โซ่เสน่หา

บทที่ 8 มองออก



บทที่ 8 มองออก

“อ้อ! วันมะรืนนี้ตอนบ่าย คุณกุลธรว่าจะมารับเราไปลองชุดนะ จ้ะ เสร็จแล้วก็จะทานข้าวเย็นด้วยกัน ปลั๊กติดงานที่ไหนหรือเปล่า เพื่อจะได้เจอลูกๆ ของท่านด้วย” สุภาวดีเลียบเคียงถามบุตรสาว

“ปลั๊กติดสอนน่ะจ้ะ ต่อด้วยงานพิเศษที่ร้าน แต่ถ้ากินข้าวเย็น ปลั๊กขออนุญาตผู้จัดการไม่ต้องทำโอทีก็ได้จะแม่ ส่วนชุดเดี่ยว ปลั๊กขอไปซื้อเองทีหลังได้ไหมจ๊ะ

หญิงสาวครุ่นคิดถึงตารางานของตัวเอง ช่วงเช้าเธอว่าง ส่วน บ่ายจนถึงสิบหกนาฬิกา เธอต้องสอนพิเศษให้อนิษการ์ จากนั้น เข้างานที่ร้านอาหารไม่เกินห้าโมงเย็น เธอไม่ทำโอทีที่ร้าน อาหารก็ได้ แต่จะสอนอนินการไม่เต็มเวลาไม่ได้ เพราะจะเสีย ความน่าเชื่อถือ หากดินเนอร์ครั้งแรกของว่าที่ครอบครัวใหม่เริ่ม ในตอนหัวค่า เธอก็คงจะไปทันพอดี

ปรากฏว่า เธอต้องใช้เวลาที่บ้านของอนิษการเพิ่มขึ้นอีกครึ่ง ชั่วโมง เพราะเจ้าสัวทรงชัยจับได้ว่าบุตรสาวแอบไปกับเพื่อน ชายโดยไม่บอกกล่าว ด้วยคนของเขาพบเห็นว่าอนิษการทะเลาะ กับเพื่อนคนนั้น ในวันที่แว่นตาของเธอแตกนั่นเอง

ดูท่าว่าเด็กสาวจะฟังเทศน์มาแล้วจนหูชา เพราะตอนที่เจ้าตัว เรียกเธอไปคุยในห้องทำงานนั้น อนินการได้แต่นั่งหน้าจอง

ความเข้มงวดของเจ้าสัวนั้นเป็นที่รู้กันทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือบริษัท ชีวิตของอนิษการ์ซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียวในหมู่บทที่ 8 มองออก

“อ้อ! วันมะรืนนี้ตอนบ่าย คุณกุลธรว่าจะมารับเราไปลองชุดนะ จ้ะ เสร็จแล้วก็จะทานข้าวเย็นด้วยกัน ปลั๊กติดงานที่ไหนหรือเปล่า เพื่อจะได้เจอลูกๆ ของท่านด้วย” สุภาวดีเลียบเคียงถามบุตรสาว

“ปลั๊กติดสอนน่ะจ้ะ ต่อด้วยงานพิเศษที่ร้าน แต่ถ้ากินข้าวเย็น ปลั๊กขออนุญาตผู้จัดการไม่ต้องทำโอทีก็ได้จะแม่ ส่วนชุดเดี่ยว ปลั๊กขอไปซื้อเองทีหลังได้ไหมจ๊ะ

หญิงสาวครุ่นคิดถึงตารางานของตัวเอง ช่วงเช้าเธอว่าง ส่วน บ่ายจนถึงสิบหกนาฬิกา เธอต้องสอนพิเศษให้อนิษการ์ จากนั้น เข้างานที่ร้านอาหารไม่เกินห้าโมงเย็น เธอไม่ทำโอทีที่ร้าน อาหารก็ได้ แต่จะสอนอนินการไม่เต็มเวลาไม่ได้ เพราะจะเสีย ความน่าเชื่อถือ หากดินเนอร์ครั้งแรกของว่าที่ครอบครัวใหม่เริ่ม ในตอนหัวค่า เธอก็คงจะไปทันพอดี

ปรากฏว่า เธอต้องใช้เวลาที่บ้านของอนิษการเพิ่มขึ้นอีกครึ่ง ชั่วโมง เพราะเจ้าสัวทรงชัยจับได้ว่าบุตรสาวแอบไปกับเพื่อน ชายโดยไม่บอกกล่าว ด้วยคนของเขาพบเห็นว่าอนิษการทะเลาะ กับเพื่อนคนนั้น ในวันที่แว่นตาของเธอแตกนั่นเอง

ดูท่าว่าเด็กสาวจะฟังเทศน์มาแล้วจนหูชา เพราะตอนที่เจ้าตัว เรียกเธอไปคุยในห้องทำงานนั้น อนินการได้แต่นั่งหน้าจอง

ความเข้มงวดของเจ้าสัวนั้นเป็นที่รู้กันทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือบริษัท ชีวิตของอนิษการ์ซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียวในหมู่แล้วๆ” อนิ การรีบเข้าเรื่องเมื่อปรารถนาท่าท่าจะเดินออกไป จริงๆ

“ผู้จัดการคนนั้น ใ คุณชายกรภัทรไหมคะ ออนเคยเห็นหน้า เขาในหนังสือพิมพ์ แล้วก็ มีแฟนหรือยัง รู้จักกับคุณครูมานาน แล้วหรือ ทำไมถึงได้ดูสนิทกันจัง ตอบให้หมดนะคะ”

ปรารถนาถอนใจ นึกว่าเด็กสาวมีเรื่องสำคัญอะไรเกี่ยวกับ การเรียน ทั้งคําถามเดียวที่ว่า ก็แตกย่อยราวกับข้อสอบของ มหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น

“ใช่ค่ะ นี่เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ผู้จัดการทำนอกเหนือจากกิจการ ของครอบครัว มีแฟนหรือเปล่าครูไม่รู้ เพราะไม่เคยก้าวก่ายเรื่อง ส่วนตัว”

พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็นึกถึงคุณกวินตราขึ้นมาทันที

“เหลือค่าถามสุดท้ายค่ะ” อนิษการ์ทวง

“อะไรคะ?”

“ก็ ทำไมถึงได้ดูสนิทกับคุณครูจังเลยล่ะคะ ออนเห็นนะ คุณชายจับมือครูด้วย รีบมาช่วยครูอย่างกับพระเอกหนังเกาหลี แน่ะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” ปรารถนาเผลอร้องเสียงหลง หน้าแดงไป ถึงใบหู ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน “ขอโทษค่ะที่พูดเสียงดัง ไม่มีอะไร หรอกค่ะ ผู้จัดการก็ทำแบบนี้กับทุกคน แล้ววันนั้นครูก็มองเห็น ไม่ชัดด้วย คงเกรงว่าครูจะเหยียบเศษกระจกแล้วทำงานต่อไม่ได้เท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ครูไปก่อนนะคะ อย่าลืมทบทวน ตาราด้วย”

ปรารถนาไม่รอให้เด็กสาวถามอีก รีบเดินจําอ้าวออกไป ราวกับเหาะ

อนิษการหายใจฮึดฮัดเมื่อไม่ได้ความกระจ่าง แต่เมื่อจําเลย ไม่อยู่ให้ซักไซ้ เธอจึงได้แต่เท้าสะเอวบ่นพึมตามหลัง

“อะไรกัน! ถามแค่นี้ทำเป็นหน้าแดงแก้ตัวเสียยาวเหยียด ก็ แค่คุณชายช่วยสงเคราะห์คนพิการเท่านั้นเอง เฮอะ!”

ไม่ใช่ปรารถนาคนเดียว ที่ต้องเร่งฝีเท้า ในการเดินไปที่ร้านให้ ทันเวลา คนที่เข้ากะอยู่ก่อนแล้วอย่างยศสินี ก็กำลังเร่งมือเตรียม น้ำส้มและผลไม้ไว้ต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์ของผู้จัดการเหมือนกัน

คุณชายยอดรักของพนักงานทุกคนในร้านเข้ามาตั้งแต่บ่าย สามโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่าพนักงานเสิร์ฟ พนักงานเช็คสต็ อก และแคชเชียร์กำลังเตรียมตัว แถมไม่ได้มาคนเดียว แต่มี หญิงสาวขับรถลัมเบอร์กินีคันหรูมาด้วย

มาถึงปุ๊บ เจ้าหล่อนก็ถามหาน้ำส้มคั้น และต้องเป็นน้ำส้มที่คั้น สดๆ เท่านั้น ยศสินีจึงต้องวิ่งไปซื้อส้มที่แผงลอยมา เพราะที่ร้าน ไม่มีเมนูน้ำผลไม้ปั่นอยู่แล้ว

เมื่อเห็นปรารถนาก้าวเท้าเข้ามาที่หลังร้าน ยศสินีก็ร้องราวกับ ไม่ได้เจอกันมาสักสิบชาติ

“ปลั๊ก!! โอ๊ยดีใจจริงๆ ที่เธอมา กำลังรออยู่เชียว”
“มีอะไรหรือ? ทําท่าตื่นเต้นตกใจอย่างกับดารามาบุกร้านนั้น แหละ” ปรารถนาเดินเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ เก็บกระเป๋าและ สวมผ้ากันเปื้อน ก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสาว

“ยิ่งกว่าดาราอีกเธอเอ๊ย! เพื่อนหรือแฟนของผู้จัดการก็ไม่รู้ สวยสะบัดช่อ ร้องจะกินน้ำส้มคั้น ฉันต้องวิ่งไปซื้อส้มมาคั้นให้ เนี่ย” ยศสินีรับรายงาน

“อ๋อ” ปรารถนาลากเสียงยาว รู้แล้วว่าเพื่อนสาวหมายถึงใคร

“รู้จักเหรอ?”

“ก็เจ้าของบาร์น้ำที่จะมาเปิดในร้านเราไง คงมาดูงานน่ะ”

“อ๋อ! ตาย! นี่แหละเขาเรียกว่าหุ้นส่วนหัวใจ โอ๊ย! เสียดายผู้ จัดการอ้ะ น่าจะอยู่เป็นโสด ให้เราแทะโลมอีกสักหน่อย

ปรารถนายิ้มเพื่อน ที่ทำท่าราวกับว่าคุณชายจะแต่งงานวัน นี้วันพรุ่ง แต่เธอก็ไม่คิดจะบอกหรอกว่า เขาแนะนำคุณกวินตรา กับเธอว่าเป็นเพื่อนเท่านั้น

ประเดี๋ยวจะถามซักไซ้อีกว่าไปเจอกันตอนไหน ไปกับคุณชาย ได้อย่างไร

“เอ้า! เสร็จแล้ว เอาไปเสิร์ฟให้หน่อยสิ ฉันไม่อยากเข้าไปใน นั้นเลย กลัวจะเจอภาพบาดตาบาดใจ” ยศสินีเอาถาดใส่แก้ว น้ำส้มยื่นให้ พยักหน้าไม่ปรารถนาให้เป็นหน่วยกล้าตายอีกครั้ง

ยังไม่ทันที่ปรารถนาจะอ้าปากตอบรับหรือปฏิเสธ บานประตู เปิดออก พร้อมกับร่างสูงของกรภัทรและกวินตราเดินเคียงคู่กันเข้ามาในห้อง

“ไหนจ๊ะ………!”

“อ้าวปลั๊ก! มาแล้วเหรอ”

เสียงกรภัทรที่เป็นฝ่ายทักลูกน้องขึ้นก่อนพร้อมรอยยิ้มราวกับ ดีใจนักหนา ทำให้กวินตราที่เพิ่งยิ้มแฉ่งและกำลังร้องหาน้ำส้ม ถึงกับหุบปากฉับ ก่อนที่เด็กแว่นในชุดกันเปื้อน จะพนมมือไหว้ อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ