงได้คะแนนกลาง ๆ แทบทุก วิชา…”

“แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้วครับ ข้อสอบของโรงเรียนเรามัน ยากกว่าที่อื่นนี่นา ไม่ต้องให้คะแนนสูงมากก็เอาไปเทียบ เข้าคณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้สบาย อยู่แล้ว” เขาว่าแล้วก็หัวร่อ ซึ่งมันยิ่งทำให้คนคุมสอบเซ็ง ขึ้นอีกหนึ่งระดับ

“ว่าแต่เรื่องลิมิตเตอร์นี่คิดว่าเป็นไปได้หรือเปล่าครับอฟิเลเน่?”

“แหม คิดว่าครูเป็นใครจ๊ะ” คุณเธอกอดอกขานรับอย่าง มาดมั่น

สําหรับคำถามนี้เขานึกไม่ออกว่าจะตอบอะไรได้ มากกว่า “เป็นนักวิจัยคนหนึ่งที่โดนไล่ออกมาสอนสังคม เด็ก” แต่ใจหนึ่งก็เกรงว่าชีวิตอันมีค่าจะหาไม่ จึงต้องทน เงียบเอาไว้ สายตาเริ่มไกลจากข้อสอบเต็มทนกดตอบไป โดยไม่มองหากแต่ไปจับจ้องอยู่ที่กองกระดาษหนาเตอะ ในกระเป๋าผ้าแทน…

“สนใจเหรอ” อ.ฟิเลเน่พูดพลางยิ้มออกมาเหมือนอ่านใจ อีกฝ่ายออก “บันทึกลับของวาร์ลเดนน่ะจ้ะ เป็นส่วนที่ไม่มี ใครแปลออกจึงยังไม่เคยเผยแพร่ออกไป

จิณณ์พยักหน้าแล้วเอื้อมไปหยิบมาลองดูสักแผ่นหนึ่ง ก่อน… การทําข้อสอบเริ่มมั่วขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นชวนให้เวียนหัวยิ่ง มันเป็นทั้งกราฟ มั่วซั่ว ที่มีตัวแปรพิสดารกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด จิณณ์เงียบไปครู่หนึ่ง สมาธิทั้งหมดหยุดลงกับกระดาษ ตรงหน้าก่อนจะหยิบแผ่นต่อ ๆ ไปมาวางเรียงกันใหม่

“ลม” เขาโพล่งออกมา รอยยิ้มที่ผุดออกมาแสดงทั้ง ความดีใจและความประหลาดใจออกมาพร้อมกัน หยาดเหงื่อหยดลงมาสองข้างแก้ม มือข้างนั้นสั่นระริก…

“เอ๋? ลมอะไรเหรอ?” อ.ฟิเลเน่ถามด้วยความสงสัย หลังจากชายที่ชื่อวาร์ลเดนได้เขียนสิ่งเหล่านี้เอาไว้เมื่อ ประมาณ 1500 ปีก่อนโดยไม่ให้วิธีถอดรหัสมาด้วยทุกสิ่ง ก็นํามืดมาตลอด แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับสูง ก็ยัง ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าร้องเตือนแจ้งข้อความ ‘error’ ถ้าหากมีคนตีความของพวกนี้ได้รับรองดังไม่รู้เรื่องแน่!

“นี่เรียงกันมายังไงเนี่ยมั่วชะมัด” จิณณ์รวบกระดาษ เข้าด้วยกันก่อนจะยื่นกลับให้ อ.ฟิเลเน่ ซึ่งนั่งตัวสั่นเกร็ง เพราะความตื่นเต้นที่ทวีกำลังมากยิ่งขึ้น

จิณณ์ถอนหายใจก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วทิ้งตัว ลงนอน บรรจงเลื่อนจอคอมให้มาอยู่ตรงหน้า แล้วเริ่มทำ ข้อสอบต่อไปทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น

“ข้อแลกเปลี่ยนกับลิมิตเตอร์นี่น่าสนุกกว่าที่ผมคิดไว้ เยอะเลยแฮะ” เขาพูดแทรกพลางชายตามองหญิงสาว ด้านข้างแล้วยิ้มออกมา “แต่จะให้อ่านละเอียดได้สงสัย ต้องรอให้ปิ่นกลับมาก่อนครับ ตอนนี้ผมซิงโครอยู่เลย ใช้พลังไม่ได้ แล้วก็… ยังไม่อยากถอนคืนซะด้วยสิ” เขา อธิบายเสริมก่อนจะทําหน้ายุ่ง…

“อ้าว เด็กคนนั้นไปไหนเหรอ?”
จิณณ์หัวเราะร่วน แต่ก็ไม่ตอบอะไรอีกสายตามองลอด ช่องไม้ไผ่ออกไปข้างนอก…

ณ ท้องฟ้ากว้าง งามระยับดุจอัญมณีเลอค่า…

…โลกใบนี้… หากเอาแผนที่เดิมจากยุคก่อนมากาง ซ้อนกันก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน สำหรับแถบ เอเชียนี้… แผ่นเปลือกโลกอินโด-ออสเตรเลีย และแผ่น เปลือกโลกยูโรเซียนเคลื่อนมาเกยทับกันทางภาคใต้ ส่วนทางภาคตะวันออก แผ่นดินส่วนหนึ่งก็ถูกกลืนกิน ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ อารยธรรมและ เทคโนโลยีเก่าแทบจะสูญสิ้นจากการเปลี่ยนแปลงอย่าง ฉับพลันในครั้งนั้น

แต่ด้วยความพยายามของมนุษย์ผู้ไม่ยอมย่อท้อต่อ อุปสรรคต่าง ๆ ผู้คนที่รอดชีวิตต่างก็รวมตัวกันเพื่อค้ำจุน ซึ่งกันและกัน

อารยธรรมเองก็เช่นกัน…

แม้สิ่งมีค่าแห่งอดีตจะล่มสลายไปเป็นจำนวนมาก แต่ ส่วนที่เหลืออยู่บางแห่งก็ได้รับการเสริมค่าให้อย่างน่า อัศจรรย์ เช่นปราสาทเขาพระวิหาร…. ปราสาทโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และได้รับการระบุว่าเป็นปราสาท โบราณที่สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน จากการเคลื่อนตัวของ เปลือกโลกครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตามข้อมูลจากบันทึกที่เหลืออยู่ได้รับการ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.1432…

“ไงจ๊ะปิ่น อ่านอะไรอยู่เหรอ!” เมตราไม่ว่าเปล่า เอา หมวกหูแมวครอบหัวเด็กสาวที่นั่งเงียบอ่านหนังสืออยู่ริม หน้าต่างรถราง และไม่สนใจจะคุยกับใครแม้แต่น้อย ปิ่น หันไปกระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเพื่อนของตนเล็กน้อย ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือต่อ

“ก็หาข้อมูลสถานที่ที่จะไปสักหน่อยน่ะ” ปิ่นตอบ

“อะไรกัน ข้อมูลน่ะใช้คอมกดดูเร็วกว่าเยอะเลยนะ” เม ตราทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เลื่อนมือไปสัมผัสหน้าจอคอมตรง ที่นั่งข้างหน้า พริบตาเดียวภาพถ่ายดาวเทียมก็ปรากฏขึ้น จั่วหัวด้านบนว่า ‘más cercano AL SOL(มาส เซกาโน่ อัล โซล)’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกในปัจจุบัน และเพียงสะกิดจออีกนิด เดียวรายละเอียดก็เลื่อนลงมาให้อ่านพร้อมสรรพ

แต่มันไม่ทําให้คนที่นั่งอ่านหนังสือเก่ากึกสนใจแม้แต่

น้อย

“หนังสือนี่มันมีอะไรดีขนาดนั้นน้า” เมื่อโดนเมินมากเข้า เมตราก็เริ่มเป็นฝ่ายสนใจเสียเอง

“ก็คนเขียนเขาตลกดีออก” ปิ่นว่าพลางเปิดหน้าถัดไปซึ่งเป็นรูปที่นำมาต่อกันแบบพาโนรามา ชายผมสีน้ำตาล อ่อน ชุดโทรมสนิทเหมือนเพิ่งผ่านทางวิบากมายืนกาง แขนกางขารับแสงแดดยามเช้าบนกำแพงปราสาท และ ด้านหลังมีกลุ่มคน สะพายเป้รุงรังพยายามจะเข้าห้าม ภาพมุมกว้างที่เจริญหูเจริญตากอรปกับอารมณ์ขันซึ่ง แฝงไว้ทำให้เธอยิ้มบางออกมา

..ก่อนจะมีเสียงชัตเตอร์กล้องทำงาน..

“เอ๋?” ปิ่นกับเมตราหันไปมองพร้อม ๆ กัน

ไม่ทันไรเครื่องปรินท์เตอร์ตัวจิ๋วตรงที่นั่งห่างไป 3 แถว ก็เริ่มทํางาน ภาพเด็กสาวตัวน้อยกำลังอ่านหนังสืออย่าง สบายอารมณ์ก็ร่วงผล็อยลงสู่เบาะ

“ขายด่วน เร่เข้ามา! รูปปิญชาน์สวมหูแมวแถมนั่งยิ้ม หา ยากยิ่งกว่าแรร์ไอเท็มในตำนานเสียอีก!!”

“เฮ้ย!!” ปิ่นปิดหนังสือลุกพรวดหน้าแดงขึ้นฉับพลัน

…โดยลืมถอดหมวกหูแมว…

เสียงชัตเตอร์ดังระรัวจากทุกทิศ กว่าปิ่นจะรู้สึกตัวถอดหู ออกเด็กหนุ่มแต่ละคนก็หันไปแลกรูปผ่านมือถือกันอย่าง สนุกสนาน
“เดี๋ยวสิ พวกนายทำอย่างนี้มันถูกที่ไหนยะ!!” เมตราโวย ลั่นรถไฟตู้พิเศษ แต่ละคนหันขวับมามองกันเป็นแถว… ก่อนที่เธอจะยิ้มร่าขึ้นมา

“ถ้าฉันไม่เอาหมวกนั่นสวมให้ปั่นพวกนายจะได้ภาพมะ เอาส่วนแบ่งมาซะดี ๆ”

“เมตรา!!”

ปิ่นตวาดลั่น ตอนแรกเธอนึกว่าคุณเพื่อนจะออกตัว ปกป้อง ที่ไหนได้ดันตั้งตัวเป็นหัวโจกเองเสียอย่างนั้น!

“แหมคิดมากน่าปิ่น” เมตราพูดแล้วตบบ่าปิ่นเบา ๆ “คราวหลังจะหาหมวกหมีมาให้ก็แล้วกัน” คุณเธอเอ่ย เสริมด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ เริ่มพ่น หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

เสียงอึกทึกแน่นเอี๊ยดเต็มรถไฟฟ้าตู้พิเศษที่มีแต่ นักเรียนเนืองแน่นนั้น ตัดกับบรรยากาศเงียบสงบของทุ่ง ร้างภายนอกโดยสิ้นเชิง ขุนเขาสูงข้างหน้าอยู่อีกไม่ไกล นักดูดุจกำแพงขวางทางสู่อีกโลกหนึ่ง…นั่นคือจุดหมาย หลักของการทัศนศึกษาครั้งนี้…

หลังจากนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงต่อเนื่องกันมาร่วมสอง ชั่วโมงเต็ม สิ่งที่รออยู่ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์นัก เนื่องจาก นักเดินทางต้องเปลี่ยนไปนั่งรถรางอืดอาด เพื่อจะลัดเลาะภูเขาเข้าสู่วังวงกตแห่งธรรมชาติอันสลับซับซ้อน สองข้างทางมีเพียงหุบเหวลึก ธารน้ำตก และผืนป่า… แต่ แม้จะเป็นภาพที่วิจิตรตระการตาเพียงใด เมื่อเวลาผ่านไป อีกเพียงแค่ชั่วโมงกว่าพวกเด็กส่วนใหญ่ก็เลิกความสนใจ หากหันไปคุยหรือเล่นเกมกันไปตามปกติ ซึ่งนั่นทําให้ปั่น เอือมเล็ก ๆ ดึงเสื้อไหมพรมแขนยาวมาใส่ทับอีกชั้นแล้ว เดินหลบออกไป เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ใส่ใจค่า ทักทายจากใครอีก…

บนรถรางขบวนยาว ครึ่งหนึ่งเป็นคณะนักเรียนในระดับ ม. ต้นปี 3 ของโรงเรียนฮาลอง แต่จากการเดินลัดเลาะ ไปตามแต่ละตู้ของรถรางนี้ ก็ยิ่งทำให้ปิ่นมองเห็นสิ่งผิด สังเกตมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่จำนวนคนที่น้อยเกินไปสัก หน่อย… นั่นก็เพราะว่าทริปนี้ หากจะว่าไปก็ค่อนข้างฉุ กละหุก เมื่อไม่มีการแจ้งล่วงหน้าอย่างเพียงพอย่อมทำให้ เด็กหลายคนไม่สามารถมาได้… ทั้งที่ให้ข้ออ้างว่าเดิน ทางเพื่อศึกษาอารยธรรม ส่วนหนึ่งของวิชาสังคมภาค ปฏิบัติก็เถอะ

สิ่งที่น่าสงสัยข้อต่อไปก็คือ… สถานที่ที่พวกเธอกำลังจะ ไปนี้ ‘มันไกล’ ซึ่งมันออกจะมากเกินไปสําหรับการเรียน นอกห้องเรียนตามปกติ

ปิ่นชายตามองตู้ขบวนท้าย ๆ ที่ค่อนข้างว่างเปล่า นัก เดินทางส่วนมากที่เธอเห็นแต่งตัวค่อนข้างจะไร้ระเบียบ และมอมแมม ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขากะจะมาปืน เขาเข้าป่ากันอย่างจริงจัง… และนั่นเป็นเรื่องปกติสามัญสําหรับพวกเขา

เมื่อนำมาเทียบกับโรงเรียนของเธอ… ที่เป็นแหล่งรวม คุณหนูคุณชาย แต่โดนจับมาเข้าป่าแบบนี้มันก็ชวนสงสัย ไม่น้อยว่าไม่มีวิธีการผลาญเงินรูปแบบอื่นแล้วหรือ!?

ปิ่นคิดไม่ทันจบก็เดินมาถึงตู้พักสุดท้ายซึ่งไม่มีใครอยู่ เลย เธอตรงรี่เข้าเปิดประตูสู่จุดชมวิวท้ายขบวน ซึ่งเป็น เพียงแท่นเหล็กติดล้อ และมีรั้วล้อมรอบเป็นปราการด่าน สุดท้ายกันมิให้พวกช่างหาเรื่องตกลงเหวไป

อากาศเย็นเยียบข้างนอกพร้อมสายลมแรงที่ร้องหวีด หวิวไม่ขาดสาย นั่นทำให้ปิ่นอยากปิดประตูแล้วเดินกลับ สู่เขตอบอุ่นในทันที ถ้าตรงนั้นไม่มีใครบางคนในชุดหนัง สีดำขลับยืนนิ่งเกาะรั้วอยู่ตามลำพัง..

เขาหันมายิ้มให้อย่างคุ้นเคยก่อนจะถอดแว่นกันลม โบกมือไหว ๆ เรียก แต่ปิ่นทำได้แค่ตีหน้าเบื่อโลกตอบ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าตาหัวหน้าใหญ่ผู้ก่อการร้ายมันจะซื้อ ได้เพียงนี้…!

“ทำหน้าแบบนี้ ฉันเสียใจแย่…” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวทำเป็น คอตกเลียนแบบใครบางคน ชวนให้หมั่นไส้เล่นเสียอีก
“ขอโทษ ฉันผิดเองแหละที่เดินมาตรงนี้” ปิ่นตัดบทฉับ เดียวขาดสะบั้นแถมเดินถอยหลังกลับ แต่ก่อนจะได้ดึง ประตูปิด ลุซก็วิ่งหน้าตั้งมาดึงประตูเอาไว้

“เดี๋ยวสิ โนวา ฉันว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับผู้ก่อการร้าย ถอยไป!”

“แล้วถ้าเกี่ยวกับพวกชุดดำที่ยิงจิณณ์ล่ะ!”

ลุซยิงประโยคเด็ดทำให้การชักกะเย่อประตูหยุดลงฉับ พลัน ฝ่ายเด็กสาวยังทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ แต่ ก็ออกทีท่าลังเลอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเธอมองไป รอบ ๆ แต่ก็ไม่พบใครอื่นอีก อีกทั้งคนตรงหน้านี่ก็ดูท่าจะ เป็นตัวจริง…ไม่ใช่ภาพลวงตาเช่นที่เคยเป็นเสียด้วย…

“ฉันจะทำให้เธอได้เห็นความจริง” ลุซพูดย้ำอย่างหนัก

แน่น

“ฉันไม่มีทางเชื่อคนที่คิดว่าชีวิตคนอื่นไร้ค่าหรอก” ปิ่น ย้อนกลับ แววตาดุขึ้นฉับพลัน ลุซตีหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบมือเหมือนเพิ่งจะนึกได้ ใช่… ครั้งแรกที่เจอกัน นั่นเอง

เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
“มีอะไรน่าขำนักหรือไง!” ปิ่นตะคอก ยื่นมือขึ้นเล็งตรง อกของชายหนุ่ม แต่ก่อนจะได้ทำอะไรมากกว่านั้นเขาก็ โพล่งขึ้นมาว่า

“ประทัด”

“อะไร…นะ…?”

“ไอ้ทอลาเบโอเทเลพอร์ตมาตอนนั้นมันแค่ประทัด เท่านั้นเอง โนวา” ลุซว่าพลางหัวเราะไปพลาง นั่นทำให้ เด็กสาวข้างหน้า รู้สึกหน้าร้อนฉ่าทั้งที่อากาศเย็นเยียบ มือเล็ก ๆ สั่นระริก

“ตกลงนายไม่มีอะไรจะสั่งเสียแล้วใช่ไหม?” ปิ่นพูด พลางแสยะยิ้มขึ้น พริบตานั้นลุซสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่าตัว ลอย ๆ ชอบกลเมื่อต้องลม เขาตาเบิกโพลงรีบคว้าประตู เอาไว้แต่ไม่ทัน ต้องหันไปคว้ารั้วเหล็กเป็นเชือกฟางเส้น สุดท้ายของชีวิตแทน แต่ก็คงรั้งได้ไม่นานเพราะตัวเขา ชักจะเบาขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวสะบัดไปมาเหมือนเป็นแค่เศษ กระดาษแผ่นหนึ่ง!

“เดี๋ยวสิ โนวา! นี่จะฆ่ากันจริง ๆ เลยเหรอ!!” ลุซเงย หน้าขึ้นตะโกนลั่น แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กตัวน้อยยืน กอดอกเบิกรอยยิ้มบางให้ เส้นผมยามต้องแสงออกสีแดง ฉานสยายออกไปตามแรงลม… ดูราวกับไฟที่กำลังลุก โชติช่วง
“ใครจะฆ่าใครเหรอ?” เธอเอ่ยถามเสียงหวาน “น้ำหนัก แค่ 1 กิโลกรัม ต่อให้ปลิวตกลงไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา… ถ้า ไม่หลงป่าตายไปเองล่ะก็นะ”

“เฮ้ย ๆ คงไม่เอาจริงหรอกนะนั่น” ลุซถามพร้อมยิ้มแหย

“อ๋อ หน้าตาฉันเหมือนคนกำลังล้อเล่นงั้นสินะ” ปิ่นผยัก หน้าหงิก ๆ

“โนวา! ครั้งนี้ฉันมาคนเดียวจริง ๆ และไม่มีเจตนาหลอก ลวงอะไรทั้งนั้นแหละน่า เชื่อกันหน่อยเหอะ!” ลุซโวยวาย “เธออยากเจอเจ้าพวกชุดดำไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยได้นะ!” เขาพูดต่อให้จบด้วยเสียงสั่นพอ ๆ กับมือที่เกาะราวอยู่ซึ่ง ชาไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนคุณเด็กสาวข้างหน้าจะไม่มี จิตคิดทําบุญกุศลเลยแม้แต่น้อย ในไม่ช้าความสามารถ ในการยึดเกาะของเขาก็หมดลง ชายตัวโตลอยเคว้งหมุน ติ้วอยู่กลางอากาศเหมือนว่าวที่ไร้สายพร้อมเสียงร้อง โหวกเหวกโวยวายลั่นหุบเขา

ปิ่นดีดนิ้วส่งสัญญาณเบา ๆ พริบตานั้นแรงดึงมหาศาลก็ ลากลุซลอยกลับมา ติดอยู่กับบานประตูที่ปิดสนิทบนรถ รางในสภาพใช้ศีรษะยืน ไม่ช้าแรงดึงนั่นก็ขาดสะบั้นลง ส่งให้คนดวงตกร่วงลงจูบพื้นเหล็กเย็นเฉียบ… เด็กสาว เดินกอดอกเข้าหาพลางหรี่ตาเล็กลงเพื่อจับผิด…
แต่ดูเหมือนว่า… คราวนี้ชายข้างหน้าตนจะพูดความจริง เพราะไม่อย่างนั้นคุณเทเลพอร์ตที่ตามติดแจจะต้องตาลี ตาเหลือกเข้าไปช่วยแล้วแน่ ๆ

“ตกลงพวกนั้นเป็นใครกันแน่” ปิ่นพูดเสียงแข็ง

“เธอนี่น่ากลัวชะมัด…” ลุซลุกขึ้นนั่งพลางเกาหัว ใบหน้า ยู่ยี่อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “แต่ให้ฉันเล่าไป… เธอก็ คงยังไม่เชื่อหรอกจริงไหม”

ปิ่นพยักหน้าตอบ…

“เพราะงั้นฉันถึงต้องจัดทริปนี้ขึ้นมาไงล่ะ” ลุซลุกขึ้น ยืนแล้วจ้องหน้าปิ่นตรง ๆ สายตาสีแดงคู่นั้นไม่ฉายแวว สับสนหรือแปลกใจเลยสักนิด… “นี่เธอเดาได้อยู่แล้วเห รอ…น่ะ?” เขาเป็นฝ่ายสงสัยเสียเองจนอดถามไม่ได้

“ตอนแรกก็แค่สงสัย แต่พอเห็นหน้านายความคิดมัน ก็เชื่อมกันพอดีน่ะสิ” ปิ่นถอนหายใจแล้วตอบตามตรง เพราะทุกอย่างมันบังเอิญจนเกินไป ทางโรงเรียนไม่มี เหตุผลเลยที่จะจัดทัศนศึกษาในช่วงเวลาแบบนี้ แถม ยังมาไกลขนาดนี้ รวมทั้ง…เมืองที่กำลังมุ่งหน้าไปนี่ ยัง บังเอิญเป็นบ้านเกิดของจิณณ์อีกต่างหาก…

แสดงว่ากลุ่มของหมอนี่สืบเรื่องราวของเธอและจิณณ์ มาจนละเอียดยิบ ก่อนจะวางแผน… อะไรสักอย่างแล้วแฮคเข้าระบบของโรงเรียน จัดตารางพรรค์นี้ขึ้นมาให้ทุก อย่างเดินไปตามบท

ซึ่งมันทําให้เธอมองคนข้างหน้าห่างไกลจากคําว่า คนร้ายไปทุกที ส่วนคําที่เข้ามาแทนที่เห็นทีจะไม่พ้นคำว่า ‘โรคจิต’

เธอแอบด่าในใจเสียงยังสะท้อนไปมาในหัวไม่ทันหายดี คนโรคจิตก็ยื่นนามบัตรโรงแรมให้ ปิ่นรับเอาไว้แล้วพลิก ดู ข้างหลังมีทั้งหมายเลขห้องและเบอร์โทรศัพท์สําหรับ ติดต่อเอาไว้… ลุซยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วเดินกลับไปยืนพิง รั้วชมวิวดังเช่นคราแรกที่เดินมาพบ แม้ปีนมีเรื่องอยาก ถามอีก แต่เมตรากับปารย์ก็เดินมาตามเมื่อเห็นว่าเธอ หายตัวไปนานผิดปกติ

ปีนไม่อยากให้คนอื่นต้องคิดมากตนจึงเดินเข้าหา ทั้งคู่อย่างว่าง่าย ชั่วแวบสุดท้ายที่หางตาชำเลืองมองชาย หนุ่มในชุดดำ… แม้เธอจะไม่มีความสามารถมองจิตใจ ของผู้อื่น แต่สิ่งที่เธอเห็นก็คือความโดดเดี่ยวซึ่งถักทอ เรียงร้อยเข้าด้วยกัน

…กับภาพทิวทัศน์หุบเขาสูงที่มียอดสีขาวโพลนเพียง หนึ่งเดียวตลอดทั้งปีทางตอนใต้ของแคว้นมีเทร์

…สถานที่ซึ่งพวกเธอกำลังมุ่งหน้าไป…


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ