บทที่ 2 ไม่ถูกชะตา
ปรารถนามิได้โกรธ เธอคิดในแง่ดีว่าอาจเป็นเพราะเธอ สายตาสั้น และการอ่านปากคนจากระยะสิบเมตร ก็อาจเกิดการ ผิดพลาดกันได้ แม้จะค่อนข้างแน่ใจในการขยับปากของผู้ชาย คนนั้นก็ตาม
เธอตัดสินใจเดินเข้าไปรับออเดอร์ แต่ละก้าวย่างก็เก็บราย ละเอียดของผู้ชายคนนั้นไว้อย่างละเอียดยิบ เพราะดูเหมือนเขา จะรู้จักกับกรภัทร แต่ก็มีประสงค์ร้ายแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน
ยิ่งเห็นหน้าชัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นสัญญาณอันตรายพวยพุ่งออก มามากขึ้นเท่านั้น ทั้งแววตาที่ไม่เป็นมิตร ริมฝีปากเหยียดตรง ถือดี แถมยังนั่งไขว่ห้างเอนตัวพิงโซฟาด้วยอิริยาบถที่สบายเกิน ไปสำหรับการอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำเหล่านี้
พอเห็นเธอเดินมา เขาก็ยักคิ้ว จงใจผายมือให้ผู้ร่วมโต๊ะทุก คนหันมาทางเธอพร้อมๆ กัน
“Ho ordinate questo cibo delizioso”
ปรารถนาดึงเครื่องรับออเดอร์พร้อมปากกาออกมาเตรียมจด ว่าเมื่อเห็นสายตาคมที่กำลังจ้องมอง และราวกับว่าเขากำลังรอ คอยอะไรบางอย่าง เธอก็ยกมือไหว้แขกทุกคนพร้อมกับพูด ภาษาอิตาลีกลับไปว่า
“Benvenuto Ottenere ordini essa.”
เพียงเท่านี้ ทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มชาวอิตาเลียน ก็ทยอยส่ง อาหารกันอย่างสุภาพ ที่สังหรณ์ใจตอนแรกว่าจะเป็นกลุ่ม มาเฟียต่างชาติมาก่อกวนที่ร้านเป็นอันหมดไป ไม่เหมือนเจ้า ภาพคนไทยที่ดูเหมือนจะผิดหวังที่เธอสามารถพูดคุยโต้ตอบกับ เพื่อนของเขาได้…ซะงั้น!
“คุณล่ะคะ…จะรับอะไรดีคะ?” เธอถามเขาเป็นคนสุดท้าย
“น้ำเปล่า….แค่นั้นล่ะ…ฉันต้องการพบคุณชายเล็ก…อยู่ไหม?” เขาพูดเสียงห้วน
ก็ยังดีกว่าคำว่า “ไปตามคุณชายเล็กมาซิ!” นั่นอยู่นิดหน่อย ถึงจะเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่ก็เถอะ บางทีเขาอาจจะ เป็นเพื่อนสนิทกับกรภัทรก็ได้
ทำไมคุณชายถึงได้คบเพื่อนแบบนี้นะ
“ผู้จัดการอยู่ในห้องค่ะ จะให้เรียนว่า ใครมาขอพบคะ?”
“หึ…ผู้จัดการ…” เขาทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะพูดกับเธอด้วย น้ำเสียงกระด้าง “ไปบอกว่าญาติมาหา โอเคไหม เร็วด้วย…ฉัน หิว”
“แต่คุณสั่งแค่น้ำเปล่านะคะ จะรับอะไรดีคะ?” เธอไม่นำพาต่อ ท่าทีนั้น แต่ถือปากกาเตรียมจิ้มรายการอาหารตามหน้าที่ ทั้งคิด ในใจว่า หากผู้ชายคนนี้เป็นเจ้ามือในมื้อนี้แล้ว สงสัยว่าเธอจะ แห้วไม่ได้ทิปติดมือกลับบ้านแม้แต่บาทเดียว
ไม่รู้ว่าคำพูดของเธอไปกระตุกต่อมโมโหของเขาหรืออย่างไรแววตาของเขาจึงวาบขึ้นด้วยความฉุนเฉียว แล้วก็คลายลงในชั่ว พริบตา
“เอาเมนูพิเศษของวันนี้ให้เขาก็แล้วกันจะปลั๊ก
เสียงกรภัทรที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ปรารถนาถึงบางอ้อว่า ทำไมเขาจึงไม่หาเรื่องเธอต่อ เธอจึงรีบกดเมนูพิเศษของวันนี้ ตามคําสั่ง แล้วหลีกทางให้กรภัทรเดินเข้ามาด้วยการเดินกลับ ไปที่เคาท์เตอร์เพื่อส่งออเดอร์ให้แม่ครัว
“ว่าไงปลั๊ก? ใช่พวกมาเฟียหรือเปล่า?” ยศสินีรีบปรี่เข้ามา ถาม ทำหน้าตาลอกแลกราวกับตัวเองเป็นนักแสดงในหนังแอ็คชั่ นของฮอลลีวูด
“ไหนว่าเป็นนักธุรกิจชั้นนำไง?” เธอย้อนถาม เพิ่งรู้ว่าที่แท้ เพื่อนสาวก็คิดเหมือนเธอ แถมยังล่อลวงให้เธอไปเสี่ยงตายเสีย อีก
ถ้านายนั่นเป็นมาเฟียจริงๆ ล่ะก็ เธอก็อาจโดนลูกหลง หรือไม่ ก็ตกเป็นเป้าหมายต่อจากคุณชาย เพราะขนาดไปรับออเดอร์ เฉยๆ ก็ยังถูกมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เธอเหลือบมองไปที่โต๊ะนั้น เห็นกรภัทรทักทายกับพวกคนใส่ สูท ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน โดยมีผู้ชายคนนั้นเดิน ตามไปด้วย
ให้ตาย…เขาสูงกว่าคุณชาย แถมยังดูแข็งแรงกว่า นี่ถ้าเกิด อะไรขึ้น ใครจะกล้าเข้าไปช่วยกันล่ะ!
“หล่อเนอะ!”
“อะไรนะ?” เธอขมวดคิ้ว เมื่อยศสินีที่ทำท่าหวาดกลัวอยู่ หยกๆ เปลี่ยนโหมดเป็นอินเลิฟน่าตาเฉย
“เพื่อนผู้จัดการอ้ะ แฮนซั่มมาก หุ่นอย่างกับนายแบบ
“ไม่แน่ใจว่าใช่เพื่อนหรือเปล่า แต่เธอแอบปลื้มผู้จัดการไม่ใช่ หรือ?” เธอไม่ได้บอกด้วยว่าเขาเป็นญาติของผู้จัดการ เพราะไม่รู้ ว่าผู้ชายคนนั้นพูดจริงหรือแค่จะกวนประสาทเธอ
“ก็ปลื้มหมดนั่นล่ะ ใครจะเป็นแม่อย่างเธอล่ะจ๊ะ รีบเรียนให้
จบดอกเตอร์ล่ะ จะได้ใช้คำนำหน้าแทนนางสาวไปจนแก่”
ปรารถนาสายหน้ากับคำแดกดันของเพื่อน ยศสินีเรียนห้อง เดียวกับเธอมาตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมหาวิทยาลัย เพราะความที่ มีปมด้อยเหมือนกันก็เลยคบหากันได้ คนหนึ่งเด็กเรียนหน้าตา จืดๆ อีกคนอวบเหมือนน้ำเต้า ทั้งครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลาง เกือบๆ ล่าง ชั่วชีวิตวัยรุ่นจึงเสมือนเกสรดอกไม้ไร้ภมรภู่มารุม ตอม การจิกกัดกันเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
เธอมิได้สนใจโต๊ะนั้นอีก เพราะมีแขกทยอยเข้าร้านเรื่อยๆ ทั้ง ยังเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนมาก วันนี้จึงได้พูดภาษาต่างประเทศ อย่างอิ่มหนํา
เมื่อถึงเวลากลับบ้าน เธอก็เข้าห้องแต่งตัว ปลดผ้ากันเปื้อนใส่ ตะกร้า เวลาทํางานของเธอคือห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ปกติจะทำ โอทีต่ออีกหนึ่งชั่วโมง แต่วันนี้เธอมีนัด จึงต้องอำลาค่าแรงอีก สามร้อยบาทอย่างแสนเสียดาย
ร้านเปิดถึงเที่ยงคืน หน้าที่หลักของเธอคือเช็คสต๊อก และช่วย รับออเออร์อยู่ที่เคาท์เตอร์กับผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งเป็น พนักงานประจำ แต่หากวันใดลูกค้าต่างชาติเยอะ ผู้จัดการก็จะ อนุญาตให้เธอออกไปรับออเดอร์และเสิร์ฟเองได้
เธอหยิบกระเป๋าออกจากล็อกเกอร์ ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปที่ เบอร์ของมารดา
“ปลั๊กเลิกงานแล้วจ้ะแม่ เดี๋ยวจะนั่งรถไฟฟ้าไป จะ…แล้วเจอ กันจ้ะ”
“แน่ใจนะว่านายจะไม่ไปดินเนอร์กับครอบครัวฉันคืนนี้ นี่พ่อ ให้ฉันมาตามนายเลยนะ”
เสียงของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องผู้จัดการที่เปิด ผลัวะออกมา ทำให้ปรารถนาชะงัก แล้วยืนหลบอยู่หลังตู้ล็อก เกอร์
เขาเป็นญาติของผู้จัดการจริงๆ ด้วย และที่ไม่สั่งอาหารก็ เพราะว่ามีนัดกับครอบครัวแล้วนี่เอง อา…อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ มาหาเรื่องที่ร้านล่ะนะ
“ฉันยังสนุกกับงานนี้อยู่ เอาไว้ไปทีเดียวตอนประชุมผู้ถือหุ้น แล้วกัน ว่าแต่ท่านสบายดีไหม ตั้งแต่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล คราวนั้น ก็ยังไม่มีเวลาแวะไปอีกเลย
“ออกมาได้สักพักแล้ว วันนี้ก็บังคับฉันให้พาผู้ร่วมทุนมา นาย ก็รู้ว่าฉันยังไม่อยากรับช่วงธุรกิจต่อตอนนี้ ใครจะใจดีเหมือนแม่ นายล่ะ”
“ไม่มีแม่คุมอย่างนายอาจจะดีกว่า”
ปรารถนาสะดุ้งกับประโยคที่คุณชายย้อนกลับไป ทว่าน้ำเสียง นั้นมิได้ประชดประชันเหมือนอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะอารมณ์เสีย ตลอดเวลาก็โล่งใจ
ก็หม่อมราชวงศ์กับมาเฟียนี่นะ…
“อ้อ! เกือบลืม…นี่นายไม่ได้คัดเด็กเสิร์ฟเลยเหรอ เลือกคน หน้าตาดีๆ กว่านี้หน่อยสิ เด็กวัยรุ่น ใส่แว่นซะหนาเตอะเสียยี่ห้อ ร้านหมด”
อ้าว! วกกลับมาหาเรื่องเราซะนี่
ปรารถนาไม่กล้าขยับตัว เพราะจู่ๆ ผู้ชายปากเปราะคนนั้นก็ หยิบเรื่องเธอขึ้นมาเป็นเรื่องสนทนา แถมยังนินทาผู้หญิงอย่าง หน้าไม่อายอีกด้วย
“ไม่ใช่เด็ก…ปลั๊กอายุยี่สิบสองแล้ว จบมหาวิทยาลัยแล้วด้วย ที่สำคัญเรียนเก่งและเป็นคนดีมาก ฉันกำลังจะจีบไปช่วยงานที่ บริษัทอยู่นี่”
คุณชาย…
หญิงสาวเพ้อในใจ ปลาบปลื้มที่กรภัทรออกรับแทนและเห็น คุณค่าในตัวเธอถึงเพียงนั้น
“หา! จบปริญญาตรี ทั้งๆ ที่สูงแค่ร้อยสี่สิบห้าน่ะเรอะ?”
ร้อยห้าสิบสามต่างหาก!
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ