บทที่ 2 เจ้าก้อนเมฆของข้า
ท่านประมุขหัวเราะเบาๆ ออกมาค่หนึ่ง เขามองดวงตาใสซื่อ และสัมผัสกายของสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพลันรับรู้ถึงพลังบางอย่าง อบอุ่นแผ่ซ่านผ่านมาทางนิ้วทั้งห้าของเขา
ประมุขสัตว์เวทเงี่ยหูฟังเสียงการไล่ล่าด้านนอกเมื่อเห็นว่า เงียบสงบแล้วจึงเอ่ยด้วยความเมตตา
“เจ้าช่างมีลักษณะโดดเด่นนักขอเพียงเจ้ามีผู้ชี้แนะที่ดีข้าคิด ว่าเจ้าสามารถกลายเป็นเซียนได้”
ประมุขสัตว์เวทมีวิชาหยั่งรู้ เพียงสัมผัสเขาก็รับรู้ได้ว่าจิ้งจอก น้อยคนนี้มีพลังแห่งความมุ่งมั่นและกระแสพลังที่ยังไม่ถูกปลุก เร้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามากน้อยเพียงใดอยู่ภายในอาจเป็น เพราะว่านางยังเยาว์นัก
จิ้งจอกน้อยได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ประมุขสัตว์เวท ชี้แนะให้นางเดินทางไปยังทะเลทักษิณที่พำนักของเจ้าแม่กวนอิม และให้ขอร้องให้เจ้าแม่ผู้มีเมตตารับนางเป็นศิษย์
หลังจากได้ฟังคำชี้แนะจิ้งจอกเก้าหางน้อยรอนแรมมาเป็น เวลาถึงสามเดือนเต็ม โดยอาศัยแฝงกายถามทางมาเรื่อยๆ จน ในที่สุดนางก็ค้นพบว่าตนเองนั้นได้หลงทางเสียแล้ว
“ข้าจะทําเช่นไรดี”
จิ้งจอกเก้าหางน้อยมองหุบเขาเบื้องหน้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันอย่างสิ้นหวัง ที่นี่ไม่มีเม็ดทรายไม่มีน้ำทะเลมีเพียง หุบเขาใบไม้ต้นไม้ด้านหน้า ทุกคนล้วนบอกว่าที่นี่เป็นที่พำนัก ของเทพเซียน แล้วไยกลายเป็นเช่นนี้
ขณะที่จิ้งจอกน้อยกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อ นางรับรู้ได้ถึงความ เจ็บปวดที่ขาอย่างรุนแรงครั้นก้มลงมองตรงจุดนั้นจิ้งจอกน้อย พบว่ามีบางสิ่งแหลมคมปักคาอยู่
บัดนี้นางโดนลูกธนูอาคมพุ่งมาจากทิศหนึ่งเสียบเข้าที่หน้าขา จนทะลุ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอกน้อยกรีดร้องร้องโหยหวนแม้ขาจะเจ็บแต่ความกลัว ทำให้นางก้าวเท้าวิ่งหนีอันตรายสุดชีวิตสิ่งที่ได้ยินในขณะที่วิ่ง คือเสียงร้องอย่างดีใจของมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งสามารถจับสัตว์เวทได้ จะเป็นผู้ใดอีกเล่าหากไม่ใช่นางที่ทนพิษเจ็บปวดไม่ไหวจนต้อง ล้มลงไปกองที่พื้นในตอนนี้
คนเลวสองสามคนวิ่งตรงมาหานางอย่างรวดเร็วสุนัขจิ้งจอก น้อยผู้น้ำตานองหน้าด้วยคิดว่าครานี้ต้องตายแน่ๆ นางหลับตา แน่นความกลัวทำให้ร่างของนางสั่นจนไม่สามารถควบคุม กลิ่น ของความตายลอยวนเวียนอยู่เบื้องหน้า และแล้วนางกลับได้ยิน เสียงร้องอย่างหวาดกลัวของพวกมนุษย์จวบจนเวลาผ่านไปชั่ว ครูนางก็ไม่ได้ยินเสียงอันใดอีก
คนผู้หนึ่งหยุดยืนที่ด้านหน้าของนางใบหน้างดงามหมดจด ไม่ออกว่าเขาผู้นี้เป็นสตรีหรือบุรุษ แต่กลิ่นอายรอบกายนั้นสูงส่ง ยิ่งนักเขาเอื้อมมือมาจับขาของจิ้งจอกน้อยอย่างอ่อนโยนและอุ้มร่างสัตว์ขนปุกปุยขึ้นมาไว้แนบอก
จิ้งจอกน้อยมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างใกล้ชิดเขายัง เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโตเท่าใด ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลัง อัสดงคนผู้นี้ราวกับว่าเขากำลังเปล่งแสงเรืองรองออกจากร่าง ของเขา ลำแสงนี้ช่างเจิดจ้าอบอุ่น โอบอุ้มจิตใจ
นางหาได้รู้สึกตัวอีกจวบจนเวลาผ่านไปหลายวัน สิ่งที่สัมผัส ได้คือผู้มีพระคุณคือเซียนน้อยผู้หนึ่งอายุคงราวเจ็ดแปดขวบ ใบหน้างดงามหมดจด ผิวขาวดุจหยกบริสุทธิ์มีประกายเรืองรอง ของเทพเซียนอยู่รอบกายแค่เพียงได้อยู่กับเขานางก็รู้สึกอบอุ่น อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เซียนน้อยผู้บริสุทธิ์ปฏิบัติต่อนางอย่างที่คล้ายเห็นเป็นสหาย เขาคอยดูแลใส่ยาป้อนอาหารให้กอดนางไว้อย่างทะนุถนอมทุก ครั้งที่นางรู้สึกตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวด้วยฝันร้าย
ตั้งแต่นั้นมานางได้อาศัยอยู่กับเซียนน้อยและมารดาผู้งดงาม จิตใจดีของเขา เวลาผ่านมาเกือบสามพันปีบัดนี้จิ้งจอกน้อยหาย ดีแล้วสามารถวิ่งซุกซนเที่ยวเล่นได้ หลายครั้งที่นางวิ่งออกมาน อกเขตอาคมจนหาทางกลับไม่เจอเซียนน้อยต้องร้องห่มร้องไห้ ตามหานางทุกครั้งไป เซียนน้อยผู้นี้มีนามว่าอาจ้าน และเขาเรียก นางว่าเจ้าก้อนเมฆน้อย
“เพราะขนของเจ้าปุกปุยนุ่มนิ่มเหมือนก้อนเมฆเจ้าจึงเป็นเจ้า ก้อนเมฆน้อยของข้า
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ