บทที่ 2 ก็แค่แมวหนึ่งตัว
เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งหมุนปากกาพลางนั่งคิดทบทวน เรื่องราวของเมื่อวันก่อนหลังจากเธอหมดสติไป
ทั้งที่ตัวเธอ ‘ปิญชาน์’ เป็นถึงผู้ใช้ ‘แรงดึงดูด’ ซึ่งเป็น พลังหายาก ระดับ S เพียงคนเดียวจากประชากรสี่ล้าน สองแสนของเมืองนี้ แต่เธอกลับต้องให้มนุษย์ปริศนาช่วย ชีวิตเอาไว้
เมื่อวานหลังจากฟื้นขึ้นมาอีกรอบ เธอก็พบตัวเองนั่ง คอตก อยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ ลมอ่อนพัดหยาดน้ำ ที่กระเซ็นจากน้ำพุด้านหลังมาให้ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น มาบ้าง แต่หัวก็ยังรู้สึกปวดแปลบปลาบไม่น้อย ที่หน้าตัก ของเธอเจ้าแมวสีด่าตัวน้อยน่ารัก าลังเลียมือของเธออยู่
“ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ไงกันเนี่ย… หมอนั่นเหรอ….
“หมอนั่นน่ะหมายถึงใคร?” เสียงคุ้นหูพูดแย้งจากระยะ ประชิด ตาปรือ ๆ ที่ยังไม่ตื่นดีลุกโพลงเมื่อหันไปด้าน ข้าง ชายหนุ่มหน้าอ่อนในชุดนักเรียน ม.ปลายนั่งซดน้ำ ชากระป๋องอยู่ตรงนั้น ก่อนที่หัวจะได้คิดอะไรสักอย่าง มือรีบผลักหมอนั่นกระเด็นกลิ้งลงไปกองอยู่กับพื้น น้ำใน กระป๋องหกเละเทะไปหมด เจ้าตัวลุกขึ้นมามองแบบงง ๆ
“ไม่พอใจที่ฉันแบกเธอมาตรงนี้ขนาดนั้นเลยเหรอ เนี่ย ?”
“แบก… นายว่าแบก…?” เธอถาม เมื่อคนข้างหน้าพยัก หน้าตอบ ความดันของเธอก็สูงขึ้นฉับพลัน หันไปหันมาส อดส่องสถานที่ก็พบว่าตนอยู่ห่างจากซอกตึกที่หมดสติไป ไม่ไกลนัก… แต่สวนสาธารณะนี่คนก็ใช่น้อย มิหนําซ้ำมัน ใกล้โรงเรียนของเธอพอสมควรเสียด้วย… คิดได้แค่นั้น ใบหน้าก็ร้อนฉ่าคลับคล้ายจะเป็นลมไปอีกรอบให้ได้
เด็กหนุ่มเกาหัวยุ่งของตัวเองก่อนจะถอนหายใจ
“ซวยเป็นบ้า” เขาพูดพลางถอนหายใจ ก่อนจะวางชา อีกกระป๋องไว้บนม้านั่ง ส่วนกระป๋องเปล่าโยนลงตระกร้า ขยะใกล้ ๆ ก่อนจะหันหลังแล้วโบกมือให้ “ไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันไปก่อนล่ะ”
เธอลุกพรวดจนเจ้าแมวน้อยตกใจกระโดดแผล็วลงพื้น
“เดี่ยวสิ! นายน่ะ!!” เธอตวาดลั่นเรียกให้เขาหันกลับมา อีกรอบ พยายามตีหน้าดุแต่แก้มกลับขึ้นสีเลือดจนไม่ เหลือความดุอีกแม้แต่น้อย “นายน่ะเป็นใคร…กันแน่…?”
เขาหันมายิ้มให้ ทำท่าเหมือนจะตอบก่อนจะวิ่งเปิดแน่น หายตัวไปในฝูงชนหน้าตาเฉย!!
“ไงจ๊ะ ปิ่น ทำหน้าอย่างนี้ต้องใครอย
“หือ?” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมเสียงไม่นัก คนรวม ๆ กัน มามองก่อนจะรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ส่งเป็นดินสอ ไม่ในมือสาวน้อยหักกระจุย
“โหออกอาการขนาดนี้ผู้ชายแห่ง ๆ
“เมตรา!”
เมตรา เป็นเพื่อนสนิทของเธอ รู้จักเป็นครั้งแรกตั้งแต่ อายุห้าขวบ และหลังจากนั้นก็เรียนด้วยกันมาเรื่อย นั่น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอกล้หมอกหัวผู้มีพลงระดับ S อย่างนี้
“ฉันก็แค่มีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่นิดหนึ่งเช่น…
เปรี๊ยะ
ไม่ทันไรดินสอแท่งเดิมก็แหลกละเอียดจนมองไม่เหลือ เค้าโครงเดิมอีกต่อไป การมีพลังมากจนเกินไปก็มิใช่เรื่อง ดี ถ้าหากการควบคุมยังไม่เอาไหน…..
“ท่าทางจะเป็นเอามากแฮะ…” * เมตราแกล้งแซว แต่เมื่อ แอบมองหน้าเพื่อนของตนก็ต้องเงียบลง เมื่อสายตาส แดงเข้มของเจ้าหล่อนไม่ฉายแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
“ใช่ ฉันจะต้องหาตัวตาบ้านั่นให้เจอให้ได้!”
โครม!!
คราวนี้ไม่ใช่แค่ดินสอแต่เป็นโต๊ะทั้งตัวที่อยู่ตรงหน้า
“อ๊า!! เผลออีกแล้ว!!ปิ่นอุทานลั่นห้อง หันล่อกแลกมอง ไปทั่ว ทุกคนหันมองมาทางเธอโดยไม่ได้นัดหมาย แต่เธอ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใช้พลังบีบอัดโต๊ะจนบี้เป็นลูกบอลกลม ใหญ่พอจะกำด้วยมือแล้วปาลงถังขยะหลังห้องอย่าง แม่นยำ
“วันนี้ฉันไปก่อนแล้วกัน บ๊ายบาย” นั่นเป็นคำสุดท้าย ของเจ้าแม่ตัวน้อยก่อนจะกระโดดออกไปจากหน้าต่าง ห้องเรียนชั้นสี่อย่างน่าหวาดเสียว ทิ้งให้เพื่อนร่วมห้อง ยืนเหงื่อตกมองตามเจ้าตัวที่กระโดดไปตามหลังคาบ้าน หลังคาตึกเยี่ยงนินจา
ณ ที่นั่งข้างหน้าต่างชั้นสาม เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเข้มสี กาแฟแก่ ทรงไร้รูปแบบนั่งฟุบน้ำลายไหลคาโต๊ะเรียน โดยมีหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาบังหน้าเอาไว้ ไม่ให้ ท่านอาจารย์ที่หน้าห้องเห็น แต่อยู่ดี ๆ คนหลับก็คันจมูกจามออกมาสู่ครั้งซ้อน ลุกขึ้นทุบโต๊ะโครมใหญ่
เมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าตัวเองตกเป็นจุดสนใจ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะท่านอาจารย์มาดเฉียบซึ่งคิ้ว กำลังกระตุกและแสยะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
สิ่งที่ตกค้างอยู่ในสมองมีแค่คำว่า บรรล้ยล่ะตู…
“ว่าไงหรือ คุณพัดลมตั้งโต๊ะเกรด i*”
“ปะ เปล่าครับอาจารย์ ดูเหมือนว่าจะมีแมลงบินเข้าจมูก ผมอ่ะ” เขาตอบเลี่ยง ๆ แม้ตอนนี้เขายังรู้สึกถึงไอเย็นยะ เยือกซึ่งแล่นผ่านจากหลังขึ้นสู่สมองอยู่เลย… มันเป็นลาง ไม่ดี ไม่ดีอย่างถึงที่สุด ถึงจะยังไม่รู้ก็เถอะว่าเพราะอะไร กันแน่!
จากห้องเงียบ ๆ เพื่อน ๆ ทั้งหลายก็เริ่มโห่ฮาจนในที่สุด ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเยาะพักใหญ่ ก่อนที่ ระฆังเลิกเรียนจะเคาะช่วยชีวิตเอาไว้ได้หวุดหวิด
เขารีบเก็บของแล้วแบกกระเป๋าไว้บนบ่า พยายามลาก ร่างกายที่บอบช้ำออกนอกอาคารเรียนอย่างยากลำบาก ทั้งหมดเป็นเพราะเด็กคนเดียว ยัยเด็กบ้าพลังที่ใช้ พลังจิตบี้เขาติดพื้นจนปวดกล้ามเนื้อไปหมด แล้วไหนจะ ต้องแบกคุณเธอไปสวนสาธารณะ แล้วไหนจะต้องวิ่งหนี สุดชีวิตเพราะกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย
แต่เขาก็อดเข้าไปยุ่งกับเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้สักที คิดแล้ว มันก็น่าแค้นตัวเองจริง ๆ ให้ตายสิ
“ยืนเหม่ออะไรอยู่วะจ๊ณณ์” คนพูดไม่พูดเปล่าฟาดหลัง ของเขาเต็มฝ่ามือ อาการปวดแปลบปลาบแล่นพล่านไป ทั่วร่างน้ำตาเล็ด พูดอะไรไม่ออก คุณเพื่อนเห็นแล้วก็เกา หัวแกรก ๆ
“นี่แกไปโดนนักเลงที่ไหนซัดเอาอีกล่ะเนี่ย”
“เออโดนเต็ม ๆ เลยว่ะเมื่อวานนี่” แต่โดนนักเลงตัวกระ เปี๊ยกเล่นเอาอ่ะนะ
“แกนี่ยังยิ้มเป็นคนบ้าได้อีกเหรอวะ หัดไปพัฒนาพลัง ของตัวเองจริงจังสักทีเหอะ พรุ่งนี้ก็สอบแล้วไม่ใช่เหรอ ?”
“เฮ้ย สอบเรอะ!?”
“เออลืมไป เมื่อกี้แกหลับตลอดเลยนี่หว่า พยายามเข้า ล่ะ” คุณเพื่อนพูดตีหน้าตายพลางกระโดดขึ้นยืนบนสเก็ ตบอร์ดไร้ล้อโบกมือให้หยอย ๆ และพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ตัด สนามโรงเรียนออกสู่ถนนใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขามองไปรอบ ๆ แล้วก็เหงื่อตก ณ ที่แห่งนี้นักเรียน ทุกคนมีพลังที่แตกต่างกันออกไปและนำมาใช้กันอย่างอิสระ เว้นก็แค่เขาที่หากใช้ออกไปคงเป็นเรื่อง…
ที่ใจกลางสวนสาธารณะ เด็กสาวผมน้ำตาลแดงยาวประ บ่า หย่อนตัวลงบนม้านั่งตัวเมื่อวาน พลางแหงนหน้าเหม่อ มองจุดแสงที่ส่องผ่านลงมาจากกลุ่มใบไม้หนา โดยมีเจ้า แมวน้อยสีดำตัวน้อยนอนอยู่ข้างมือ การท่องไปในเมือง อย่างไร้จุดมุ่งหมายไม่เคยทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยมาก่อน แต่พอมีเป้าหมายต้องตามหาตัวคนคนหนึ่งขึ้นมา ทุกสิ่ง ดันกลับตาลปัตร
เมืองที่เคยเล็กวันวานกลับกว้างขวางและใหญ่โต สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่เจอหมอนั่นจึงเดินเลาะเลียบเส้นทาง เดิม ๆ ก็เจอเจ้าแมวตัวเดิมและลงท้ายก็นั่งแช่อยู่ที่เดิม
“งี่เง่าชะมัด แล้วฉันจะไปตามหาหมอนั่นทำไมกันot…
“แล้วน้องตามหาใครหรือจ๊ะ ให้พวกพี่ช่วยไหม?”
ปิ่นสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงคนไม่คุ้นเคยสนองตอบคำพูด กับตัวเองเมื่อครู่ เธอลดสายตาลงก็เจอพวกนักเลงตัวโต รุมล้อมอยู่เต็มไปหมด คนประเภทนี้มักวนเวียนเข้าใกล้ เธอเยอะเหลือเกิน…
เพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ สักพักเป็นต้องเจอตอมประจำ!
นายแขนรอยสักกล้ามโตถือวิสาสะนั่งข้าง ๆ เจ้าแมว น้อยรีบกระโดดหนีก่อนจะลงไปแอบอยู่ข้างขาเล็ก ๆ ของ ปิ่น เธอเบิกรอยยิ้มแสนหวานให้ก่อนจะยื่นมือออกไปหา นายกล้ามโตนิดหนึ่ง แล้วชักมือกลับ หมอนั่นทำล้อเล่น ได้แค่ไม่กี่วินาที ก่อนจะเริ่มรู้สึกอะไรแปลก ๆ กับตัวเอง
…มันเหมือนมีแรงดึงจากทิศตรงกันข้ามกับเด็กน้อยด้าน ข้าง เจ้าหล่อนหยิบชากระป๋องขึ้นดื่มหนึ่งอีกและโบกมือ อำลา…
“ไปตายซะ” คำพูดน่าเสียวไส้หลุดออกจากปากเล็ก น่ารัก ตาสีแดงเพลิงจ้องตอบชายตัวโต จังหวะเดียวกับ ที่หมอนั่นลอยละลิ่วไปกอดติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ ร้อง โหวกเหวกโวยวายไม่หยุด คนอื่นมองลูกพี่ของตัวเอง กับเด็กตัวน้อยด้วยความแปลกใจ สรรพเสียงเงียบเชียบ เหมือนฝูงกบโดนงูร้ายจ้องสะกด ขาหนักอึ้งจนก้าวหนีไม่ ไหว
เธอเขวี้ยงกระป๋องเปล่าลงถุงขยะใบเดิมเมื่อวันวาน แล้ว ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าฝูงนักเลงตัวโตกว่าตัวเองร่วมเท่าตัว สายตาสีแดงนั้นบ่งบอกว่าเหยื่อข้างหน้าจะต้องกลับไป นอนดิ้นที่บ้าน หรือไม่ก็โรงพยาบาลสักแห่งหนึ่งแน่ ๆ แต่ โชคดีที่สายตาคู่แดงนั้นเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงเด็กน้อยที่ กำลังร้องไห้เพราะลูกโป่งหลุดมือแทน เจ้าลูกโป่งนั่นลอย หนีไปไกลทุกที ๆ โดยมีคนบ้าหนึ่งนายกำลังวิ่งตรงดิ่งเข้า ใส่เจ้าลูกโป่งนั่นอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่ด้านหน้าเป็นรั้วและ “บ่อน้ำ
หมอนั่นไม่ลดละความพยายามกระโดดปีนรั้วลอยตัว คว้าเชือกลูกโป่งได้อย่างงดงาม ก่อนจะร่วงน้ำตูมใหญ่ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน…
สภาพน่าเอน็จอนาถนั้นทำให้เธอเผลอคลายพลังจิต ทั้งหมด พวกนักเลงโตได้ทีรีบวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
“อ่ะนี่จ้ะลูกโป่งของหนู” จิณณ์ยื่นลูกโป่งที่เขาไล่กวด สุดชีวิตคืนให้เด็กสาวตัวน้อย ในสภาพเปียกปอนเป็น ลูกหมาตกน้ำ เมื่อเด็กน้อยรับลูกโป่งคืนคุณแม่ของเธอ รีบขอบคุณ ขอโทษแล้วจูงลูกของตนเดินออกห่างทันที เหมือนเขาเป็นคนบ้า…
แต่ก็ประหลาดจริง ๆ นั่นแหละ ก็ในเมื่อหลายคนในที่นี้ ๆ มี “พลัง” อะไรบางอย่างแต่ไม่คิดช่วยสักนิด ไอ้เขาก็ฉุน ขาดวิ่งไม่ลืมหูลืมตา มองไม่เห็นแม้แต่บ่อน้ำข้างหน้า
“ลงทุนขนาดนั้น ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าจะได้เป็นวีรชน หรือคนบ้ากันแน่”
จิณณ์ถอนหายใจออกเมื่อได้ยินเสียงคุ้น ๆ จากข้างหลัง เมื่อหันกลับไป เขาหยุดสบตาเด็กสาว “ฉันหวังว่าจะไม่ได้ เจอกันอีกแล้วแท้ๆ”
“พูดแบบนี้กับคนไม่รู้จัก มันไม่เสียมารยาทเกินไปเหรอ ไง?”
เขาเกาหัวแล้วเสยผมเปียกโชก ขึ้นเล็กน้อย “ฉันว่ามันก็ พอกันทั้งคู่นั้นล่ะ”
เมื่อโดนย้อนเธอถึงกับชะงัก เป็นอีกครั้งที่ความเงียบ มาเยือนหนุ่มสาวสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันกลางสวน สาธารณะ ให้คนอื่นซุบซิบนินทาเล่น ในที่สุดจิณณ์ก็เป็น ฝ่ายทําลายความเงียบลงก่อน
“แล้วตกลงว่า เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า ?”
“อื้อ” ปิ่นทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกออก “พูดออกมาเองก็ ดีแล้ว… เมื่อวานจำได้ใช่ไหมว่าทำอะไรไว้บ้าง
“เยอะแยะนี่นา ตั้งแต่ไปเรียน โดนหมาไล่ฟัด แล้วก็…
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องหน้าด้าน ๆ นะ ฉันหมายถึงความ สามารถที่นายใช้ในตรอกนั่นต่างหาก!”
จิณณ์ถอยหลบเด็กสาวที่ยื่นหน้าเข้าหา สายตาวาว โรจน์นั้นมั่นใจได้เลยว่าวันนี้ตนไม่มีทางหนีได้เหมือนวัน ก่อน จึงถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ “เจ้าหมอนั่นมัน เป็นผู้ใช้พลังเกี่ยวกับคลื่นเสียงไม่ใช่เหรอ ดังนั้นก็ต้องคำนวณจุดที่พลังจะมีผลด้วยซึ่งก็คือเจ้าแมวนั่นใช่ ไหมล่ะ ?”
“แล้วนายทำได้ยังไง นั่นล่ะที่ฉันอยากรู้ หรือว่านาย สามารถลบล้างพลังคนอื่นได้?” เธอถามตามตรง แววตา นั้นส่อแววจับผิดเต็มที่ จิณณ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อย หน่ายก่อนจะเกาหัวตนเองอีกครั้ง…
ความจริงแล้วถ้าความสามารถของเขาเป็นแค่การ ลบล้างพลังคนอื่น ก็คงจะดี เพราะพลังอย่างนั้นมันก็แค่ ของหายากธรรมดาเท่านั้นเองนี่นา…
คงไม่ต้องมานั่งปิดบังอยู่อย่างนี้หรอก…
. จะรู้ไปทำไม” เขาจ้องตอบแล้วถามกลับเป็นการ “เธอ… เลี่ยงตอบคำถามนั้น
ปิ่นชายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพาจิณณ์เดินหลบออก มาอยู่แถบข้างตึก… ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่เขาไม่เคย เห็นมาก่อน…
“ฉัน…เพิ่งจะเข้ามาร่วมงานปราบปรามได้อาทิตย์กว่า เหตุผลก็เพราะเจ้านั่นมันใช้พลังพิเศษทำร้ายเพื่อนของ ฉัน จนสมองได้รับความกระทบกระเทือน ตอนนี้เพื่อนฉัน ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย เพราะงั้น….”
“เธอถึงอยากแก้แค้นงั้น…?”
“นั่นก็แค่เหตุผลหนึ่ง” ปิ่นหยุดพักพลางเบือนหน้าหลบ แล้วรีบปาดหยาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมา เผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งด้วยแววตาที่แน่วแน่ “แต่ฉัน อยากหาวิธีรักษาเพื่อนคนนั้นมากกว่า” เธอว่า
“แต่… นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่เด็กอย่างเธอต้องเข้าไป เสี่ยงเลยนี่ พวกกองปราบก็มีหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว”
“นายบอกว่าจะให้ฉันรออยู่เฉย ๆ น่ะเหรอ?” ปิ่นมอง เขม่นด้วยสายตาเกรี้ยวกราด จังหวะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ ของเธอก็ดังขึ้นขัด เธอรีบหยิบขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้าแล้ว ชำเลืองมองเขานิดหน่อย ก่อนจะเดินทิ้งระยะออกไปคุย อยู่ครู่หนึ่ง
เธอปิดโทรศัพท์ยัดลงกระเป๋า แล้วทำหน้าเหนื่อยใจ
“ดูเหมือนฉันจะไม่มีเวลามายุ่งกับนายแล้ว ฝากดูเจ้า แมวนั่นด้วย” ถ้าแค่นั้นยังไม่เท่าไหร่ เจ้าแม่มีหันมากำชับ เพิ่มว่า… “ถ้าแมวเป็นอะไรไป มีเรื่องแน่”
จากคำขอเล่น ๆ ของเด็กน่ารักกลายเป็นคำสั่งของ เด็กผีจากนรกอเวจีทันตา ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งปนกระโดด ไต่กำแพงไปอย่างเหนือมนุษย์ ไม่ทันไรก็ลับสายตาไป ปล่อยให้จิณณ์ยืนเซ่ออยู่คนเดียว…
“เมี้ยววว”
เจ้าแมวร้องเรียกเตือนสติของเขาได้จังหวะ แต่มันก็ แปลกเมื่อเสียงอยู่ห่างไกลออกไปทุกขณะ
“เฮ้ย นั่นแกจะไปไหนเล่า ปั๊ดโธ่!!” เขาร้องโวยวาย แต่ แมวที่ไหนจะเข้าใจภาษาคน ยิ่งตะโกนเสียงดังมันยิ่งวิ่ง หนี พริบตานั้นภาพสายตาสีเลือดเมื่อครู่ก็แว่บเข้ามาใน ห้วงความคิด มันทำให้เขาเสียวสันหลังจนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องออกตัววิ่งตามแมวไปอีกคน
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ