ผู้สานต่อห้วงเวลา

บทที่ 4 ลากันทีความสงบ



บทที่ 4 ลากันทีความสงบ

จากยุคหนึ่งที่มนุษย์เกือบจะล่มสลายไปจากโลกใบนี้ แต่ด้วยความทรหดอดทนและวิวัฒนาการ ทำให้มนุษย์ ส่วนหนึ่งมีความสามารถทางจิตสูงขึ้น ช่วยให้ ‘มนุษย์ยุค ใหม่’ ก้าวข้ามหายนะครั้งเลวร้ายที่สุดมาได้ มนุษย์เลิกให้ ความสนใจกับวิทยาศาสตร์ที่เกินพอดี หากเลือกพัฒนา เกี่ยวกับพลังจิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากมนุษย์เพียงหยิบ มือที่สามารถควบคุมพลังจิตได้ดั่งใจ ขณะนี้เวลาล่วงเลย มากว่าพันปี วิวัฒนาการดังกล่าวพลิกโลกของมนุษย์ให้ กลับด้าน

…….ปัจจุบันปี After Nauzca (AN) ที่ 1412 ประชากร ของโลกใบนี้กว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 720 ล้านคน สามารถใช้พลังจิตได้….

หนึ่งในพลังแห่งต่านานซึ่งจากประวัติศาสตร์เกินกว่า 1000 ปี มีผู้ใช้พลัง ‘Conexión'(คอนเน็คซ้อน) ซึ่งก็คือ ความสามารถ ที่จะใช้พลังของตนในการทำสัญญากับ บุคคลอื่น เพื่อเลียนแบบคลื่นสมองให้เป็นแบบเดียวกัน กับบุคคลอื่น และส่งถ่ายพลังของตนให้กับ ‘ผู้ทำสัญญา’ ส่งผลให้ พลังของผู้ทำสัญญาเพิ่มสูงขึ้น ตามพลังของผู้ ใช้ ‘Conexión’

บุคคลแรกที่บันทึกไว้คือชายผู้อุทิศตนให้กับการวาง รากฐานของยุคใหม่ เดินทางปลูกสัมพันธ์ของผู้คนแต่ละ ท้องถิ่นให้แน่นแฟ้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากการกระ ทำนั้นทำให้ ‘ยุโรปและเอเชียตะวันออก-ตะวันออกเฉียงใต้ ที่เหลือรอดผูกพันกันแน่นแฟ้น ในเวลาต่อ มา..

มือเล็กพลิกหน้าหนังสือผ่าน ๆ จนกระทั่งมีรูปของชาย คนนั้น…. จากภาพถ่ายเป็นตอนที่เขากำลังขี่หมีขาวตัว โต… โดยมีพรรคพวกของพี่ท่าน… ชายตัวโตพอ ๆ กับหมี ๆ กําลังวิ่งหนี

“โอโหแม่มดน้อย ขยันจังนะ เวลาพักจากสอบยังมา เข้าห้องสมุดอีก” อาจารย์บรรณารักษ์ที่เดินผ่านมาเอ่ย ทักทาย เมื่อเห็นรูปที่ว่าก็วางหนังสือทั้งหมดที่หอบมาลง ทันที สายตาที่มองรูปนั้นแสดงความนับถือออกมาเต็ม ประดา

“เดี๋ยวนี้คนสนใจเรื่องราวเก่าแก่แต่มีคุณค่าแบบนี้ หา ยากขึ้นทุกที ทั้งที่สิ่งที่ท่าน โซเร็น วาร์ลเดน ทิ้งเอาไว้ให้ คือแนวคิดอันล้ำค่าจำนวนมากแท้ ๆ”

“ท่าทางอาจารย์จะชื่นชมคนคนนี้มากเลยนะคะ” ปิ่นทัก กลับแล้วชำเลืองมอง ดูเหมือนคุณครูสาวจะปลาบปลื้ม เอามาก ๆ ที่มีคนสนใจเพิ่มอีกหนึ่ง แม้คนคนนั้นจะเป็นแค่ เด็กผู้หญิงตัวเล็กอย่างเธอก็ตามที

“ครูอ่านหนังสือทุกเล่มของชายคนนี้มาแล้วค่ะ รวมถึง บันทึกของคนที่เกี่ยวข้องแทบทั้งหมด เสียดายที่ข้อมูล ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตกลับไม่มีบันทึกเอาไว้เลย….
“ทําไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะคะ?”

คุณครูถอนหายใจนิดหนึ่ง

“ครูคิดว่าเป็นเพราะ… ความสามารถที่มากเกินไปของ เขานั่นแหละจ้ะ ถึงแม้คนรักจะมาก แต่คนเกลียดก็ไม่ น้อย แถมเพราะเป็นคนประเภทชอบร่อนเร่พเนจร ใช้ ชีวิตเรียบง่ายติดดิน ทำให้คนที่ประสงค์ร้ายเข้าถึงตัวได้ ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ลงความเห็น ว่าท่านถูกฆ่า…

แต่ใครจะไปรู้ ท่านอาจจะเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายห่าง ไกลจากผู้คน ถ่ายทอดความรู้และความเข้าใจของความ สําคัญทางประวัติศาสตร์ให้ผู้คนจนวันตายเลยก็เป็นได้ นะ”

ปิ่นนั่งหลับตาคิดตาม คนในประวัติศาสตร์คนนี้ไม่ว่าใคร ก็ย่อมรู้จัก แต่เธอก็เพิ่งฉุกคิดว่าแทบจะไม่มีใครศึกษา ชีวิตของเขาอย่างจริงจังเสียเลย ความจริงเธอเองก็ไม่ ค่อยจะเข้าห้องสมุดเก่า ๆ นี้สักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่า ปัจจุบันมันจะมีแรงดึงดูดกับความสนใจของเธอมากกว่า นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เสียอีก…

ทั้งที่ตอนแรกก็แค่เข้ามาค้นคว้าเรื่องความสามารถเรื่อง ‘Conexión’ ซึ่งค้นเจอชื่อนี้มาจากอินเตอร์เน็ต แท้ ๆ เชียว
เมื่อวานหลังจากเธอพาหมอนั่นไปที่โรงพยาบาล เธอ เองก็ไม่นึกว่า… หมอนั่นจะช่วยเพื่อนของเธอได้จริง แถม ทําได้อย่างไรกลับไม่ยอมอธิบาย

เพราะความสงสัยเธอจึงไปไล่ค้นประวัติของผู้ที่มีพลัง ประเภทนี้ทั้งหมด ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่คน ทุกคนมักจะมีราย ละเอียดของพลังปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป และทุกคน มักจะเป็นพวก multi-psychic เสมอ..

…นั่นก็คือมีพลังมากกว่าหนึ่ง โดยไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว

ใดใดทั้งสิ้น…

สำหรับคนอื่น ๆ เธอไม่ค่อยสนใจเพราะไม่มีพลังสูงนัก แต่เมื่อวานนี้… เมื่อวานนี้พลังที่หมอนั่นเพิ่มให้เธอมันไม่ ธรรมดาเอาเสียเลย ถ้าให้พูดตามตรง มันเป็นพลังชนิด ยากจะหยั่งวัด เหมือนกับบุคคลในหนังสือ

ซึ่งนอกจาก Conexión หรือการซิงโครเพื่อถ่ายโอน พลังจิตให้ผู้อื่นแล้ว เขายังสามารถรับรู้ ‘คลื่นหรือกระแส’ ทั้งหมดรายรอบ รวมถึงคลื่นสมองของมนุษย์อีกด้วย กว่า พันปีที่ผ่านมานี้ ความก้าวหน้าที่มากถึงขนาดนี้… ถึงอย่าง นั้นก็ยังไม่มีสถาบันวิจัยใดเข้าใจถึงโลกของวาร์ลเดน ได้ ถ่องแท้สักคน

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ จะ สามารถทําได้“นี่แม่มดน้อย”

“คะ?”

ปิ่นนั่งคิดอะไรเพลินจนสติล่องล่อยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อมีคนเรียกจึงเผลอปิดหนังสือด้วยความตกใจ

“ตายจริง ครูไม่คิดว่าจะอินขนาดนี้นะเนี่ย แต่สัญญาณ เรียกสอบวัดพลังจิตดังแล้วนะเรา

“อ๋ หนูลืมเวลาเลยขอโทษด้วยค่ะ!”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่นั่นแมวของเธอหรือเปล่า”

คุณครูว่าแล้วก็ชี้ไปที่หน้าประตู เจ้าแมวสีดำตัวน้อย กำลังพยายามตะกายกระจกหมายจะเข้ามาให้ได้ ปิ่นมอง แล้วก็พยายามอุบหัวเราะเอาไว้ เธอไม่นึกว่าเจ้าแมวนั่น จะซื้อขนาดนี้… ที่สำคัญเธอ…อยู่…

“ว่าแต่ หอของโรงเรียนนี้ให้เลี้ยงสัตว์ด้วยเหรอ?”

คุณครูถามพลางจับแว่นขยับเล็ก ๆ ปิ่นยิ้มแห้งให้ก่อนจะ จับเจ้าแมวขึ้นกอดแล้วเดินหายตัวไป

สนามกว้างของโรงเรียนเนตรนารา หนึ่งในโรงเรียนที่มีความโดดเด่น เรื่องการพัฒนาพลังจิตติดท็อปเห็นของ เมือง ที่นั่นมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ของแต่ละสาขาตั้งซุ้ม ทดสอบ ‘พลังจิต’ โดยมีนักเรียนรอทดสอบออกันเต็ม ไปหมด ส่วนใหญ่จะหน้าชื่นตาบานคุยเรื่องพลังจิตของ ตนกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นก็พวกชนกลุ่มน้อยที่ไม่มี อะไรจะอวด ประมาณ 7% ของนักเรียนทั้งหมด และเจ้า พวกนั้นส่วนใหญ่มักจะนั่งจับกลุ่มนินทาชาวบ้านอยู่ริมตึก บรรยากาศน่าขยะแขยงแพร่กระจายออกมาไม่รู้จักหมด จักสิ้น

จิณณ์เห็นกลุ่มที่ว่าแล้วก็ถอนใจ ก่อนจะหันมาเปิด หนังสืออ่านต่ออย่างสบายอารมณ์ใต้ร่มไม้ ไม่คิดจะยุ่ง กับใคร

“เฮ่จิณณ์ สอบเป็นไงบ้าง!?”

แต่ดูเหมือนคนคิดจะยุ่งกับเขามีเยอะพอสมควร…

หืม… อารยธรรมเอเชียตะวันออก โดย…คนในตำนาน นั่น… อีกแล้ว!?”

อีกคนเข้ามาเสริม ก้มมองหน้าปกแล้วก็ขมวดคิ้ว

“เฮ้อ…” หญิงสาวผมสั้นสีดำถอนหายใจ ท้าวเอวมอง จิณณ์ที่นั่งอ่านหนังสือยาก ๆ อยู่ได้ทุกวันแต่ไม่สนใจ พัฒนาพลังจิตเอาเสียเลย มิหนำซ้ำ… “จิณณ์ นายชอบอ่านเรื่องพรรค์นี้ แต่ไหงคะแนนวิชาสังคมต่ำเตี้ยติดดิน เล่า อาจารย์เขาวานให้มาเรียกไปคุยอยู่เนี่ย

จิณณ์ทำหน้างงรีบปิดหนังสือหันขวับไปมองหน้าสาว เจ้าทันที

“อย่าล้อเล่นน่า ฉันเพิ่งจะโดนสวดยกใหญ่มาเมื่อกี้แท้

“เอ๋…” เธอหรี่ตาจ้องจับผิด “นี่นายก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว?” คราวนี้เป็นทีพวกผู้ชายที่ยืนล้อมอยู่ใกล้ ๆ ให้หัวเราะ

ออกมาบ้าง

“คุณหัวหน้าห้องครับ เมื่อครู่เจ้าจิณณ์มันพัดกระดาษไป แปะหน้าอาจารย์ ตอนสอบน่ะสิ” ว่าแล้วนายปากเสียก็หัน ไปหัวเราะต่อ

ไอ้คนอื่นรู้น่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยัยจอมซีเรียสนี่สิไม่ถูกโรค เอาเสียเลย! จิณณ์หันไปเขม่นคุณเพื่อนเล็กน้อยแต่เมื่อ หันกลับมาทางเดิม เจ้าแม่แสนสวยกำลังจ้องหน้าเขาด้วย สายตามารร้าย แทนที่จะได้อ่านหนังสือสงบสติอารมณ์ ไหงความซวยมันมาเยือนฉับพลันได้ขนาดนี้! จะว่าไปก็ ตั้งแต่รู้จักยัยเด็กแรงดึงดูดนั่นน่ะแหละ!
“นาย…จะทำให้ห้องของเรา… เสียชื่อไปถึงไหนกัน หา!!” จิณณ์รู้ทันปล่อยมือจากหนังสือมาอุดหู แต่มันกลับ ทำให้เจ้าแม่ยิ่งเดือดดาลเข้าไปกันใหญ่กะกระโดดถีบ เต็มหน้ากวน ๆ สักครั้ง แต่พลาดโดนต้นไม้ใหญ่ โดย ไม่สนใจว่ากระโปรงตัวเองจะเปิดโชว์ใคร ผู้คนรายรอบ ยืนอึ้งอยู่คนละสองสามวินาที ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาล็อค ตัวแม่หัวหน้าห้องสาวเลือดร้อนเอาไว้ ปล่อยให้จิณณ์ ตะเกียกตะกายวิ่งหนีไปได้อย่างหวุดหวิด

“ให้ตายสิ ยัยมิกิกะจะฆ่ากันจริง ๆ เหรอน่ะ” จิณณ์บ่น ไปปาดเหงื่อไปพลาง เดินเลาะระเบียงโรงเรียนไร้วี่แวว ผู้คน เมื่อมองย้อนลงไปที่สนามก็ยิ่งแปลกใจ เพราะอัน ที่จริงเวลาแบบนี้อาจารย์ส่วนใหญ่มักจะลงไปคุมเด็กอยู่ ข้างล่างกันหมด แล้วไหงเขาโดนเรียกขึ้นมาได้หว่า… แต่ คิดไม่ทันจบเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องอาจารย์เสียแล้ว

เขาเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไปตามปกติ เมื่อเข้าไป แล้วบรรยากาศประหลาดก็เข้ากระทบ ประสาทสัมผัส ตื่นตัวทันทีเมื่อลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างกาย ในห้องมีเพียง คุณครูสาวผมบลอนนั่งมองตรงมา ยิ้มต้อนรับให้แต่ ไกล…

“อาจารย์ ฟิเลเน่…? เรียกหาผมเหรอครับ…?” เขาไม่ เข้าใจว่าอาจารย์แลกเปลี่ยนจากแคว้น ‘ยูโรเปร์’ ผู้เงียบ ขรึมอยู่เป็นนิจจะนั่งยิ้มบางแต่กลับทรงอำนาจได้ขนาด นี้…และเธอยังไม่ตอบอะไร
“เห็นว่าคะแนนผมเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ? จริง แล้วสอบรอบก่อนผมว่าผมมั่นใจนะ” จิณณ์เบเสียงตอบ แล้วหัวเราะร่วนพยายามสร้างบรรยากาศ แต่กลับไม่มี อะไรเปลี่ยนแปลง หญิงสาวข้างหน้ายังคงเงียบกริบ มี หนำซ้ำตั้งแต่เขาเข้ามาเธอยังไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ เมื่อ เห็นท่าไม่ค่อยดีเขาเตรียมจะวิ่งออกจากห้อง แต่กลับมี อะไรบางอย่างรัดคอ ในไม่ช้าภาพอาจารย์สาวก็เริ่มเลือน ลางหายไป และด้านข้างของเขามีชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ผมสีชา หน้าตาเหี้ยมเกรียมกำลังบีบคอของเขา

หมอนั่นจับเขาเหวี่ยงกลิ้งไปชนกับโต๊ะเอกสารปลิว ว่อนกระจุยกระจาย แล้วเดินล้วงกระเป๋าเข้าหา ใบหน้า ยังคงแสยะยิ้มเย้ยหยันไม่คลาย จิณณ์เงยขึ้นมองทั้งที่ มือยังจับที่คอ เขารู้สึกปวดไปหมดไอค่อกแค่กไม่หยุด ชายผมสีชาง้างขาเตะซึ่งหน้า จิณณ์รีบกลิ้งหลบแล้ว ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แก… แกเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องมาเล่นงานฉัน… แล้ว อาจารย์ตัวจริงหายไปไหน?

หมอนั่นหัวเราะ

“อย่ามาทำไก่.. เมื่อวานแกทำอะไร”

จิณณ์หน้าซีดจนผิดสังเกต ความจริงตอนอยู่ที่โกดังเขาไม่กล้าแม้จะแอบมอง แต่แอบฟังอยู่ข้างนอกนานพอ สมควร เสียงนี้มันช่างคุ้นหูชะมัด… ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคือหนึ่งในคนร้ายแน่ ๆ

“ระเบิดจำนวนขนาดนั้น…ถึงมันจะไม่รุนแรงเท่าไหร่ แต่ แกทำอะไรมันถึงหายไป ไม่มีแรงระเบิดอะไรเกิดขึ้นสัก

หมอนั่นถามตรง ๆ จิณณ์สะดุ้งเฮือก เข้าใจกระจ่างชัด ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่แอบดู แต่เจ้าพวกนั้นเองก็หลบออก มารอดูผลก่อนจะจากไป

“ปะ เปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร ยัยเด็กนั่นต่างหาก” จิณณ์ ละล่ำละลักตอบ

จู่ ๆ สายตาสีครามตรงหน้าก็ดุดันขึ้น แสงจากภายนอก รวมตัวกันบีบอัดจนกลายเป็นเลเซอร์สีขาวยิงเฉียดลำตัว เขาไปนิดหนึ่ง แต่แค่นั้นก็ทำให้ผิวไหม้ปวดจนต้องลงไป นอนกุมท้องอีกรอบ

“อย่ามาเล่นลิ้น ก่อนที่ระเบิดจะทำงานแกเป็นคน สุดท้ายที่เข้าไปในนั้น กับแค่แรงดึงดูดระดับ S ไม่มีทาง ทำอะไรได้หรอก แกใช้พลังอะไรกันแน่!!”

จิณณ์เงยหน้าขึ้นพร้อมน้ำตาไหลพราก
“ฉัน… ฉัน…. ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา ฉันมันก็แค่ไอ้ กระจอกที่มีพลังลมระดับ 1 เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองไปค้น ข้อมูลดูสิ!”

ไม่ว่าเปล่าจิณณ์หมอบอย่างลุกลี้ลุกลน ผิดคาดจน ทําเอาอีกฝ่ายเผลอสบถอย่างไม่พอใจ เดินตรงรี่เข้ามา เหยียบหัวของเขากระแทกพื้นอย่างจัง

“ไอ้ขยะเอ๊ย! ถ้าแกยังปากแข็งอยู่อีกยัยคุณครูนั่นตาย!”

“เชิญเลย! นายจะฆ่าหล่อนก็ตามสบาย แต่ปล่อยฉันไป เถอะ!”จิณณ์ร้องลั่นตอบ

ชายผมสีชาผ่อนลมหายใจ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ น่า กลัวจนจิณณ์ตัวสั่นเทา หมอนั่นเอาเท้าลงจากหัวของเขา แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ จิณณ์รีบเงยหน้า ขึ้นมองทั้งน้ำตา

“จะปล่อยฉันไปแล้วใช่ไหม!” เขาถามด้วยความดีใจ

“อย่างี่เง่านัก… ถ้าแกเป็นแค่ขยะแล้วมีเหตุผลอะไรต้อง เก็บไว้ ฉันจะฆ่ายัยคุณครูดวงตกนั่นให้แกดูก่อน…” หมอ นั่นพูดพลางแสยะยิ้ม แล้วมองไปทางผ้าม่านที่โบกสะบัดฝีปากเลือดไหลซิบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มออกมาได้ทำ ให้จิณณ์เริ่มหวั่นเล็กน้อย

“ไม่น่าเชื่อว่าแก… จะซ่อนตัว เก็บงำพลังพรรค์นี้เอาไว้ ได้จนป่านนี้

“ฉันก็มีเหตุผลของฉัน ที่สำคัญพลังพรรค์ที่ฉันมีก็ไม่ควร ปล่อยให้มีใครรู้

“แต่พวกเรา… รู้แล้ว”

จิณณ์เริ่มสะกิดใจกับคำว่า ‘พวกเรา’ ใจคอชักไม่ค่อย ดี ไม่ทันไรค่าตอบก็โผล่ออกมา ชายหน้าอ่อนผมสีดำ ปรากฏตัวที่ด้านข้างของทั้งคู่ มือขวาถือปืนเล็งอยู่ที่ศีรษะ ของจิณณ์ และนิ้วเตรียมเหนี่ยวไกทุกเมื่อ

สายตาคมกริบไม่มีแววล้อเล่นเพียงเศษเสี้ยว

“หยุดก่อน ‘Alabeo'(อลาเบโอ) หมอนี่ใช้การได้

“จะดีหรือ luz (ลุซ) ผมว่ามันอันตรายเกินไป”

ผู้มาใหม่แย้ง แต่ดูเหมือนนายผมสีชา ‘ลุซ’ จะถืออำนาจ สิทธิขาดในการตัดสินใจ แม้ตนจะอยู่ในฐานะย่ำแย่สุด ๆ ผู้ติดตามก็ยังไม่ถือโอกาสแย่งชิงอำนาจแม้แต่น้อย อลาเบโอ’ โค้งให้ทั้งสีหน้าไม่เปลี่ยนและยืน เงียบเหมือนรอคำสั่งต่อไป

“จิณณ์ นั่นชื่อแกสินะ” ลุซยังคงพูดด้วยทีท่าเหนือ กว่า และก็เป็นเช่นนั้นจริง… จิณณ์กลั้นใจปล่อยมือของ หมอนั่นไป ใบหน้าแสดงความเจ็บใจอย่างเห็นได้ชัด แม้ คราวนี้จะเหมือนอีกฝ่ายประมาทแต่ตนเองต่างหากที่ ประมาท… คิดดูให้ดีแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คน เหล่านี้จะมาเผชิญหน้ากับเขาเพียง 1 ต่อ 1

“หืม… พลังกลับมาแล้วแฮะ” ลุซพูดอย่างอารมณ์ดี “นี่แก ทําอะไรกันแน่เนี่ย งงเป็นบ้า” หมอนั่นเสริมแต่จิณณ์ยัง เงียบไม่ยอมตอบอะไรอีก

“น่าสนุกดีนี่พลังของแก เจอกันคราวหน้าฉันจะไข ปริศนาให้ออก และจะจับแกเข้ากลุ่มให้ได้

ทั้งคู่จ้องหน้ากันตรง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ลุซจะให้ สัญญาณอลาเบโอ พริบตานั้นทั้งคู่ก็หายไปอย่างไร้ร่อง รอย

ห้องอาจารย์กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ส่วนอาจารย์สาว ตัวจริงก็ล้มพับอยู่กับพื้นแถวหน้าต่าง จิณณ์ถอนหายใจ อย่างโล่งอกนิดหนึ่ง แต่หนักใจสุด ๆ

ดูท่าว่าอนาคตเขาต้องประสบกับปัญหาใหญ่เข้าให้เสียแล้ว เนื่องจากพลังที่เขาเก็บง่าไว้เป็นความลับมา ตลอด 17 ปีถูกกลุ่มบุคคลที่ไม่ควรรู้ที่สุด ได้เห็นและ สัมผัส ไปเรียบร้อย… ถึงจะแค่บางส่วน

และถ้าหากจะมองอนาคตที่ใกล้ลงมาอีกหน่อย… ตอนนี้ เขา นายพัดลมตั้งโต๊ะ i ในสภาพเลือดโชก อยู่ในห้องพัก อาจารย์สังคม ตามล่าพังกับหญิงสาวผู้กำลังสลบอยู่อีก หนึ่ง โต๊ะอาจารย์หลายท่านเกิดอาการเละเทะ…

และ… การสอบพลังจิตใกล้จะจบลงในไม่นานนี้มีคำถาม ว่าเขาจะเนียนหลบออกไปอย่างไรดี แล้วจะตอบคำถาม ที่ตามมาภายหลังอย่างไรดี

ก็ในเมื่อมีพยานรู้เห็นตั้งหลายคนรับรู้ว่าเขาเป็นคนเดียว ที่ขึ้นมาในอาคารร้างเพื่อพบอาจารย์คนที่สลบอยู่ตรงนี้!

หมายเหตุ

Luz อ่านว่า ลุซ เป็นภาษาสเปนมีความหมายว่า “แสง”

Alabeo อ่านว่า อลาเบโอ มีความหมายว่า “เทเลพอร์ตหรือวารับ

Conexion อ่านว่า คอนเน็คซ้อน มีความหมายว่า “การเชื่อมต่อ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ