กุญแจดอกที่ 11 : ร้านพิศวงกับข่าวร้าย
ลองมองไปรอบๆตัวเธอดูสิ
เธอเห็นความแตกต่างของคนรอบๆกับตัวเธอไหม
ลองคิดสิว่าหากทุกคนเหมือนกันไปหมดมันจะน่าเบื่อแค่ไหน
เพราะฉะนั้นลองทำอะไรที่แตกต่างดูสิ
ลองแหวกกฎเกณฑ์ทุกอย่างออกมา
ลองคิดให้ต่างจากทุกคน
ไม่จําเป็นต้องกลัว
เช่นพวกเราไงล่ะ
ร้านพิศวงยินดีต้อนรับ
ร้านที่ทางสมาพันธ์นักล่าแนะนำมาคือร้านที่ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงของรัฐเซรีน ทั้งที่เป็นร้านที่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่า สนใจเลยแต่กลับได้ทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองหลวง แถมยังเป็น ร้านเดียวที่เปิดตอนกลางคืนโดนไม่โดนพวกตำรวจจับอีกต่างหาก
ภายในร้านเต็มไปด้วยขวดโหลที่ใส่ของต่างๆวางเอาไว้มากมาย อย่างเช่นโหลด้านนอกสุดมีดอกเห็ดเป็นจำนวนมาก โหลอีก ด้านก็มีน้ำสีต่างกันออกไป นอกจากขวดโหลแล้วภายในร้านก็ ยังมีของเก่าอีกเยอะแยะที่ฝุ่นเกาะหนาเตอะเหมือนกับจะเป็นสิ่ง ยืนยันว่ามันเป็นของเก่าจริงๆ บรรยากาศแบบนี้มันชวนให้ถอยหนี มากกว่าเข้าร้านเสียอีก
นักล่าทั้งสามต่างยืนมองดูประตูร้านด้วยท่าทางแปลกใจ นัก อยากจะหันไปถามคนนำทางนักว่าพาพวกเขามาผิดร้านหรือ เปล่า
ฟรอสเป็นคนเดียวที่ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะความจริงแล้ว เขาแปลกใจไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มาแล้วต่างหาก แปลกใจจนเขา บอกกับตนเองว่าหากไอ้ร้านบ้าๆนี่มีเรื่องเพี้ยนๆขึ้นมาอีกเขาก็ คงจะไม่แปลกใจอีกแล้ว
“ไม่ต้องทําสายตาแบบนั้น ที่นี่น่ะถูกแล้วนายไม่เห็นป้ายร้าน หรือไง” ฟรอสพูดเมื่อเห็นสายตาจับผิดของเรฟานอฟ แต่จะไปว่า เพื่อนหนุ่มก็ไม่ถูกนักเพราะตอนมาครั้งแรกเขาก็เดินวนอยู่ตั้งห้า รอบว่าใช้ร้านนี้จริงหรือเปล่าแม้ว่ามันจะมีป้ายเขียนกำกับไว้อย่างดิบดีก็เถอะ
ดวงตาของแต่ละมองป้ายที่เขียนชื่อร้านเอาไว้ว่า “ร้านพิศวง’ ทำเอาเซนขมวดคิ้วเพราะไม่ชอบชื่อนี้เลย
ทำไมต้องชื่อร้านพิศวงนะ” เด็กสาวผมชมพูเปรยออกมาขณะที่ นักล่าอันดับหนึ่งกวาดมองรอบด้านด้วยความระแวง
“มันก็น่าพิศวงนะครับที่ร้านแบบนี้ยังมีในโลก และก็น่าพิศวงอีก เช่นกันที่ของแบบนี้ยังขายได้ คาไมเคิลพูดออกมาอย่างเหนื่อย ใจกับบรรยากาศภายนอกร้านที่ชวนให้ถอยหนีเสียเหลือเกิน นึก อยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าเจ้าของร้านเขาต้องการตกแต่งให้ดูแปลก ตาเพื่อเชิญชวนลูกค้าเข้าร้านหรือต้องการไล่ลูกค้าออกจากร้าน กันแน่
“แต่ฉันว่ามันน่าพิศวงตรงที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านแต่ร้านก็ไม่เจ๋งมา กกว่า” ฟรอสพูดเสริมทําเอาทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยยกเว้น เรที่ยังคงสํารวจด้านหน้าร้านไม่เลิก สิ่งที่ฟรอสพูดเนี่ยแหละน่า พิศวงจริง สรุปว่าร้านนี้ควรจะถูกเรียกว่าร้านพิศวงถูกแล้วใช่ไหม
เซนยังคงมองบริเวณหน้าร้านทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืนที่ร้านอื่น ปิดบริการไปแล้วกลับมีเพียงร้านนี้ร้านเดียวที่ยังเปิดไฟสว่างจ้า อยู่
“เอาละ เข้าไปกันเถอะ” ฟรอสพูดก่อนจะผลักประตูเข้าไปเป็น คนแรกตามมาติดๆด้วยคาไมเคิล เซนรีบคว้ามือเรเอาไว้เพื่อความ อุ่นใจก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมนักล่าอันดับหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ร้านพิศวงคุณลูกค้าที่น่ารัก” ทันทีที่เหยียบ ย่างเข้ามาเป็นก้าวแรกเสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น
ทุกคนต่างมองตรงไปข้างหน้าทำให้พวกเขาเห็นชายวัยกลาง คนคนหนึ่งยืนยิ้มมาให้ด้วยท่าทางสบายใจสุดๆ ดวงตาสีม่วงที่ ฉายแววยั่วเย้าเปล่งประกายขณะผมสีชาถูกรวบไว้ด้านหลัง
“อ้าว…นึกว่าใครคุณหนูฟรอสที่มาเมื่อวานนี่เอง” ชายตรงหน้า จ๋าฟรอสที่เดินนำเข้ามาก่อนได้ทันที
“ตาลุงเพี้ยนเอ๊ย…” ฟรอสสบถเบาๆอย่างอารมณ์เสียเมื่อได้ยิน สิ่งที่อีกฝ่ายใช้เรียกตนเอง
“คนนี้เป็นเจ้าของร้านชื่ออัล” ฟรอสแนะนำตัวเจ้าของร้านให้ เพื่อนทั้งสามคนรู้จักเป็นอันดับแรก
“ส่วนทางด้านนี้เพื่อนผมเองชื่อ…” ฟรอสยังไม่ทันแนะนำตัวทุก คนอัลก็โบกมือไม่ให้นักล่าอันดับสามพูดต่อ
“ผมรู้แล้วล่ะครับว่าพวกคุณชื่ออะไรกันบ้าง พอดีทางสมาพันธ์ นักล่าแจ้งทางเราเอาไว้แล้วครับแต่ถ้าอยากจะแนะนำตัวกันจริงๆ ผมก็ยินดีที่จะยืนฟังนะครับ” เจ้าของร้านพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง อย่างที่บอกว่าเขายินดีจะยืนฟังจริงๆทำเอาฟรอสคิ้วกระตุก ถ้ารู้ แล้วใครเขาจะไปอยากแนะนำตัวซ้ำซากกันเล่า
“งั้นคุณก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพวกเรามาทำไม” คาไมเคิลถาม ออกมาเพื่อจะดึงบทสนทนาให้เข้าเรื่องเสียที
“รู้แล้วครับคุณหนูคาไมเคิล” อัลพูดด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนทว่า มันกลับทำให้คาไมเคิลขนลุก คุณหนูงั้นหรือ
“คุณอัลไม่ต้องเรียกพวกเราว่าคุณหนูก็ได้นะค่ะ ขนาดเซนยัง อดขนลุกไปด้วยไม่ได้เลย
“แหม…มันเป็นการให้เกียรติลูกค้านะครับคุณหนูเซนคนสวย พูดพลางทำตาหวานใส่ทำเอาเด็กหนุ่มที่เงียบมาตลอดชักคิ้ว กระตุกเพราะเลือดหวงพุ่งขึ้นหน้าในเมื่อตอนนี้เซนไม่ได้ปลอม ตัวนี่
คาไมเคิลกับฟรอสได้แค่เสียวสันหลัง ทำแบบนี้เดี๋ยวเรก…
ฉีก!!
ยังไม่ทันสิ้นความคิดของนักล่าทั้งสองดีด้วยซ้ำมีดเล่มเล็กก็ปัก ฉีกลงบนพื้นเฉียดเท้าอัลไปไปนิดเดียว ส่วนคนขว้างยังคงยืน นิ่งอยู่ข้างเซนราวกับว่ามีดนั่นไม่ใช่ฝีมือของตน อัลอดจะกลืน น้ำลายลงคอไม่ได้ ใครเป็นคนขว้างเขาไม่รู้เพราะเขาไม่เห็น แม้แต่ตอนปามีดเลยด้วยซ้ำ
“จะเข้าเรื่องได้หรือยัง” เสียงเย็นเยียบดังมาจากเด็กหนุ่มผมดำ ทำเอาบรรยากาศภายในร้านดูวังเวงว่าเดิม อัลสังเกตว่าพอเด็ก หนุ่มคนนี้พูดขึ้นมาทำให้ทุกคนยอมนิ่งฟังได้ไม่เว้นแม้แต่ฟรอส ที่ชอบโวยวาย คนๆนี้คือเรฟานอฟสินะและน่าจะมีอันดับเหนือคน ทั้งสามด้วย
“ลูกค้าอย่างพวกคุณหนูเชิญหลังร้านดีกว่านะครับ” อัลพูดพร้อม รอยยิ้มที่ยังเกลื่อนอยู่บนใบหน้าพลางชวนทุกคนเดินตามเขา เข้าไปหลังร้านราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ความจริงเขาอด จะขนลุกขึ้นมาไม่ได้
เมื่อกี้ถ้าคนปาตั้งใจให้ปักลงบนเท้าเขาแทนที่จะเฉียดไปแบบนั้น อัลไม่อยากคิดเลยว่าเท้าของเขามันจะออกมาสภาพไหน
“ปกติลูกค้าที่มีรูปดอกกุหลาบติดตัวพวกเราจะต้อนรับกันหลัง ร้านนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างร่าเริงก่อนจะก้าวไปเปิดประตูด้าน หลังร้านอย่างอารมณ์ดี
ทุกคนต่างเดินตามหลังอัลเข้าไปแล้วก็ต้องตกตะลึงไม่เว้นแม้ แต่ฟรอสเพราะเขายังไม่เคยเข้ามาหลังร้าน
ด้านหน้าร้านกับด้านหลังร้านมันช่างต่างกันลิบลับเพราะด้าน หน้าร้านนี้ขายของไร้สาระบังหน้าทว่าด้านหลังกลับเป็นที่ ซ้อมรบครบครันที่มีทั้งอาวุธ ตำราเวทมนตร์หรือแม้แต่พวกยา สมุนไพรหายากขาย
แค่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่หลังร้านก็เป็นตัวบอกได้แล้วว่าที่นี่ อยู่ได้ด้วยลูกค้าที่มีเวทมนตร์ไม่ใช่ลูกค้าที่เป็นผู้ไร้เวท สมกับเป็น ร้านที่สมาพันธ์แนะนําจริงๆ
“แล้วทำไมต้องมาเปิดร้านตอนกลางคืนด้วยละค่ะ” เซนถามออก มาขณะที่คนอื่นมัวแต่สํารวจห้อง ทีนีอาจจะมีอาวุธผิดกฎหมายก็ จริงแต่นักล่าอันดับสองไม่เชื่อหรอกว่าที่คนตรงหน้าเปิดร้านตอน กลางคืนเพราะหนีพวกตำรวจ ในเมื่อดูจากทําเลที่ดินของร้าน และอาวุธมากมายพวกนี้แล้วร้านนี้น่าจะมีผู้หนุนหลังเป็นคนใหญ่ คนโตทีเดียวและอีกอย่างตำรวจบ้านไหนจะมาสงสัยร้านที่จาก หน้าเป็นร้านขายของเก่าที่ชวนให้ถอยหนีกัน แถมการเปิดร้าน ตอนกลางคืนนี่แหละที่เป็นตัวเรียกตรวจอย่างดี
“แหมก็มันดูดีจะตายไปที่มีเพียงร้านเราเท่านั้นที่เปิดไฟ ท่ามกลางความมืดมิดในขณะที่ร้านอื่นปิดหมด หรือคุณหนูไม่คิด แบบนั้นหรือครับ” เซนได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบรับเหตุผลนั่นขณะที่ฟรอสพึมพำออกมาว่า เหตุผลเพี้ยนๆอีกแล้ว
คาไมเคิลดูจะสนใจที่นี่มากเพราะนักล่าอันดับหกเลือกที่จะลอง เดินไปรอบๆแม้จะรู้ว่าต่อให้เดินสี่ชั่วโมงก็คงยังสำรวจที่นี่ไม่รอบ หรอก
“ไม่ได้เพี้ยนนะครับ มันก็แค่เป็นความคิดนอกกรอบเท่านั้น มัน ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อยที่มีแต่พวกคิดในกรอบจริงไหมครับคุณ หนูทั้งหลาย” อัลที่ได้ยินคำพูดของฟรอสรีบแก้ต่างให้ตนเอง แต่ ฟรอสกลับร้องเหอะออกมาพลางคิดในใจ ก็คนเพี้ยนที่ไหนเล่าจะ ยอมรับว่าตนเองเพี้ยน
ทำไมทางสมาพันธ์ถึงให้มาหานาย” เสียงเย็นของเรถามเพื่อ “ ดึงให้ทุกคนกลับเข้าเรื่องเป็นครั้งที่สอง
“อ้าว….คุณหนูทั้งหลายไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากผมหรือ ครับ” เพียงแค่ได้ยินคำพูดของตาลุงที่ยืนอยู่ข้างหน้า เรก็คว้า แขนเซนาเรียสเตรียมจะหมุนตัวเดินออกจากร้านในทันทีโดยไม่ สนความตั้งใจเดิมว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม ร้อนถึงเจ้าของร้านจอม เพี้ยนที่ต้องรีบรั้งเอาไว้ก่อนที่ลูกค้าจะออกไปจากร้านจริงๆ
“ผมล้อเล่นครับ คุณลูกค้าที่ไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย” ฟรอสอยาก จะหักคอไอ้คนพูดนัก คิดออกมาได้ยังไงไอ้อารมณ์ขันเพี้ยนแบบ นี้ ถ้าเกิดเมื่อกี้รั้งเรไว้ไม่ได้แล้วหมอนี่พาเซนกลับขึ้นมาจริงๆจะทำยังไงเล่า อีกอย่างเรก็ไม่อยากจะมาที่นี่ตั้งแต่ แรกอยู่แล้วด้วยยังดันไปบอกว่าพวกเขามาขอความช่วยเหลืออีก เมื่อกี้ถ้าเซนไม่รั้งไว้ให้ละก็หมอนี่คงจะใช้เวทกลับไปโรงเรียน โดยไม่สนใจใครแล้ว
“ว่ามา” เสียงเย็นยะเยือกกว่าคราวใดถูกเปล่งออกมาพลางจ้อง หน้าอัลที่ยังคงยิ้มให้
“ทางสมาพันธ์ติดต่อมาทางร้านเราว่าถ้าท่านต้องการอะไรก็ ให้มาบอกเรา ทางเราจะเป็นคนจัดหาของที่พวกท่านต้องการใน ทันที อีกทั้งถ้าพวกท่านต้องการข้อมูลอะไรก็ติดต่อมาทางพวก เราได้เช่นกัน ในช่วงที่พวกท่านอยู่ที่นี่พวกเราจะเป็นคนคอยช่วย เหลือพวกท่านเอง” อัลร่ายยาวแต่มันทำให้เซนขมวดคิ้ว
“พวกเราหรือ…” เสียงหวานทวนอย่างติดใจ นอกจากชายตรง หน้าแล้วยังมีพนักงานประจำคนอื่นอีกหรือ
“ผมยังไม่ได้บอกสินะครับว่าร้านนี้นอกจากผมแล้วยังมีพนักงาน อีกห้าคนครับ แต่วันนี้พวกเขาติดธุระกันหมด” อัลอธิบายพร้อม รอยยิ้มแต่จนแล้วจนรอดเรก็ยังไม่เชื่อใจคนตรงหน้าอยู่ดี
“แหมคุณหนูเรฟานอฟอย่าจ้องผมแบบนั้นสิครับ ผมเชื่อใจได้นะ ขอบอก” อัลพูดออกมาเสียงใสพลางยืดอกและทำตัวให้ดูเหมือนว่าตนเองใสซื่อแต่มันก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ทว่าคำพูด นั้นกลับทำให้จิตสังหารที่เต็มไปด้วยความกดดันจากร่างสูงพุ่ง เข้าหาเจ้าของร้านจอมเพี้ยนทันทีบ่งบอกว่าเจ้าของจิตสังหาร กำลังไม่พอใจสุดๆ ดวงตาสีนิลที่เคยเย็นชาทอแววอำมหิตออก มาก่อนเสียงที่ยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่จะเอ่ยขึ้น
เก็บคําว่าคุณหนูของนายไปซะ” ท่าทางที่แสดงออกและจิต สังหารพวกนั้นเป็นการข่มขู่ที่ได้ผลดีมากเพราะอัลรีบพยักหน้า ให้อย่างรวดเร็ว ก็เขาไม่อยากตายก่อนวัยอันควรนี่ ชีวิตหนุ่มของ เขายังมีเรื่องให้เผชิญเยอะแยะจนไม่น่าเบื่อเลย
“นายมันไม่น่าไว้ใจ” เรประกาศก้องทำเอาอัลถึงกับแข็งทื่อ เขา เจอลูกค้ามามากมายแม้อีกฝ่ายจะแอบคิดในใจยังไงแต่ยังไม่มี ใครเคยพูดออกมาตรงๆเลยว่าเขาไม่น่าไว้ใจ
ว่าแต่ข่าวร้ายที่คุณจะบอกเราคืออะไรหรือครับ” คาไมเคิลถาม ออกมาตัดหน้าเรที่ชักจะอารมณ์เสีย ขืนยังปล่อยให้คนตรงหน้า พล่ามต่อลงจอมเพี้ยนคนนี้คงได้นอนตายอยู่ในร้านของตนเอง อย่างอนาถเป็นแน่ แล้วอีกอย่างวันนี้ที่พวกเขามาก็เพื่อมาถาม เรื่องนี้
“ฉันมันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรือ…” เสียงจากปากของอัลวน ไปวนมาอยู่แบบนั้นดูแล้วเจ้าตัวคงช็อกน่าดู นี่พวกเขาควรจะบอก ตาลงคนนี้ดีไหมเนี่ยว่านักล่าอันดับหนึ่งก็ไม่เคยเห็นจะไว้ใจใคร เลยนอกจากนักล่าอันดับสอง เอาเถอะถ้าถามคำถามไปอีกทีแล้วลุงนี่ได้สติก็คงไม่ต้องอธิบายหรอก
“ตกลงข่าวร้ายคืออะไร” ฟรอสถามแทนคาไมเคิลที่ชักจะเบื่อ หน่ายกับนิสัยเพี้ยนๆ แต่อัลก็ยังคงพึมพำราวกับคนไม่ได้สติจน พวกเขาชักหงุดหงิด พวกเขาน่าจะปล่อยให้เรจัดการฆ่าหั่นศพคน ตรงหน้าไปซะ
“ตกลงข่าวร้ายคืออะไรคะ” เซนเดินเข้าไปใกล้พลางถามออกมา ทําให้อัลหันมายิ้มให้โดยทันที
“อ๋อ…ข่าวร้ายหรือครับ…งั้นมาตั้งใจฟังกันดีกว่า” คำพูดของอัล ทําเอาฟรอสอยากฆ่าคนขึ้นมาหงิดๆ ได้ข่าวว่าเมื่อกี้เขาก็ถาม เหมือนเซนเปะๆเลยแต่คนตรงหน้าก็ดันไม่ตอบคำถามเขา
“งี่เง่า” เสียงเย็นของเรประณามแต่อัลกลับหัวเราะบ่งบอกว่าเขา ไม่สนใจคำต่อว่านั่น
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่จะบอกว่าที่นี่มีกฎหมายเกี่ยวกับ ผู้ใช้เวทอยู่ ซึ่งคนที่ตั้งกฎและควบคุมกฎคือสมาพันธ์ควบคุมนัก เวทครับ” ตาลุงจอมเพี้ยนเริ่มเข้าเรื่องเป็นการเป็นงานทำให้ดูน่า นับถือขึ้นมาหน่อย
“ผู้ใช้เวทที่นี่จะต้องมีบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันว่าได้รับรองจาก สมาพันธ์นักเวทแล้ว สําหรับคนที่ไม่มีบัตรแต่ยังดึงดันจะใช้เวทจะต้องถูกกำจัดทันที” อัลอธิบายพร้อมรอยยิ้มแต่ชายหนุ่ม รู้ดีว่าต่อให้สี่คนตรงหน้าไม่มีบัตรและยังดึงดันจะใช้เวททางสมา พันธ์ก็ไม่น่าจะทำอะไรได้อยู่ดี
“แค่นี้เป็นข่าวร้ายตรงไหนเนี่ย” ฟรอสโวยวายออกมาอย่างหัว เสีย ข่าวแค่นี้ให้เขาเอาไปบอกพวกนี้ตั้งแต่เมื่อวานไม่ต้องถอด สังขารมาถึงที่นี่ก็ได้
“เอ๊ะ…ผมยังบอกไม่หมดเลยคุณหนูฟรอสมาสรุปเองแบบนี้ได้ ยังไง” ชายวัยกลางคนลอยหน้าลอยตาพูดอย่างสบายใจ
“ผมแค่อธิบายให้ฟังยังไม่ทันได้เข้าเรื่องเลย คุณหนูฟรอสนี่ไร้ ความอดทนสิ้นดี” ฟังคำพูดนี้แล้วอยากจะขอถอนความคิดเมื่อกี้ คือจริงๆ ไอ้ลุงนี่ไม่มีวันน่านับถือขึ้นมาได้หรอก
เรเริ่มหมดความอดทนขึ้นทุกทีทําเอาเซนต้องบีบมือคู่หมั้น ของตนเองเอาไว้เพื่อเตือนสติ เรจะฆ่าคนไม่ได้นะโดยเฉพาะคน ที่ทางสมาพันธ์ส่งมาเพื่อช่วยงานพวกเรา
“จะเข้าเรื่องจริงๆได้หรือยัง” เรเอ่ยถามพร้อมดวงตาสีนิลที่หรี่ ลง เขาให้สัญญากับตนเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะ ถาม…ใช่ครั้งสุดท้ายจริงๆเพราะครั้งหน้าเขาจะลงไม้ลงมือเพื่อ ระบายอารมณ์แทนแล้ว
อัลต้องรีบกระแอมก่อนจะพาเข้าเรื่องทันที ก็เด็กหนุ่มคนนี้น่ากลัวน้อยที่ไหนเล่าดูสิขนาดคุณหนูฟรอสกับคุณหนูคาไมเคิล ยังไม่กล้าขัดใจเลย
“สรุปก็คือถ้าพวกคุณอยากอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข พวกคุณก็ต้องไป เข้ารับการทดสอบที่สมาพันธ์นักเวทในวันหยุดที่จะถึงนี่ เงื่อนไข คือต้องอยู่ในร่างของเด็กอายุสิบสอง” คำพูดสรุปทั้งหมด เอา ฟรอสอยากจะโวยวายออกมา แค่พูดประโยคพวกนี้ออกมาตั้งแต่ ทีแรกก็จบจะพูดมากออกมาทําไม
เดี๋ยว…เมื่อกี้หมอ ว่าไงนะ!!
“เฮ้ย…ประโยคหลังสุดนายพูดผิดหรือเปล่า” ฟรอสท้วงและหวัง ว่าตาลงเพี้ยน จะพูดผิดจริงๆ
“ไม่หรอกครับคุณหนูฟรอส ผมพูดถูกทุกคำพูดเลยครับ เพราะ การทดสอบครั้งนี้รับแต่เด็กอายุสิบสองครับ” นี่สินะ…นี่สินะข่าว ร้ายที่ตาลงจอมเพี้ยนพูดถึง บ้าเอ๊ย…บ้าที่สุด!! ในใจของฟรอส ร่ำร้องดังลั่นทว่าสีหน้าเจ้าตัวกลับยังไม่เปลี่ยนเพราะตามอารมณ์ ของตนเองไม่ทัน
“เอ๋…นี่ยังไม่ใช่ข่าวร้ายของพวกคุณอีกหรือ งั้นมาทำให้มัน เป็นข่าวร้ายโดยการเปลี่ยนเป็นเด็กแล้วสลับเพศด้วยดีไหมครับ แต่ละคนพร้อมใจกันมองหน้าไอ้คนเสนอแนวคิดปัญญาอ่อนให้ อย่างกินเลือดกินเนื้อ สายตาแต่ละคนบอกเป็นคําพูดเดียวกันว่า คําแนะนํานิ่นแกเอาไปทําเองเถอะ
ให้ตายสิไม่ว่าจะเป็นตัวร้านหรือเจ้าของร้านก็เพี้ยนกันไปหมด จริงๆ สรุปแล้วไอ้ร้านบ้าๆนี่มันไม่มีชื่อไหนจะดีไปกว่าชื่อร้าน พิศวงอีกแล้วละ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ