คัมภีร์เหนือเวท

กุญแจดอกที่ 4 : ภารกิจครั้งใหม่ (บทจบ)



กุญแจดอกที่ 4 : ภารกิจครั้งใหม่ (บทจบ)

คาไมเคิลได้แต่เดินตามนักล่าทั้งสามคนไปอย่างอึดอัดในเมื่อ คนหนึ่งก็คือนักล่าอันดับสามที่อยู่เหนือนักล่า นธรรมดาทุกคน ส่วนอีกสองคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นนักล่าหรือเปล่าแต่ดูเหมือนว่าฟ รอสจะเกรงใจสองคนนี้เอามากๆ

“นี่นาย…ชื่ออะไร” เสียงหวานใสของเด็กสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม ถามออกมาพลางหันมามองเขาพร้อมรอยยิ้มทำให้นักล่าอันดับ หกอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“คาไมเคิล เอสครับ สมญาอินทรีแห่งหายนะ เป็นนักล่าอันดับ หกครับ” ไม่รู้ว่าเผลอตัวตอบออกไปเมื่อไหร่แต่ดูเหมือนว่าเขา กำลังโดนเด็กสาวตรงหน้าชักจูงไปช้าๆ ทว่ายังไม่ทันที่เซนจะ ได้แนะนําตัวกลับเสียงของฟรอสก็ดังแทรกขึ้นมาก่อนราวกับรอ เวลาให้เธอเป็นคนเปิกปากพูดคนแรก

เซนทําไมเธอถึงไม่มากับเร แถมมาถึงสมาพันธ์ก็ไม่เห็นยอม บอกกันเลย” ฟรอสบ่นออกมาพลางคิดในใจต่อ ถ้าบอกเขาก่อน เขาจะรีบมาหาเธอเลย จะได้กันเรื่องยุ่งๆแบบเมื่อกี้ให้

“ก็เรน่ะสิ เมื่อวานหนีฉันออกไปทํางานคนเดียวให้ฉันอยู่แต่ใน ปราสาทแถมกลับอีกทีก็เช้า เมื่อคืนฉันเลยไม่ได้ออกไปไหน เช้า นี้ก็เลยตรงมาที่สมาพันธ์นักล่ากะว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อยเพราะ ยังไงก็ต้องมารับภารกิจที่นี่อยู่แล้ว จะได้มารอเรด้วย” เซนาเรียสปนออกมาถึงเหตุผลที่เธอไม่ได้มากับเด็ก หนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นทำให้เรต้องรีบหันไปแก้ตัว

“ฉันคิดว่าจะได้กลับเร็วกว่านี้ แต่ทางสมาพันธ์ติดต่อเข้ามาว่าให้ ฉันไปล่าโจรต่อ ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน” เสียงนุ่มตอบกลับ ทําเอาฟรอสนิกหมั่นไส้แต่คาไมเคิลที่ได้ยินคําพูดนั้นแทบอ้าปาก ค้าง จับพวกโจรภายในคืนเดียวน่ะหรือ หมอนี่มันยังเป็นคนอยู่อีก หรือเปล่าเนี่ย

แค่บอกว่าจับโจรจะไม่มีนักล่าคนไหนคิดเลยว่าออกไปจับโจร กระจอกธรรมดาๆ ทางสมาพันธ์หรือจะใช้งานง่ายขนาดนั้น เพราะไอ้โจรที่พูดถึงเนี่ยมันคือกองโจรชัดๆแถมยังต้องเก็บ แบบถอนรากถอนโคนอีก ว่าแต่ทำไมท่าทางที่ทำกับเด็กสาวกับ ท่าทางทีท่ากับพวกเขาถึงต่างกันได้มากมายขนาดนี้ละ

“เมื่อกี้ทําไมนายถึงไปสร้างแผลให้นักล่าคนนั้นอีกล่ะเร” ฟรอส เอ่ยปากถามคนที่ดูจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อกี้

“นายมันไร้ประโยชน์ สัมผัสนายมันก็ไร้ประโยชน์” เสียงราบ เรียบดูถูกเต็มที่ทําเอาฟรอสถึงกับสะอึกผิดกับคาไมเคิลที่ได้แต่ ทําหน้าอื่นๆ ทําไมหมอนี่ถึงสามารถพูดว่านักล่าอันดับสามได้ ประโยชน์ได้ แถมฝ่ายที่ถูกว่ายังเถียงไม่ขึ้นอีกต่างหาก ไม่รู้ว่า เจ้าตัวขี้เกียจเถียงหรือแทงใจ าเสียจนเถียงไม่ขึ้นกันแน่
“เออ…ฉันมันไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นช่วยเฉลยมาหน่อยได้ ไหมไอ้คนมากประโยชน์” ฟรอสพูดออกมาอย่างประชดประชัน แต่ก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อดวงตาสีนิลเย็นเยียบตวัดมามองพาให้ เสียวสันหลัง

“มันทำร้ายเซน” เสียงเย็นเยียบเอ่ยออกมาเมื่อกลับไปคิดถึง นักล่าคนนั้นทำเอาเซนนาเรียสสะดุ้ง ฟรอสยังคงทำหน้างงด้วย ความไม่เข้าใจแต่คาไมเคิลกลับเบิกตากว้างเมื่อภาพบางอย่าง ฉายชัดเข้ามาในหัว

ตอนแรกที่นักล่าอันดับหกเดินเข้าไปช่วยเธอพวกนักล่าทุกคนก็ มุงดูอยู่นานแล้ว แถมภาพแรกที่เขาเห็นเมื่อแหวกทางเข้าไปคือ ตอนที่เด็กสาวถูกตบที่แก้มจังๆ แต่น่าแปลกเขาว่าแรงตบของนัก ล่าชายคนนั้นแรงมากทีเดียวแต่ตอนนี้แก้มของเด็กสาวก็ไม่แดง เป็นรูปฝ่ามือหรือว่าบวมขึ้นมา

“นายรู้หรอ” เสียงหวานที่เงียบไปนานถามขึ้นมาพลางหันไป มองหน้าของคนเป็นคู่หมั้นอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงจะรู้ว่าเรเก่งแค่ ไหนก็เถอะ

“เธอเคยปิดอะไรฉันได้หรือเซน” เรถามกลับพลางเลิกคิ้วมองคน พูดทําเอาเซนาเรียสหน้ามุ่ย นั่นสินะ…เธอเคยปิดบังเรได้ที่ไหน กัน

“ไม่เคย แต่คราวนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะว่ารีบรักษาแผลไม่เหลือร่องลอยแล้วทำไมนายยังจับได้อีกละ” เสียงใสๆเอ่ยถาม อย่างกระตือรือร้น ถามจุดที่เธอพลาดวันหลังจะได้แก้ไขถูก

“รักษาจุดแดงๆบนใบหน้าเธอซะเซน ถ้าอยากจะปิดจริงวันหลังก็ ช่วยตรวจดูหน่อยว่ารักษาหมดแล้ว” คำพูดของนักล่าอันดับหนึ่ง ทําให้เด็กสาวยกมือสัมผัสแก้มตนเองและเธอก็รู้สึกว่าตรงที่โดน ตบมันบวมขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่แปลกเลยถ้าคนช่างสังเกตอย่างเร ฟานอฟจะรู้ได้ทันที ให้ตายเธอไม่เคยปิดอะไรเรได้แม้แต่ครั้ง เดียว

แต่เซนไม่ได้รู้เลยว่าคู่หมั้นของตนเองกำลังโมโหแค่ไหน ที่จริง อีกนิดเดียวเซนเกือบจะทำสำเร็จแล้ว ไม่งั้นตอนแรกมีหรือเรจะ ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายถึงขนาดนั้น ถึงขนาดจะจากไปอย่างไม่ เอาเรื่องด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าทำแบบนั้นไปจริงๆตอนนี้เลยคงยิ่งโมโห มากกว่านี้

ที่ลงมือครั้งที่สองเรกะจะฆ่าจริงๆ หนึ่งเพราะโดนยั่วยุ แต่สาเหตุ ที่แท้จริงคือสาเหตุที่สอง เพราะเขาเพิ่งเห็นว่าเซนโดนทำร้าย ต่างหาก สุดท้ายถึงเซนจะขอให้รามือแต่เขาก็ยังอดที่จะฝากรอย แผลให้นักล่าคนนั้นไม่ได้ อันที่จริงเขาอยากจะหักแขนทั้งสอง ข้างมากกว่า ติดก็ตรงที่เขาไม่อยากเผยความร้ายกาจของตัวเอง ต่อหน้าคู่หมั้นสาวมากเกินไป

“ฉันว่าเธอรีบรักษาแผลที่เหลือดีกว่านะ อย่าให้หมอนั่นคิดขึ้นมาเลยว่าการลงโทษนักล่าคนนั้นยังไม่พอ” ฟรอสพูดออกมา อย่างเหนื่อยหน่าย อันที่จริงเขายังไม่ทันเห็นแก้มของอีกฝ่าย เลยว่ามันบวมขึ้นมา แบบนี้ก็เท่ากับว่าสัมผัสเขามันไร้ประโยชน์ ตามที่นักล่าอันดับหนึ่งบอกน่ะสิ

เซนไม่ตอบรับอะไรแต่ทาบมือลงบนใบหน้าเพื่อรักษาแผลของ ตน อันที่จริงคำพูดของฟรอสก็ทำเอาเธอนึกหวั่นใจอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน เธอกลัวใจเรจริงๆ

คาไมเคิลชักอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่าสองคนที่เดินมากับฟรอส เป็นใคร เพราะอะไรนักล่าอันดับสามถึงได้ดูเกรงใจขนาดนั้น แถม ยังสามารถต่อว่านักล่าอันกับสามว่าไร้ประโยชน์ได้อีก หรือว่า สองคนนี้จะเป็นผู้ว่าจ้าง หรือจะเป็นหัวหน้าของแผนกอื่น ซึ่งตอน นี้นักล่าอันดับหกคงได้แต่คาดเดา

“เฮ้อ…ให้ตายสิ พอถูกเรียกมารวมตัวแบบนี้ชักจะมีลางสังหรณ์ ไม่ค่อยดีเสียแล้ว” ฟรอสพูดออกมาอย่างเป็นกังวลและพยายาม จะเบี่ยงประเด็น ไม่ให้นักล่าอันดับหนึ่งกลับไปคิดถึงเรื่องที่เกิด ขึ้นจนโมโหอีกรอบ ส่วนเซนก็พยักหน้าอย่างคล้อยตาม

“พวกคุณก็ถูกเรียกตัวเหมือนกันหรือครับ” คาไมเคิลถามออกมา ซึ่งมีเพียงเด็กสาวผมชมพูเท่านั้นที่หันมาสนใจเขา ส่วนผู้ชายอีก สองคนน่ะหรือ เมินเขาแบบไม่ไยดีเลยล่ะ
“ใช่…นายก็โดนเรียกด้วยใช่ไหม” เสียงหวานพูดออกมาพร้อม รอยยิ้มสดใสอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“รู้ได้ยังไงครับ” นักล่าอันดับหกเอ่ยถามเพราะเขาเดินตามมาก็ ไม่ได้แปลว่าเขาจะถูกเรียกตัวเสียหน่อย

“ถ้านายไม่ได้โดนเรียกตัวมา ฟรอสก็คงไม่เรียกนายให้เดินตาม มาด้วยกันหรอก จริงไหมฟรอส…” เสียงหวานหันไปถามนักล่า อันดับสามเหมือนกับเด็กสาวคนนี้รู้จักฟรอสดี

“จริง…ไหนๆก็โดนตาแก่นั่นเรียกแล้วก็มาพร้อมกันเลยนี่แหละ” ฟรอสตอบออกมาอย่างเบื่อๆแต่บทสนทนาทุกอย่างก็ต้องจบลง เมื่อคนทั้งสี่เดินมาหยุดหน้าประตูบานยักษ์ที่เป็นที่นัดหมายรับ ภารกิจในครั้งนี้

ภายในห้องนั้นกว้างขว้างแต่ก็สะอาดสะอ้านและทำให้รู้สึก ปลอดโปร่ง ตรงกลางห้องมีโซฟารับแขกอยู่ทั้งหมดสามตัว โซฟาขนาดใหญ่และยาวที่สุดถูกตั้งเอาไว้ตรงกลางหันหน้าเข้า โต๊ะตัวใหญ่ขณะโซฟาสำหรับนั่งคนเดียวอีกสองตัวถูกจัดเอาไว้ ขนาบข้าง

ด้านหลังโต๊ะคือเก้าอี้ที่มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทาง สบายๆ คนๆนี้คือหัวหน้าของแผนกหางานทั้งหมดแต่เขาก็เป็นที่รู้จักกันดีในสมาพันธ์ในฐานะอดีตนักล่าอันดับสามเพราะ ฉะนั้นอย่าดูถูกการล่าของชายตรงหน้าเด็ดขาด

เรฟานอฟและเซนาเรียสเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวหัน หน้าเผชิญกับชายแก่ขณะที่ฟรอสเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้านซ้าย โดยไม่พูดอะไร

คาไมเคิลมองตาแหน่งที่นั่งของแต่ละคนอย่างงุนงงแต่เจ้าตัวก็ เก็บคําถามไว้ในใจก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้านขวามือเงียบๆ

โซฟาแต่ละตัวในห้องล้วนมีความหมาย เมื่อเข้ามาในห้องนี้ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะนั่งลงบนโซฟาตัวไหนก็ได้แต่มันขึ้นอยู่กับ ลำดับต่างหาก

โซฟาตัวยาวสุดตรงกลางคนที่นั่งได้คือคนที่มีอำนาจมากสุดใน เวลานี้กับคนที่มีอำนาจรองลงมาเท่านั้น ถ้ารองลงมาอีกจะต้อง นั่งด้านซ้ายมือ รองลงมาจะเป็นด้านขวาและนอกจากนั้นก็ต้องหา เก้าอี้มานั่งต่อเอาเอง แต่ที่เขาแปลกใจก็คือตอนนี้คนที่ตำแหน่ง ใหญ่ที่สุดไม่ใช่นักล่าอันดับสามหรอกหรือ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหนูเซน” เสียงของชายชราท่าทางใจดี เอ่ยทักเด็กสาวคนเดียวในกลุ่มด้วยท่าทางอาทรเหมือนลูกหลาน ในความเป็นจริงแล้วการรับงานแต่ละที่ไม่ต้องผ่านเขาหรอก นอกจากจะเป็นงานที่พิเศษจริงๆเท่านั้น ชายตรงหน้าจึงบอกว่าไม่ได้พบเซนมานาน

“สวัสดีค่ะท่านตา” เซนยิ้มและทักทายคนตรงหน้าอย่างที่เคยทำ อันที่จริงคนตรงหน้าไม่ใช่ตาแท้ๆของเธอแต่เธอก็ให้ความเคารพ เขาจึงเรียกว่าท่านตา

“แหมตาแก่…ลำเอียงจังนะ ทั้งที่ทุกคนเขาก็เข้ามาพร้อมกับเซน แต่ตาแก่กลับไม่เห็นหัวพวกเราเลย” ฟรอสพูดขึ้นอย่างคนคุ้นเคย บวกกับความหมั่นไส้ ทำเอาท่านเลธัส บีเดอร์หันไปมอง

“เจ้าหนูฟรอส เอง ยังอารมณ์ดีเหมือนเดิมเลยนี่ เรก็โตขึ้นนี่เนอ ะ” ในที่นี้มีคนเดียวที่ท่านเลธีสไม่กล้าแหย่เล่นคือเร เพราะเขา เคยเกือบโดนคมดาบของเรไปแล้วในตอนแรกที่เจอกันครั้งแรก แล้วดันไปเรียกว่าเจ้าหนูเร และนักล่าอันดับหนึ่งก็ไม่ออมมือให้ เขาแม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุฒโสเลยสักนิด แถมความเร็วของเรใน วันนั้นเขาก็ตามไม่ทันเสียแล้ว

ถ้าวันนั้นเซนไม่รีบดึงมือเรไว้สงสัยวันนี้เขาคงมีแผลเป็นติดตัว เพิ่มขึ้นอีกรอยเป็นแน่ เขาอยากรู้นักว่าถ้าได้ปะมือกันตอนสมัย หนุ่มๆใครจะเก่งกว่ากัน

“เออ…ใช่ สวัสดีนะเจ้าหนูคาไมเคิลเกือบลืมไปเลยเนี่ย” คำพูด ของชายตรงหน้าทําเอาคนถูกลืมอยากจะร่ำไห้
นักล่าอันดับสามมีนิสัยแบบนี้กันทุกรุ่นเลยหรือเปล่า คิดแล้วนัก ล่าอันดับหกก็ลองเหลือบมองนักล่าอันดับสามคนปัจจุบันที่นั่ง พึงโซฟาตัวนุ่มด้วยท่าทางสบายๆพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆที่ยังคง ประดับอยู่บนใบหน้า เท่านั้นคนมองก็สรุปในใจ สงสัยจะเป็นแบบ นี้ทุกรุ่น

“เรียกมาแบบนี้มีอะไร” เสียงเย็นเยียบของคนที่มีอำนาจมาก ที่สุดเอ่ยขึ้นมา เรอยากจะหาเวลาไปพักเสียทีเพราะเมื่อวานเขาก็ ทำงานหนัก แถมเช้าแล้วยังต้องตรงมาที่นี่เป็นที่แรกเสียด้วย (ถึง จะมีแวบหนึ่งที่แอบไปหาเซนที่ปราสาทโซเวียแล้วไม่เจอก็เถอะ) แต่คำพูดนั้นทำเอาเลสที่กะจะพูดเรื่องไร้สาระอีกต้องรีบเข้า เรื่อง

“มีภารกิจใหม่ที่ทางสมาพันธ์นักล่าจัดขึ้นเองและต้องใช้แต่นัก ล่าอันดับต้นเท่านั้น” คำพูดนั้นทำเอานักล่าทั้งสี่เริ่มคิ้วกระตุก ลางสังหรณ์ที่แม่นยำเสมอของพวกเขาชักเตือนในทางร้ายๆ

“พวกเธอสี่คนจะต้องไปที่ดินแดนของผู้ไร้เวทและสมัครเข้า โรงเรียนคิงเคสซะจนกว่าจะสามารถหาคัมภีร์เหนือเวทย์เจอ” คำ สั่งที่พูดออกมาทำเอาคนฟังทั้งสี่แข็งทื่อไปเลย

นี่มันงานบ้าอะไรกัน เสียงในใจโหยหวนขณะที่ร่างของคา ไมเคิลแทบจะทรุดลงไปนอนกองกับพื้นใต้โซฟาที่ตนเองนั่งอยู่
นักล่าอันดับสามมีนิสัยแบบนี้กันทุกรุ่นเลยหรือเปล่า คิดแล้วนัก ล่าอันดับหกก็ลองเหลือบมองนักล่าอันดับสามคนปัจจุบันที่นั่ง พึงโซฟาตัวนุ่มด้วยท่าทางสบายๆพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆที่ยังคง ประดับอยู่บนใบหน้า เท่านั้นคนมองก็สรุปในใจ สงสัยจะเป็นแบบ นี้ทุกรุ่น

“เรียกมาแบบนี้มีอะไร” เสียงเย็นเยียบของคนที่มีอำนาจมาก ที่สุดเอ่ยขึ้นมา เรอยากจะหาเวลาไปพักเสียทีเพราะเมื่อวานเขาก็ ทำงานหนัก แถมเช้าแล้วยังต้องตรงมาที่นี่เป็นที่แรกเสียด้วย (ถึง จะมีแวบหนึ่งที่แอบไปหาเซนที่ปราสาทโซเวียแล้วไม่เจอก็เถอะ) แต่คำพูดนั้นทำเอาเลสที่กะจะพูดเรื่องไร้สาระอีกต้องรีบเข้า เรื่อง

“มีภารกิจใหม่ที่ทางสมาพันธ์นักล่าจัดขึ้นเองและต้องใช้แต่นัก ล่าอันดับต้นเท่านั้น” คำพูดนั้นทำเอานักล่าทั้งสี่เริ่มคิ้วกระตุก ลางสังหรณ์ที่แม่นยำเสมอของพวกเขาชักเตือนในทางร้ายๆ

“พวกเธอสี่คนจะต้องไปที่ดินแดนของผู้ไร้เวทและสมัครเข้า โรงเรียนคิงเคสซะจนกว่าจะสามารถหาคัมภีร์เหนือเวทย์เจอ” คำ สั่งที่พูดออกมาทำเอาคนฟังทั้งสี่แข็งทื่อไปเลย

นี่มันงานบ้าอะไรกัน เสียงในใจโหยหวนขณะที่ร่างของคา ไมเคิลแทบจะทรุดลงไปนอนกองกับพื้นใต้โซฟาที่ตนเองนั่งอยู่ตามกลับ ไม่ถามถึงแต่งานจะไปกองอยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ

“แล้วปีศาจไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงละท่านตา” เสียงหวานของผู้หญิง หนึ่งเดียวในกลุ่มถาม ดวงตาสีทองฉายแววสงสัย ในเมื่อปีศาจคือ ผู้ใช้เวทที่มีรูปดอกกุหลาบสีม่วงแล้วจะไปอยู่ในดินแดนผู้ไร้เวท ได้ยังไง

“พวกปีศาจลักลอบเข้าไปน่ะสิหนูเซน แถมในดินแดนผู้ไร้เวทก็ ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใช้เวทอยู่สักหน่อย ผู้ใช้เวทก็อยู่ปะปนกันนั่นแหละ แต่พยายามไม่แสดงพลังออกมา” เลธีสยังคงตอบคำถามนั้นด้วย ท่าทางใจดีในเมื่อมันเป็นคำถามของเด็กสาวที่เขาเอ็นดู

“ทำไมถึงแน่ใจครับว่าคัมภีร์เหนือเวทอยู่ที่นั่น” คาไมเคิลถาม หาเหตุผลทำเอาท่าทางของชายตรงหน้าเปลี่ยนไป ดวงตาคู่นั้น ฉายแววจริงจังเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะพูดต่อไป

“เพราะพวกเราตามหามาหลายร้อยปีแล้ว ทั้งผู้ถือครองคัมภีร์ และตัวคัมภีร์เอง และปีนี้เราก็พบมันทั้งสองอย่าง” เสียงนั้นขาด หายไปก่อนคนพูดจะหันไปมองเด็กสาวคนเดียวในห้อง

“และคนที่ถือครองมันได้ก็มีแต่คนของตระกูลโซเวียเท่านั้น ซึ่ง ตอนนี้ก็คือหนูเซน” ชายสูงวัยไม่อยากเอ่ยออกมาเลยว่า
คนที่ถือครองคัมภีร์นั่นได้ไม่ใช่เซนาเรียสแต่เป็นปีศาจที่อยู่ใน ร่างของเด็กสาวต่างหาก

ช่างน่าขำเหลือเกิน ขณะที่เด็กสาวผมชมพูพยายามไม่ให้ปีศาจ กลืนกินร่างเพื่อให้ตนเองยังคงเป็นมนุษย์ ยังคงมีหัวใจ ยังคง มีความรู้สึก ทว่าคนที่พวกต้องการไม่ใช่มนุษย์ที่มีหัวใจแต่เป็น ปีศาจที่หลับใหลอยู่ในร่างของเด็กสาวตรงหน้าต่างหาก

ใช่…ไม่ต้องการเธอที่เป็นมนุษย์แต่ต้องการเธอที่เป็นปีศาจ… เบื้องบนช่างถนัดกลั่นแกล้ง ท่านจะปรานีเด็กสาวคนนี้บ้างได้หรือ ไม่

เซนเพียงแค่ยิ้มออกมา ไม่ต้องให้ท่านตาบอกเธอก็รู้ว่าสิ่งที่ทุก คนต้องการจากเธอคืออะไร ต้องการปีศาจในตัวมากกว่าเธอใน ตอนนี้

หนีไม่พ้น…ต่อให้พยายามหนีไปไกลแค่ไหนสุดท้ายคนที่พวก เขาต้องการก็ยังไม่ใช่เธออยู่ดี… แต่ว่าช่างเถอะ…เพราะมันคือสิ่ง ที่เธอเตรียมใจเอาไว้แล้ว

“หากว่าเราจะสามารถทำประโยชน์อะไรได้บ้าง แม้น้อยนิดเราก็ ยินดี” ดวงตาสีทองที่สบกับผู้อาวุฒโสนั้นจริงจังแต่ก็แฝงไว้ด้วย ความเศร้า
ใช่แล้ว…หากได้ทำประโยชน์สักนิดก็ยังดี ถ้าเธอจะมีประโยชน์ กับใครบ้างน่ะนะ

เรยกมือลูบผมคู่หมั้นสาวของตนเองอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจ เขาอยู่กับเด็กสาวมานานจึงรู้ดี เซนเกิดมาพร้อมกับปีศาจร้าย ยาม ใดที่เห็นเลือดในยามกลางคืนเธอก็จะกลายเป็นปีศาจที่ไล่สังหาร ทุกคน เธอจึงไม่เคยทำประโยชน์ให้ใครซ้ำยังกลายเป็นภาระให้ กับเรฟานอฟไปเสียอีก

“แต่การจะไปที่นั่นหนูเซนต้องปลอมตัวนะ” เล สเอ่ยออกมา ทำให้เซนพยักหน้าให้อย่างว่าง่าย เจ้าตัวไม่ถามสักนิดว่าทำไม ถึงต้องทำเช่นนั้น เพราะเธอเห็นว่าเรเองก็ไม่ได้แย้งคำสั่งของ ท่านตา ถ้าเรไม่แย้งก็แปลว่าเรเห็นด้วย เมื่อเรเห็นด้วยเธอจะไป ต่อต้านทำไมเล่า

“อีกสองวันพวกนายต้องเดินทางไปที่ดินแดนผู้ไร้เวท เซนมารับ อุปกรณ์เย็นนี้นะ ให้เรพามาก็ได้” ชายชรากับเด็กสาวหนึ่งเดียว ในกลุ่มนักหนาทําเอาคนอื่นชักจะหมั่นไส้ขึ้นมา ดวงตาสีนิลของ เรมองเล สเหมือนกับบอกว่าหากคนตรงหน้ายังสนใจอยู่กับเซน คนเดียวละก็…เขาก็จะลากเซนกลับปราสาทเดี๋ยวนี้เลย

“ว่าแต่เมื่อกี้ขอบคุณมากเลยนะเจ้าหนูคาไมเคิลที่ห้ามทัพให้ ก่อนจะเกิดสงครามย่อมๆขึ้นมา” ชายชราหันไปคุยกับคนที่มี อันดับ โสดในนี้แต่หัวข้อที่สนทนาก็ยังเป็นเรื่องของเซนอยู่ดี

ถ้าเมื่อกี้คาไมเคิลไม่ห้ามทัพเอาไว้มีหวังสมาพันธ์นักล่าคงแตก ไปแล้ว แต่ไม่ใช่ฝีมือเซนหรอก แต่เป็นฝีมือของเด็กหนุ่มผมดำ ที่มาทีหลังต่างหาก นอกจากสมาพันธ์นักล่าจะแตกนักล่าแต่ละ คนก็คงโดนเรไล่ฆ่าเละแน่ๆ

“ไม่เป็นไรครับเพราะเธอเป็นคนบอกพวกนั้นไปเองว่าจะไม่สู้” คาไมเคิลพูดออกมาโดยที่ไม่มีใครถามว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องได้ อย่างไร มันเป็นความเคยชินเสียแล้ว ชายตรงหน้ารับรู้ทุกสิ่งทุก อย่างที่เกิดขึ้นภายในสมาพันธ์นักล่าแม้พวกเขาจะไม่ต้องการให้ รู้ก็ตาม

ก็การต่อสู้ครั้งนั้นมันไม่มีประโยชน์นี่นา” เสียงหวานเอ่ยออก มาด้วยท่าทางสบายๆแต่มันทำเอาคาไมเคิลงง ในเมื่อการต่อสู้ ไม่เคยไร้ประโยชน์เพราะพวกเราสามารถเลื่อนขั้นได้ก็เพราะการ ต่อสู้

“หมายความว่ายังไงครับ” นักล่าอันดับหกไม่เข้าใจสิ่งที่เซนนา เรียสจะสื่อสักนิด เขาไม่เข้าใจตั้งแต่ที่เธอพูดครั้งแรกแล้ว แต่ เพิ่มมีจังหวะได้ถาม

“ที่ฉันไม่รู้เพราะไม่มีเร ตราบใดที่มีเรฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่า จะเผลอฆ่าใคร” เสียงหวานพูดออกมาพร้อมดวงตาสีทองที่หม่น แสงลงทําเอาทั้งห้องเงียบสนิทอย่างน่าอึดอัดเด็กสาวกำมือของตนเองแน่นแต่ไม่นานก็คลายมือออกก่อนจะ ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม

แล้วอีกอย่างต่อให้ชนะฉัน คนๆนั้นก็ไม่มีทางได้เลื่อนขั้นขึ้น มาหรอก” ในเมื่อตำแหน่งนักล่าอันดับสองจะเก็บไว้ให้คนของ ตระกูลโซเวียเท่านั้น คนอื่นที่ไม่ใช่คนในตระกูลนี้ไม่มีสิทธิได้ รับมันไป แล้วอีกอย่างไม่เคยมีใครท้านักล่าอันดับสองแล้วชนะ ไม่มี…แม้จะเป็นนักล่าอันดับสามหรือนักล่าอันดับหนึ่งก็ตาม

“ทำไมละครับ” ยิ่งพูดคาไมเคิลก็ยิ่งไม่เข้าใจทำเอาฟรอสนึกได้ ว่าพวกเขาลืมอะไรไป

“จริงสิ คาไมเคิลยังไม่รู้จักสองคนนี้อย่างเป็นทางการเลยนี่” พูด จบตัวคนพูดก็ชี้มือไปที่เซนที่ยังคงยิ้มให้นักล่าอันดับหกเหมือน อย่างเคย

“ผู้หญิงที่นายกำลังพูดด้วย คือนักล่าอันดับสอง เซนาเรียส เจ้าของสมญา ผู้ล่าแห่งอรุณรุ่ง” เซนหยักหน้าให้คนฟังที่เบิก ตากว้างนิดหนึ่งแล้วเอ่ยต่อจากคำแนะนำของฟรอส

“เรียกเซนก็ได้” คาไมเคิลไม่อยากจะเชื่อเลย เด็กสาวคนนี้นี่น่ะ หรือนักล่าอันดับสองที่อยู่เหนือกว่าคุณฟรอส

“เอ้า…หายอิ้งแล้วมองไปทางนั้น” เสียงของนักล่าอันดับสามเอ่ยเรียกสติคาไมเคิลก่อนจะผายมือไปทางเรฟานอฟที่ยังคง นั่งนิ่ง

“นายโชคดีนะที่ยังไม่ไปหาเรื่องกับหมอนี่ เรฟานอฟ นักล่า อันดับหนึ่งแห่งสมาพันธ์นักล่าของเรา เจ้าของสมญาผู้ล่าแห่ง ราตรี” มันเป็นคำแนะนำที่ทำเอาคาไมเคิลถึงกับแข็งทื่ออยู่ตรง นั้น

นี่เขากำลังจะต้องทำงานกับปีศาจประเภทไหนเนี่ย!!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ