คัมภีร์เหนือเวท

กุญแจดอกที่ 2 : นักล่าหญิงผู้เหมือนปีศาจ (บทจบ)



กุญแจดอกที่ 2 : นักล่าหญิงผู้เหมือนปีศาจ (บทจบ)

สถานที่ที่ทุกคนมารวมกันอีกครั้งหนึ่งคือห้องแคบๆและมืดมิด ในส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท มีเพียงบานหน้าต่างยักษ์บานเดียว เท่านั้นที่อยู่ด้านหลังสุด

แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างช่วยทำให้ห้องสว่าง ขึ้นมาเล็กน้อยและเพราะแสงจันทร์ทำให้ทุกคนเห็นโซ่สีเงินเส้น ยักษ์ใหญ่สี่เส้นที่ลงอาคมซ้อนๆกันเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับ จะใช้คุมขังนักโทษชายที่มีพลังเวทและอำนาจแกร่งกล้าคนหนึ่ง ปลายโซ่ถูกติดไว้กับกำแพงใต้หน้าต่างบานยักษ์ ห้องทั้งสาม ด้านถูกทำมาจากหินที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเท่าที่จะหาได้ หินเหล่านั้นยังถูกลงทับด้วยอาคมชั้นแล้วชั้นเล่าจนยากจะพัง ทลาย

ห้องนี้ทั้งมืดมิดและหนาวเหน็บในความคิดของทุกคน ยิ่งกลิ่น คาวเลือดและกลิ่นอับของห้องก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนว่ามัน เป็นคุก แต่มันก็คงเป็นคุกจริงๆ สำหรับคนในตระกูลโซเวียทุกคน มันเป็นห้องเดียวในปราสาทที่คนในตระกูลแห่งโซเวียเกลียดชัง และไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้มากที่สุด

ห้องนี้มันคืออดีตอันเลวร้ายของพวกเขา มันจะตอกย้ำทุกครั้งที่ คิดถึง เมื่อหลุดพ้นมาแล้วไม่มีใครหรอกที่อยากจะกลับมาที่นี่

กําแพงด้านสุดท้ายที่ติดอยู่กับทางเดินในปราสาทถูกสร้าง
มาจากกระจกใสที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ มันถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้คนภายนอกสามารถมองเห็นด้านในได้

“นี่มัน…อะไรกัน” เสียงหวานขององค์ราชินีมาอาน่าถามออกมา เมื่อเห็นสภาพห้องจากด้านนอก ที่นี่น่ะหรือที่จะทดสอบ แล้วจะ ทดสอบอะไร

“ใช่… ที่นี่แหละ” องค์ราชาคาเรียสพูดพลางทอดมองเข้าไปใน ห้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อความทรงจำอันเลวร้ายยังคงฝังลึกอยู่ ในใจ

องค์ราชาเอสและเด็กทั้งเจ็ดคนหันไปมองรอบๆอย่างสนใจ ปล่อยให้ห้องกลับมาเงียบเชียบดังเดิม… ใช่เหมือนเดิมไม่ผิด เพี้ยน

“แต่ที่นี่มันเงียบมากเลยนะ แถมยังดูอ้างว้างยังไงก็ไม่รู้” เสียง หวานขององค์ราชินีคนเดียวในที่นี่ยังคงคัดค้านแต่องค์ราชาเอ สได้จับไหล่ราชินีของตนเองเอาไว้แล้วส่ายหน้าราวกับจะปราม

“ใช่…ความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดแบบนี้แหละ… ที่คนใน ตระกูลแห่งโซเวียต้องเจอทุกคน” องค์ราชาแห่งโซเวียยังคงพูด ออกมา ดวงตาสีทองคำคู่นั้นยังคงเรียบเฉยทว่าภายใต้ความเรียบ เฉยมันกลับซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้มากมาย
สำหรับคนในตระกูลแห่งโซเวียแล้วทุกๆคนล้วนรู้จักความเจ็บ ปวดและความทรมานของการถูกกักขังและพันธนาการ แต่เหนือ สิ่งอื่นใดพวกเขารับรู้ถึงความไร้อิสรภาพดียิ่งกว่าใครในโลก เพราะแบบนั้นอิสรภาพจึงเป็นสิ่งที่สําคัญยิ่งกว่าชีวิตของพวกเรา เป็นสิ่งที่พวกเรายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมัน

แต่ยังไม่ทันที่ใครจะถามอะไรต่อร่างของผู้หญิงสองคนที่ต่าง อายุกันก็เดินเข้ามาขัดความคิดของทุกคน สตรีที่เดินเข้ามาคน แรกคือองค์ราชินีวาเนชา ใบหน้าขององค์ราชินีตัวนิ่งสงบผิดกับ ดวงตาสีชมพูคู่นั้นที่เผยความเศร้าออกมา

คนที่สองที่เดินตามหลังมานั้นเป็นเด็กหญิงหน้าตาสวย ผิวขาว อมชมพูดูน่ารักน่าหยิก ผมสีชมพูถูกปล่อยยาวลงมาถึงกลางหลัง ดวงตาสีทองคําคู่นั้นทอประกายสดใสราวกับหมู่ดาว เมื่อเข้ามา ถึงเด็กน้อยก็เคารพผู้สูงศักดิ์จากต่างแดนทั้งสองก่อนจะยิ้มให้ทุก คนซึ่งมันดูน่ารักมาก

“ลูกพวกเธอนี่น่ารักดีแหะ ฉันอยากมีลูกสาวน่ารักๆแบบนี้มา เรียกว่าแม่บ้างจัง ไม่เหมือนไอ้ลูกชายฉันกว่าจะยอมพูดออกมา สักค้าต้องหาอะไรมาง้างปากแถมมนุษย์สัมพันธ์ยังติดลบเหมือน พ่ออีก” องค์ราชินีมาอาน่าบ่นถึงลูกชายตนเองแถมยังไปกระทบ องค์ราชาเอรีส แต่ดูเหมือนคนถูกว่าก็ไม่สนใจอะไรมากนอกจาก ส่งสายตามาปรามทั้งที่รู้ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับคนรัก
“ว่าแต่หนูชื่ออะไร” องค์ราชินีมาอาน่าถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งเด็ก น้อยก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจแล้วตอบคำถามนั้น

“หม่อมฉันเนาเรียส เอน่อนเจ้าหญิงแห่งโซเวีย เรียกสั้นๆว่า เช่นก็ได้เพคะ” ดวงตาสีทองแม้จะเปล่งประกายและสดใสแต่ก็ยัง ปนเปไปกับความเศร้า

“หนูเซนหรอ อืม…น่ารักดีนะ” องค์ราชินีมาอาน่าพึมพำขณะเด็ก น้อยเดินผ่านไปหาท่านแม่ที่เรียกเธออยู่หน้าประตูกระจก ร่าง เล็กๆก้าวมาไม่เท่าไหร่ก็หยุดลงที่หน้าประตูขณะที่ท่านแม่ของ เธอก้าวนำเข้าไปแล้ว

เธอไม่อยากเข้าไปเลย… ดวงตาสีทองมองข้างในห้องด้วย ความเจ็บปวด อยากร้องไห้ออกมาแต่การร้องไห้มันจะช่วยให้ อะไรดีขึ้นอย่างนั้นหรือ

“เซน…” ท่านพ่อเรียกเสียงเขาก่อนจะก้าวเข้ามาหาคนเป็นลูกที่ ยังคงนิ่งไม่หันมามอง

“ถ้าเป็นไปได้…พ่อก็ไม่อยากให้ลูกเข้าไปหรอก” เสียงแผ่วเบา ที่ลังเลว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่ดังขึ้น เขากลัวว่าคำพูดนี้จะไป ตอกย้ำความเจ็บปวดของลูกสาว

“จะต้องทรมานแบบนี้ไปอีกสักกี่ครั้งหรือท่านพ่อ ถึงจะสามารถ เป็นแบบท่านยามที่มีท่านแม่อยู่เคียงข้างในเวลานี้เด็กน้อยถามออกมาเสียงสั่นเพราะภายในห้องนั้นสิ่งที่เธอต้อง พบเจอมีแต่ความทรมานที่ไม่สิ้นสุด

เมื่อไหร่กัน…อีกนานเท่าไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นจากความทรมาน พวกนี้เสียที

หากโชคดี นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย” ค่าตอบของผู้เป็นพ่อท่าเอา เซนาเรียสอยากจะหัวเราะออกมาดังๆพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนอง หน้า หัวเราะให้กับความน่าสมเพชของตนเอง

โชคดีงั้นหรือ…เธอเคยมีคํานี้ด้วยหรือ

“ท่านพูดเหมือนท่านแม่” พูดจบเด็กหญิงก็เดินเข้าไปหาท่าน แม่ที่ยืนรออยู่ด้านใน ท่านพ่อ…สําหรับเธอคงต้องพึ่งปาฏิหาริย์ เท่านั้นแล้ว

เด็กหญิงเดินไปหยุดอยู่ที่ที่มีแสงจันทราส่องลงมาพอดีก่อนจะ หันหลังให้กับคําแพงด้านหลังแล้วหลับตาลงปล่อยให้ท่านแม่ เอาโซ่เส้นยักษ์นั่นมาล่ามข้อเท้าและข้อมือของเธอไว้อย่างแน่น หนา ความหนักของโซ่ที่ถาโถมเข้ามาทำเอาร่างเล็กแทบทรุดลง ไปกองกับพื้นหากก็ได้แต่ก้าวไปข้างหน้าตามคำพูดของคนเป็น แม่จนสายโซ่ตึง

ท่านแม่ขยับห่างเด็กน้อยไปอีกสองก้าวก่อนจะเรียกสายลมอัน คมกริบกรีดเป็นทางยาวไปกับพื้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง

เด็กหญิงค่อยๆเดินกลับไปอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์อีกครั้งหนึ่ง เสียงสายโซ่ที่กระทบไปกับพื้นเย็นๆช่างเสียดแทงเข้าไปในร่าง ของผู้เป็นพ่อและแม่ ทว่าจะทำอย่างไรได้เมื่อมีแค่ทางนี้ทาง เดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะทำให้ลูกคนนี้ได้

เมื่อเด็กหญิงกลับไปนั่งที่เดิมแล้วผู้เป็นมารดาก็เดินเข้าไปหา เธอรู้ว่าทำไมลูกสาวจึงเลือกที่จะนั่งตรงนี้ ที่ๆเซนเลือกนั่งก็เป็น ที่ๆคนในตระกูลแห่งโซเวียแทบทุกรุ่นเลือกนั่ง เพราะมันเป็น เพียงที่เดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าในห้องนี้ไม่ได้มีดและ หนาวเหน็บเท่าที่พวกเขาคิด

“แม่ทำให้ลูกได้เท่านี้ละเซน แม่สามารถทำได้แค่นี้จริงๆ” เสียง หวานดังมาขณะดวงตาสีชมพูของคนพูดสั่นระริกราวกับอยากจะ ร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้นเมื่อเห็นท่าทางของคนเป็นลูกสาว แต่ คําพูดนั้นราวกับจะตอกย้ำตนเองยิ่งกว่าใคร

พวกเราเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหมเซนาเรียส เพียงแค่ ลูกสาวที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดพวกเราก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ ไม่อาจ ทำได้แม้แต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดสักเพียงนิด สิ่งที่พ่อกับแม่ ทำได้คือพันธนาการลูกเอาไว้และได้แต่ยืนมองเท่านั้น ยืนมอง ลูกกรีดร้องทรมานอย่างเจ็บปวดทั้งที่พ่อกับแม่เจ็บปวดยิ่งกว่าลูก หลายเท่า
“ลูกรู้ท่านแม่…ลูกรู้…” เสียงใสนั้นปลอบท่านแม่ของตน อยาก จะพูดว่าไม่เป็นไรแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เพราะว่าสิ่งที่ กำลังพบเจอนั้นมันช่างทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิต

ลูกรู้ท่านแม่ว่าท่านอยากจะช่วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี และลูก ก็รู้เช่นกันว่าต่อให้อยากช่วยมากแค่ไหนท่านก็ไม่มีวันช่วยได้ ลูก รู้ว่าท่านแม่รัก ลูกรู้ว่าท่านแม่เจ็บ แต่ต่อให้ท่านแม่เจ็บมากกว่านี้ ลูกก็ไม่สามารถหายจากความทรมานนี้ไปได้

“บางครั้งนะท่านแม่ ลูกก็ไม่อยากหายใจอีกต่อไป” ไม่อยากจะ เกิดมา ไม่อยากมีชีวิตและไม่อยากแม้แต่จะมีลมหายใจ จะอยู่ไป เพื่ออะไร เพื่อรับความทรมานที่ไม่จบสิ้นแบบนี้น่ะหรือ

ราชินีแห่งโซเวียรีบหันหลังให้ร่างเล็กขณะปล่อยให้น้ำตาไหล ออกมาเป็นทาง เธอไม่สามารถช่วยลูกคนนี้ได้จริงๆ

“โชคดีนะ…ลูกรัก” แม่รักลูกนะเซน ไม่ว่ายังไงก็จะรัก เพราะ ฉะนั้นได้โปรดอย่าคิดที่จะตาย…และได้โปรดอย่าคิดว่าการถือ กําเนิดมาคือความทรมานและเจ็บปวด ได้โปรด…อย่าได้คิดแบบ นั้น เพราะแม่เจ็บปวดเหลือเกิน

ร่างบางขององค์ราชินีวาเนชาเดินออกมาจากห้องแต่ไม่ได้พูด ความในใจออกไป เพราะเพียงแค่เห็นผู้เป็นลูกเธอก็พูดอะไรไม่ ออกแล้ว
“เอาละ เข้าไปเลยนะเด็กๆ แต่อย่าเดินเข้าไปใกล้เส้นที่ขีดเอาไว้ ล่ะ มันอันตราย” องค์ราชาคาเรียสพูดก่อนจะเดินนำเด็กๆทุกคน เข้ามาในห้อง

คนเป็นพ่อเดินเข้าไปหาลูกสาวของตนแล้วได้แต่ถอนหายใจ ออกมา เขารู้จักความทรมานนี้ดีเพราะเขาก็เคยรับรู้มันมาก่อน ได้ แต่อ้อนวอนโชคชะตา…ขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถอะ

องค์ราชาคาเรียสชักมีดที่พกติดตัวไว้เสมอออกมาก่อนจะกรีด ลงบนข้อมือจนเกิดแผลเป็นทางยาว เลือดสีแดงฉานไหลออกมา จากปากแผลก่อนจะหยดลงบนพื้นตรงหน้าลูกสาวตัวน้อย ราวกับ เป็นสายธารโลหิต กลิ่นคาวของมันกระจายไปทั่วห้องแทบจะใน ทันที

เลือดสีแดงสดคือตัวแปรสําคัญที่ไม่อาจขาดได้ในการทดสอบ ครั้งนี้ ผู้เป็นพ่อหันหลังให้ก่อนจะเดินออกมาแล้วปิดประตูลง ปล่อยให้เด็กผู้มีรูปดอกกุหลาบสีดำอยู่กับลูกสาวของเขาที่ถูก พันธนาการด้วยโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา

มาอาน่ามองผ่านกระจกเข้าไปด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่รู้จะพูด อะไรดี ร่างเล็กภายใต้แสงจันทร์นั้นช่างเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ ถูกจองจําอิสรภาพทั้งหมด นี่มันการทดสอบอะไรกัน

“กําลังจะเริ่มแล้วมาอาน่า การทดสอบที่แท้จริง” เอรีสพูดออกมา เขาเคยมาที่นี่และเคยเป็นเด็กที่มาเป็นตัวเลือกในการ ทดสอบของคาเรียสและคาเรียสก็ได้เลือกวาเนชา

“นี่คือความเจ็บปวดและความทรมานที่คนตระกูลนี้แบกรับมา ตลอดมาอาน่า” คือความทรมานและความเจ็บปวดที่ถูกถ่ายทอด มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่อให้ไม่อยากได้แต่ก็ต้องแบกรับเอาไว้ ไม่มีวัน เปลี่ยนแปลงและไม่มีวันปฏิเสธได้ด้วย

“มันคือความเจ็บปวดและความทรมานอย่างที่พวกเราไม่อาจ คาดคิด” เพราะว่าไม่เคยเป็นก็เลยไม่เข้าใจความรู้สึกนั่น ความ รู้สึกของการถูกกักขังอยู่ในห้องนี้ ความรู้สึกของผู้ถูกพันธนาการ อิสรภาพทุกอย่างและความรู้สึกของผู้ที่เรียกร้องอิสรภาพ มากกว่าผู้ใด

“เอรีส…” องค์ราชินีมาอาน่าเรียกออกมาอย่างไม่เข้าใจในสิ่ง ที่คนข้างๆกำลังพยายามบอกเธอ แต่องค์ราชาเอรีสไม่ได้ตอบ คำถามอะไรองค์ราชินีของตนอีกทำให้ราชินีมาอาน่าละความ สนใจจากคนรักกลับไปยังเด็กหญิงที่ถูกพันธนาการ ในตอนนั้น เองสถานการณ์ในห้องที่แคบและมืดมิดก็เริ่มจะเปลี่ยนไป

“เริ่มแล้ว…”
กลิ่นคาวแบบนี้ สีแดงสดที่สวยงามแบบนี้ ยังคงเหมือนเดิมไม่ เปลี่ยนแปลง สีแดง…สีแดงของโลหิต สวยงามทว่าก็น่ารังเกียจ เซนาเรียสได้แต่มองเลือดสีแดงสดที่อยู่ตรงหน้า ของเหลวสีแดง ของผู้เป็นพ่อค่อยๆไหลเข้าหาตัวเธอที่ได้แต่นิ่งงัน

ภายในห้องขังยังคงเงียบสงบเมื่อเด็กทุกคนในห้องยังคงจับ จ้องไปทางเด็กหญิงผมชมพูที่ถูกพันธนาการอยู่มุมห้องเพื่อรอดู ความเปลี่ยนแปลง

“อีก….” เซนต้องยกมือขึ้นกุมอกแน่น ดวงตาสีทองเบิกกว้างเมื่อ สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ดิ้นรนอยู่ภายในร่างกาย ดิ้นรนเพื่อจะได้ ออกมาแทนที่เธอและดิ้นรนเพื่อจะได้เป็นอิสระ แม้จะพยายาม หยุดยั้ง แม้จะพยายามร่ำร้องเท่าใดก็ไม่มีผล

“ไม่…ได้โปรด…” เสียงหวานของเด็กหญิงเค้นออกมาอย่างยาก เย็น เจ็บปวด ทรมานราวกับจะขาดอากาศหายใจ ต้องทำยังไงกัน ถึงจะพันธนาการแกเอาไว้ได้ตลอดกาล

เอาร่างเจ้าให้ข้า…เซน” เสียงในหัวเริ่มกรีดร้องเสียงดังเมื่อเด็ก หญิงยังคงต่อต้าน เซนส่ายหน้าปฏิเสธเสียงนั่นเพื่อกักขังมันเอา ไว้สุดชีวิตเช่นกัน แม้จะรู้ว่าสุดท้ายทำอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ สิ้นดี

ร่างกายที่เป็นของเธอเริ่มไม่ฟังตนเองเมื่อสติใกล้จะดับลงเด็กหญิงตัดสินใจจิกเล็บลงกับเนื้อเพื่อใช้ความเจ็บเรียกสติของ ตนเองให้กลับคืนมา

“ไม่…ไม่ได้” เสียงหวานปฏิเสธพร้อมน้ำตาใสๆที่ไหลนองหน้า เมื่อความเจ็บปวดเริ่มครอบคลุมสติ มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากเล็บ ที่จิกลงเนื้อแต่เป็นความเจ็บปวดที่ปีศาจในร่างกายสร้างขึ้น

ทรมานหากก็ไม่มีใครช่วยได้ ท่านพ่อ…ท่านแม่…จะร้องเรียก ไปทำไมในเมื่อพวกท่านก็ช่วยไม่ได้ แล้วใครจะสามารถหยุดยั้ง มันได้หรือว่าจะไม่มีกัน ต่อให้เอื้อมมือไปจนสุดแขน ต่อให้ร่ำร้อง ตะโกนสักแค่ไหนมันก็ไร้ค่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมันช่างไร้ค่า โชคดีหรือความหวังทั้งสองสิ่งนั้นช่วยเธอไม่ได้

ใช่…ช่วยเธอให้หลุดจากความทรมานนี้ไปไม่ได้เลย

ตัดใจเสียเถอะ เสียงในหัวยังคงคำรามแต่มันยิ่งทำให้เด็กน้อย ร่ำไห้ อึดอัด มืดมิดและหนาวเหน็บ เป็นแบบนี้ทุกครั้งในยาม ค่ำคืนที่เห็นเลือด ทรมานอย่างนี้ทุกครั้งและจะทรมานในห้องขัง นี้จนกว่าทิวาจะมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง

เธอเหมือนคนตาบอดที่หวังไขว่คว้าแสงสว่างในความมืดมิดที่ ว่างเปล่า หวังเพียงแค่ให้มีมือสักคู่หนึ่งยื่นมาตรงหน้าแล้วกระชา กเธอออกจากฝันร้าย
แค่มือสักคู่ก็พอ… ไม่ว่าจะเป็นของใครเธอก็พร้อมจะพลีกายเพื่อ ปกป้องมือคู่

“อึก…” ไม่ไหวแล้ว… ต้านไม่ไหวเสียแล้ว แม้จะใช้เล็บจิกลงไป ในเนื้อจนเลือดสีแดงฉานไหลซึมแต่ก็ดูเหมือนจะกระชากสติของ เธอให้กลับมาไม่ได้

ช่างน่าสมเพช…ทำได้แค่นี้เองนะหรือ ไม่ว่าจะทำยังไงก็น่า สมเพช มันเหมือนตราบาปที่ค่อยตามหลอกหลอน ราวกับจะย้ำ เดือนลงในความทรงจำให้ติดตัวไปตลอดชีวิต

จงจําไว้ว่าผู้ที่ครอบครองพลังมากที่สุด ผู้ที่ยืนอยู่สูงกว่าพวก นักล่าคนอื่นมาตลอดอย่างพวกเรากลับไม่เคยควบคุมพลังและ อำนาจของตนเองได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเลยแม้สักรุ่น รวม ทั้งตัวเธอด้วย

ดวงตาสีทองของเด็กน้อยค่อยๆหลับลงอย่างสิ้นหวังก่อนร่าง เล็กจะทรุดลงไปกองกับพื้น เสียงโซ่ที่กระแทกพื้นดังกังวานไป ทั่วห้องอันเงียบเชียบ แก้มของเธอแนบไปกับพื้นแข็งๆที่เย็น เยียบเหมือนกับหัวใจของเธอตอนนี้ ราวกับตอกย้ำว่ามีเพียงเธอ เท่านั้นที่อยู่ตรงนี้อย่างเดียวดาย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยเธอ ได้

‘หลับไปซะเด็กน้อย แล้วตื่นขึ้นมาอีกทีตอนรุ่งเช้าของวันใหม่ เสียงกระซิบนั้นช่างน่าขยะแขยง ตื่นขึ้นมาอีกทีเพื่อดูผลงานที่แกทำไว้ ดูสิ่งมากมายที่แกทำลายไป มันจะต้องเป็น แบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน

นํ้าตายังไหลลงมาจากดวงตาสีทองไม่ขาดสาย แม้จะรับรู้เสียง นั้นแต่เธอจะทำอะไรได้อีก แกชนะอีกแล้วเจ้าปีศาจ…แกชนะฉัน เด็กหญิงเม้มปากแน่นอย่างเจ็บใจยิ่งกว่าสิ่งใด

ใช่…แกชนะฉันมาตลอด… ขอโทษท่านพ่อ…ขอโทษท่าน แม่…ลูกแพ้อีกแล้ว

ความรู้สึกและสัมผัสทั้งห้าจางหายไป สิ่งสุดท้ายที่เข้ามาแทนที่ คือความสิ้นหวังและความมืดมิดอันว่างเปล่า…

ฝันร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง…มันคือฝันร้ายที่กลายเป็นความ จริง

ความเงียบกลืนกินพื้นที่ในห้อง เด็กทั้งเจ็ดจับจ้องเด็กหญิงผม ชมพูยาวที่นอนกองอยู่กับพื้นไม่วางตา พวกเขาอยากจะเข้าไปแก้ สายโซ่สีเงินเส้นยักษ์ให้แต่จิตใต้สำนึกก็ยังคงเตือนพวกเขาว่า อย่าได้เข้าไปใกล้เป็นอันขาด
พวกเขาเห็นตั้งแต่เด็กหญิงผมชมพูทำท่าทรมานและเจ็บปวด ดวงตาสีทองที่เคยสดใสนั้นหม่นหมองและว่างเปล่า ปากบาง เล็กๆพึมพำบางอย่างอยู่ตลอดเวลาทว่ามันก็ช่างเบาเสียจนพวก เขาไม่ได้ยิน

น้าตาไหลอาบแก้มดูน่าสงสารก่อนร่างเล็กๆจะทรุดลงไป ท่ามกลางแสงจันทราราวกับนางฟ้าตัวน้อยที่ร่ำร้องอยากจะบิน ออกไปสู่อิสรภาพ แต่เพียงไม่นานเด็กหญิงผมชมพูก็ขยับตัวอีก ครั้ง ท่าทางทรมานในตอนแรกหายไปแล้วราวกับไม่เคยมีมา

พริบ… เพียงพริบตาเดียวที่จิตสังหารถูกแผ่ออกไปทั่ว เด็กทั้ง เจ็ดแตกกระจายกันไปคนละด้าน จิตสังหารนั่นเทียบเท่ากับพวก นักล่าปีศาจชั้นสูงๆเลยก็ว่าได้ สมกับเป็นเด็กที่มีรูปดอกกุหลาบ สีขาวซึ่งเป็นคนของตระกูลโซเวีย เด็กที่จะก้าวขึ้นไปเป็นนักล่า ลำดับสองแห่งสมาพันธ์นักล่า

“หึๆๆ” เสียงหวานเน้นหัวเราะอย่างน่าขนลุก ร่างเล็กใช้มือสอง ข้างยันตัวลุกขึ้นจากพื้นและเมื่อได้มองเด็กหญิงผมชมพูเต็มๆตา อีกครั้งหนึ่งพวกเขาถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กหญิงที่เจอกัน ตอนแรก

ร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทุกคนชวนให้รู้สึกหวาดผวา และน่าหวั่นเกรง ดวงตาสีทองคำที่เคยทอประกายสดใสบัดนี้เย็น เยียบและเปี่ยมไปด้วยอำนาจอันคมกริบ บนใบหน้าสวยราวนางฟ้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นราวกับนางพญาที่ เป็นใหญ่ยิ่งกว่าใคร

ทรงอำนาจ เยือกเย็นทว่าน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจตนใด…

“ในที่สุด” เสียงหัวเราะทำเอาทุกคนขนลุก มือเล็กเอื้อมไปแตะ เลือดอันเย็นชืดของผู้เป็นพ่อ รอยยิ้มเย็นชายังคงไม่จางหายไป จากใบหน้าราวกับพึ่งพอใจหนักหนาเมื่อได้เห็นเลือด ดวงตาสี ทองกวาดมองเด็กทั้งเจ็ดที่อยู่ในห้อง

“ช่างโง่เง่านัก” เสียงใสเปล่งออกมาก่อนดวงตาสีทองจะมอง ผ่านไปยังองค์ราชาและองค์ราชินีที่อยู่ด้านหลังราวกับจะบอกว่า คนโง่ที่มันพูดถึงเป็นใคร

“เด็กพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ร่างเล็กค่อยๆก้าวเดินออกจาก ตำแหน่งเดิม ผมสีชมพูสะบัดไปตามการก้าวเดิน เสียงสายโซ่ กระทบพื้นดังไปตลอดทางในห้องอันมืดมิด ความหนักของสาย โซ่ที่ข้อมือและข้อเท้าดูจะไม่มีผลต่อเด็กน้อยอีกแล้ว ราวกับ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเทพธิดาที่สูงค่ากลับแปรเปลี่ยนไป เป็นจ้าวแห่งปีศาจร้ายที่รู้จักเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้น

“เด็กพวกนี้มีไว้ให้ข้าขยี้เท่านั้นแหละ” สิ้นเสียงร่างเล็กก็หายวับ ไปกับตา เด็กทั้งเจ็ดตื่นตัวขึ้นมาทันทีแต่ก่อนที่พวกเขาจะทันก้าว ไปไหนร่างเล็กของเด็กหญิงผมชมพูก็มาสวยราวนางฟ้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นราวกับนางพญาที่ เป็นใหญ่ยิ่งกว่าใคร

ทรงอำนาจ เยือกเย็นทว่าน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจตนใด…

“ในที่สุด” เสียงหัวเราะทำเอาทุกคนขนลุก มือเล็กเอื้อมไปแตะ เลือดอันเย็นชืดของผู้เป็นพ่อ รอยยิ้มเย็นชายังคงไม่จางหายไป จากใบหน้าราวกับพึ่งพอใจหนักหนาเมื่อได้เห็นเลือด ดวงตาสี ทองกวาดมองเด็กทั้งเจ็ดที่อยู่ในห้อง

“ช่างโง่เง่านัก” เสียงใสเปล่งออกมาก่อนดวงตาสีทองจะมอง ผ่านไปยังองค์ราชาและองค์ราชินีที่อยู่ด้านหลังราวกับจะบอกว่า คนโง่ที่มันพูดถึงเป็นใคร

“เด็กพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ร่างเล็กค่อยๆก้าวเดินออกจาก ตำแหน่งเดิม ผมสีชมพูสะบัดไปตามการก้าวเดิน เสียงสายโซ่ กระทบพื้นดังไปตลอดทางในห้องอันมืดมิด ความหนักของสาย โซ่ที่ข้อมือและข้อเท้าดูจะไม่มีผลต่อเด็กน้อยอีกแล้ว ราวกับ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเทพธิดาที่สูงค่ากลับแปรเปลี่ยนไป เป็นจ้าวแห่งปีศาจร้ายที่รู้จักเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้น

“เด็กพวกนี้มีไว้ให้ข้าขยี้เท่านั้นแหละ” สิ้นเสียงร่างเล็กก็หายวับ ไปกับตา เด็กทั้งเจ็ดตื่นตัวขึ้นมาทันทีแต่ก่อนที่พวกเขาจะทันก้าว ไปไหนร่างเล็กของเด็กหญิงผมชมพูก็มาครั้งที่ถูกจองจำในห้องนี้ เลือดสีแดงสดไหลตามข้อมือและข้อ เท้าที่ครูดไปกับโซ่แข็งๆหากความเจ็บนั่นไม่ได้ทำให้ความบ้า คลั่งหยุดลงแม้แต่น้อย

ดวงตาสีทองยังวาววับอย่างกระหายในการเข่นฆ่าแม้จะรู้ว่ายิ่ง ดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการมากเท่าไหร่เลือดก็จะยิ่งไหลออก มามากเท่านั้น ใบหน้าสวยเรียบนิ่งดูเย็นชาและสูงศักดิ์ไปพร้อมๆ กัน ทั้งใบหน้าและแววตาไม่ฉายแววเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด

เลือดหยดแล้วหยดเล่าไหลรินจากบาดแผลที่ขยายวงกว้างขึ้น ทุกที ของเหลวสีแดงทะลักออกมาจากข้อมือก่อนจะไหลออก มาจรดศอกจากนั้นหยดลงบนพื้นอันเย็นเยียบหยดแล้วหยดเล่า โดยที่เจ้าของไม่สนใจ

สีแดงก่ำของมันช่างตัดกับสีผิวขาวซีดของเด็กน้อยในยามนี้ยิ่ง นัก ราวกับปีศาจร้ายที่ชโลมด้วยเลือดของตนเอง

ไม่มีใครหยุดยั้งได้อีกแล้ว…

ประตูกระจกถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกเด็กทั้งเจ็ดคนออก มาเพราะถึงตอนนี้ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อีก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ