โซ่เสน่หา

บทที่ 4 แม่จะขายหนูใช้หนี้



บทที่ 4 แม่จะขายหนูใช้หนี้

“เด็กสองคนนั้นโทรมาบอกว่าติดธุระ ช่างเถอะ…ยังไงก็ได้เจอ กัน แค่หนูปลกมาก็พอแล้ว” กุลธรกล่าวอย่างมีเมตตา

“ค่ะ” สุภาวดีตอบรับเพียงแค่นั้น แล้วบุตรสาวคนเดียวของ เธอที่กำลังชะเง้อชะแง้มองเข้ามา ก็สบตากับเธอพอดี

ปรารถนาเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ได้นั่งอยู่คน เดียว หากแต่ยังมีบุรุษสูงวัยผมสีดอกเลา แต่งกายด้วยชุด ลำลองทว่าดูภูมิฐานและมีสง่าราศีอย่างมากอีกคนนั่งอยู่ด้วย

แม่ของเธอยังสวมชุดทำงาน ซึ่งเป็นชุดผู้ช่วยพยาบาลในโรง พยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่งในย่านนี้ บนโต๊ะมีโอวัลติน กาแฟ และอาหารเบาๆ ที่ยังไม่พร่องเลยสักนิด เดาว่าคงจะรอเธออยู่ แน่ๆ

เธอก้าวเข้าไปยืนข้างมารดา ซึ่งยืนมือมารับ ก่อนจะพนมมือ ไหว้บุคคลที่สามอย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีจ้ะ นั่งเถอะ ทานอาหารด้วยกัน

เธอวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง ความหิวหายไปหมด แล้ว เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวให้มานั่ง ทานข้าวกับคนแปลกหน้า
“อาชื่อกุลธร เป็นเพื่อนของคุณแม่ของหนู เรารู้จักกันมาได้ปีก ว่าแล้วจ้ะ กินเถอะ…คุณสั่งอาหารที่หนูชอบทั้งนั้นเลย มื้อนี้อา เป็นเจ้ามือเอง”

“อ๊ะค่ะ” เธอรีบหยิบซ้อนส้อม กลืนคำถามและความสงสัยลง ไปก่อน ดีใจที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ที่อาจจะแพงกว่าค่าแรง ที่ได้รับมาทั้งวัน

ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะมีเพื่อนที่ดูดีมีสกุลและรวยมาก ดูจาก นาฬิกาที่เขาใส่นั่นก็คงเรือนละแสน ชุดลำลองนั้นก็คงไม่ได้ซื้อ จากตลาดนัด แถมยังให้เกียรติเรียกแม่เธอว่า “คุณสุ

กึก!

หรือว่า?

หญิงสาวชะงัก กลืนอาหารลงคออย่างใดเพื่อน ก่อนจะหันไป มองมารดาที่ทำท่าพะวักพะวนแปลกๆ

หรือว่าแม่จะขายเธอใช้หนี้

“อร่อยไหมปลั๊ก ถึงจะเป็นร้านกาแฟแต่เขาก็มีอาหารเบาๆ ให้ เรารับประทานนะ แม่ก็เพิ่งเคยเข้ามาเหมือนกัน” สุภาวดียิ้มให้ บุตรสาว ก่อนจะรินน้ำอุ่นบริการคุณกุลธรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“หนูปลั๊กกินเยอะๆ นะ” กุลธรยิ้มเอาใจด้วยอีกคน จะขุนเท่าไหร่ แต่หนูก็คงขายไม่ได้ราคาหรอกค่ะ ปรารถนาร่ำร้องอยู่ในใจ เมื่อเห็นท่าทีอันไม่เป็นธรรมชาติของคนทั้งสอง หากเป็นอย่างที่คิดไว้ เธอจะกล้าขัดใจมารดา หรือ?

“ตอนที่เจอกับคุณสุครั้งแรก อาป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรง พยาบาล เป็นหนักมากถึงขั้นอัมพฤกษ์ โชคดีที่ได้พยาบาลพิเศษ อย่างคุณสุคอยดูแล จึงผ่านวันคืนอันเลวร้ายมาได้”

ผู้ช่วยพยาบาลต่างหากค่ะ

หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม เมื่อ “คุณอา” กล่าวยกย่องชมเชย มารดาของเธออย่างมีเบื้องหลัง เหมือนเด็กที่ประจบผู้ใหญ่เพื่อ หวังอะไรบางอย่าง

“แต่อาการป่วยเรื้อรังนั้นก็ยังไม่หาย ต้องรักษาประคอง อาการไปตลอด ซึ่งนักธุรกิจที่กำลังจะส่งช่วงต่อให้ลูกอย่างอา คงไม่มีเวลาไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลบ่อยๆ จึงต้องขอร้องให้คุณ สุพามาพบหนูในวันนี้”

เธอหันไปมองมารดาเมื่อกุลธรกำลังใช้วาทะหว่านล้อม ใจ เต้นตึกๆ ตักๆ ด้วยความกลัว

แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลง เมื่อกุลธรเอื้อมมือไปกุมมือของ สุภาวดี ขณะที่แม่ของเธอก้มซ่อนดวงหน้าแดงเรื่อราวกับสาว แรกรุ่น!

จากนั้นเขาก็พูดประโยคที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนว่า “อาจะมาขออนุญาตหนูปลั๊ก แต่งงานกับคุณสุจ้ะ!”
“อะไรนะคะ!? คุณพ่อจะแต่งงาน!?”

เสียงกรีดร้องข้างตัวทำให้กุลธรต้องเอามืออุดหูทั้งสองข้าง ก่อนจะส่งสายตาคมเข้มมองบุตรสาวที่กำลังทำหน้าราวกับเห็น หุ่นยนต์ยักษ์มาเดินเหยียบสนามหญ้าหน้าบ้านในภาพยนตร์ เรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ และก็เป็นดังเช่นทุกครั้งที่เขาใช้สายตา ปรามบุตรสาวได้ แต่ทั้งเธอและเจ้าลูกชายตัวปัญหาที่นั่งอยู่ด้วย กัน ก็ตอบโต้ด้วยการวางซ้อนส้อมดังกึก! แล้วเอนตัวไปพิงพนัก เก้าอี้เป็นการประท้วง

“เป็นแม่หม้ายไฮโซที่ไหนกันครับ ถึงทำให้พ่อที่ครองตัวโสด มากว่าสิบปีเปลี่ยนใจได้”

“ไม่ใช่ไฮโซที่ไหนหรอกนะติณณ์” เขาเรียกชื่อของบุตรชาย พร้อมมองเขม็งเมื่อเห็นกิริยาต่อต้านเด่นชัดจากน้ำเสียงนั้น แต่ เป็นคนที่ดูแลพ่อได้ พ่อที่พวกแกไม่เคยคิดจะทำหน้าที่ของลูกที่ดี เลย”

“ก็ผมบอกแล้วว่าขอเวลาอีกสามปีครับ แล้วก็เริ่มจะเข้าไป ฝึกงานที่บริษัทแล้วด้วย ยัยสนาต่างหากที่ลอยไปลอยมา เรียน หนังสือก็ไม่จบ” ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น พร้อมใส่ไฟน้องสาวที่นั่งอยู่ ข้างๆ จนเธอหันมาแว้ดเสียงแหลม

“เอ๊ะ! พี่ติณณ์นี่!” แล้วเธอก็แก้ตัวกับบิดาเสียงอ่อย “ลนาก็ แค่ยังไม่ได้ส่งงานวิจัยเท่านั้นเองค่ะคุณพ่อ ก็เลยยังขออนุมัติจบ ไม่ได้ แหะๆ”

“พอกันเลยทั้งสองคน” กุลธรโบกมือด้วยความเบื่อหน่าย แม้จะฝ่าด่านลูกสาวของสุภาวดีมาแล้ว แต่คนที่เป็นตัวปัญหามาก ที่สุด ก็คือลูกชายลูกสาวสองคนนี่แหละ

กว่าจะนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาได้ก็ต้องรอจนถึงเย็นวัน อาทิตย์ แถมอาหารที่แสนอร่อยก็เหมือนจะกร่อยไปถนัด

“ติณณ์! แกเองก็อายุยี่สิบห้าแล้ว และเป็นลูกชายคนเดียวที่จะ ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว หากพ่อตายไป สิ่งที่แกต้อง ดูแล ไม่ใช่แค่ชีวิตของแกคนเดียว แต่ยังรวมถึงน้อง และ พนักงานในบริษัทอีกกว่าพันชีวิต หากแกทำให้พ่อเชื่อใจไม่ได้ ก็ จําเป็นจะต้องยอมให้คุณชายเล็กเข้ามาถือหุ้นใหญ่ พร้อม ตำแหน่งประธานบริษัท

“ไม่ได้นะครับ!” บุตรชายดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ มองบิดาด้วย สายตาแข็งกร้าวไม่แพ้กัน “นี่พ่อคิดจะยกกิจการหมื่นล้าน ให้คน อื่นหรือไง?”

“ใช่ค่ะ…พี่เล็กเขาก็มีธุรกิจของเขาอยู่แล้วนะคะ” คราวนี้ยล นาหันมาเข้าข้างพี่ชาย

“นี่เธอยังกล้าเรียกร้านอาหารอิตาเลียนนั่นว่าธุรกิจหรือ?” เขา หันไปถลึงตาใส่น้องสาว “แม้แต่เด็กเสิร์ฟก็ไร้รสนิยม ไม่นานก็

“ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อแกยังไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่อย่างนี้

“พ่อก็แต่งตั้งผมให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ สิครับ นี่เล่นส่งผม ไปอยู่แผนกการผลิต แล้วใครจะเกรงใจผมล่ะ ผมคือผู้ถือหุ้น ใหญ่นะ แล้วก็เป็นลูกชายท่านประธานด้วย
“หุ้นแกก็เงินฉันทั้งนั้น แล้วฉันก็จะส่งแกไปฝึกงานทุกแผนกนั่น ล่ะ แม้แต่แผนกแม่บ้านก็ไม่เว้น แกต้องไปหัดขัดส้วม เช็ดกระจก รดน้ำต้นไม้ ส่วนแก…ลนา…ถ้าหากไม่ได้รับปริญญาพร้อมเพื่อน อย่าหวังว่าจะได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ”

“คุณพ่ออ๊ะ!” ยลนากระฟัดกระเฟียด ถลึงตามองพี่ชายที่ พลอยทำให้เธอโดนลูกหลงไปด้วย

“อย่างนี้ผมก็ยิ่งขาดความน่าเชื่อถือนะพ่อ” ติณณ์โอดครวญ

แล้วเรื่องแต่งงานของคุณพ่อล่ะคะ นายอมให้ผู้หญิงคนนั้น มาอยู่ในบ้านได้ แต่อย่าหวังว่าสนาจะเรียกแม่นะคะ แม่ลนามีคน เดียวเท่านั้น” ยลนารีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะโดนทั้งพ่อและพี่ ชายเทศนาอีก

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ ฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีคนมา ดูแลตอนแก่ เธอเองก็เป็นพยาบาลคอยดูแลพ่อตอนอยู่ที่โรง พยาบาล มีลูกติดอยู่คนหนึ่ง เป็นเด็กดีกว่าพวกแกร้อยเท่า ฉันก็ ไม่ได้หวังจะมีครอบครัวอบอุ่นอะไรนักหรอก แค่อย่าสร้างปัญหา อย่าทะเลาะกันก็พอแล้ว”

“เหอะ…พ่อจะแต่งกับใครผมไม่สนหรอก แต่อย่ามายุ่งกับ ชีวิตผมก็แล้วกัน” ติณณ์สะบัดหน้า

“ฉันจะจัดพิธีแต่งงานแบบเงียบๆ ที่คลวรรณรีสอร์ท เรื่องพิธง พิธี พวกแกไม่ต้องยุ่ง แค่ต้องอยู่ให้ฉันเห็นหน้าในวันงานก็พอ เอาล่ะ…ฉันอิ่มแล้ว เชิญพวกแกกินต่อกันตามสบาย หวังว่าฉันจะ ไม่ต้องตอบคําถามพวกนี้อีก”
เมื่อประมุขของบ้านเดินออกจากห้องไป สองพี่น้องก็หันมา มองหน้ากันแล้วถอนหายใจเฮือก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ