โซ่เสน่หา

บทที่ 11 นายปากร้ายกับยัยลูกหมา



บทที่ 11 นายปากร้ายกับยัยลูกหมา

“ขออนุญาตนะครับ”

ติณณ์เอ่ยปากบอกทุกคนที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะกดรับสาย สองถึงสามประโยคแล้วก็ยัดโทรศัพท์เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ พูด

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีนัดกับเล็กต่อ คุณพ่อคงไม่ ว่าอะไรนะครับ”

“อ้าว?” กุลธรหันไปมองสุภาวดีเป็นเชิงปรึกษา

“ไว้เจอกันวันงานเลยก็ได้ค่ะ” ว่าที่ภรรยาตอบด้วยรอยยิ้ม เพราะเห็นแต่แรกแล้วว่าบุตรชายของเขาค่อนข้างอึดอัดกับการ พบหน้าครอบครัวใหม่อยู่พอสมควร

อย่างน้อยเขาก็ยังมีมารยาท ไม่ได้ทำตัวมีปัญหาหรือ “เกเร

อย่างที่กุลธรพูดไว้บ่อยๆ

“งั้นก็ไปเถอะ ฝากบอกตาเล็กด้วยว่ามากินข้าวด้วยกันบ้าง “ครับ..” ชายหนุ่มรีบลุกขึ้น ก่อนจะโค้งให้สุภาวดี “ทาน ให้ อร่อยนะครับ…คุณอา

สุภาวดีได้แต่ยิ้มเพื่อนๆ แม้จะทำใจมาแล้วว่าจะได้รับการ “ต้อนรับ” เช่นไร จากบุคคลสำคัญในครอบครัวของว่าที่สามี แต่ ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสถึงคำว่า “การเสแสร้งของผู้ดี” ด้วย ตัวเอง
แม้จะนั่งกินข้าว โต๊ะเดียวกัน ทว่าก็เหมือนนั่งกินกันอยู่คนละ มุมโลก พวกเขาไม่ได้พูดถึงกิจวัตรประจำวัน ไม่ได้เล่าสารทุกข์ สุขดิบสู่กันฟังเหมือนเธอและลูกสาว หัวข้อสนทนาระหว่างรับ ประทานมื้อค่ำ คือเรื่องผลการเรียนของยลนา และเรื่องงานของ

เป็นความสัมพันธ์ที่เลวร้าย ราวกับทุกคนเป็นคนแปลกหน้า ทั้งๆ ที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกว่ายี่สิบปี จึงไม่แปลกใจเลย ที่ยล นาจะแสวงหาสังคม ส่วนพี่ชายของเธอ…กลับกลายเป็นคนที่เป็น ชา

“พี่ติณณ์ไม่อยู่แล้ว…ลนาก็อิ่มเหมือนกันค่ะ” ยลนาวางซ้อน ยกผ้าขึ้นมาซับริมฝีปาก

“แกยังไปไหนไม่ได้” กุลธรพูดเสียงต่ำ

บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร จึงเอวังด้วยประการฉะนี้

ปรารถนายกมือถือขึ้นมาดู ขณะนี้เข็มสั้นแตะเลขแปดแล้ว เธอจึงเลือกที่จะใช้ลิฟต์แทนบันไดเลื่อน เพราะต้องขึ้นไปรับ ประทานอาหารกันถึงชั้นดาดฟ้า

เธอหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ แต่อาหารอาจจะหมดแล้ว นั่นไม่ เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ไปสวัสดีทักทายครอบครัวใหม่ตาม มารยาท แล้วค่อยกลับไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินที่บ้านก็ได้

โชคดีที่รอบนี้ไม่มีคนขึ้นไปด้วย จึงไม่ต้องแย่งหรือรอนาน กระนั้นกว่าลิฟต์จะลงมาจากชั้นบนสุดก็ต้องยืนรออยู่ดี
เร็วๆๆๆๆ หน่อยเถอะลิฟต์จ๋า….รอจนขาแข็งหมดแล้วน้า…

10 9 8 7 6 5 4 3 21

หญิงสาวจ้องมองตัวเลขที่ปรากฏสีแดงขึ้นทีละตัวอย่างใจจด ใจจ่อ ก่อนที่มันจะหยุดอยู่ที่หมายเลข 1 แล้วเสียงลิฟต์ก็เปิดออก ดัง ติ๊ง!

ประตูลิฟต์เปิดออก เธอยังไม่ได้เก็บมือถือ ก็รีบก้าวขาเข้าไป อย่างไวว่อง สวนกับร่างสูงที่ก้าวออกมาเช่นกัน

หญิงสาวหันขวับจนผมกระจาย มือที่กดหมายเลขชั้นไปแล้ว ชะงักค้าง อ้าปากเหวอมองหน้าชายหนุ่มที่หันหลังกลับมาเช่นกัน ต่างคนต่างหน้าตะโกนดังลั่นด้วยความตกใจ!

“คนปากร้าย! ยัยลูกหมา!”

ทว่า…มือของติณณ์นั้นว่างเปล่า แต่มือของปรารถนานั้นไม่ใช่ เพราะเมื่อเธอยื่นมือออกไปปั๊บ โทรศัพท์ก็หล่นร่วงกระเด็นออก ไปนอกลิฟต์

“อ๊ะ!” หญิงสาวถลาจะวิ่งออก จังหวะเดียวกับที่ลิฟต์กำลังปิด เธอจึงได้เห็นว่าเขาก้มลงหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา แล้วก็ แสยะยิ้มยียวนมาให้เท่านั้น

แล้วลิฟต์ก็ลอยขึ้นไปข้างบนทันที

ปีง!
ติ้ง!

“ไม่นะ…ไม่ๆๆๆๆ”

ปรารถนารัวนิ้วกดปุ่มชั้นถัดไปด้วยความตกใจ ทว่าลิฟต์ที่ถูก กดให้หยุดอยู่ที่ชั้นสิบมาตั้งแต่ต้น ก็ไต่ระดับขึ้นไปแล้วไม่ต่ำกว่า ห้าชั้น และไปหยุดอยู่ในชั้นที่หกซึ่งกดไว้ได้ทัน

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็รีบวิ่งออกไป เพื่อรอกดลิฟต์อีก ตัวที่กำลังไต่ระดับลงมา ขณะที่ลิฟต์ตัวเมื่อครู่ก็ไต่ขึ้นไปโดยไม่มี ผู้โดยสาร

สมองของเธอว้าวุ่น คิดถึงแม่และครอบครัวใหม่ที่ป่านนี้คงรอ เธออยู่ไหนจะห่วงโทรศัพท์มือถือที่อยู่กับเพื่อนของคุณชาย

เขาจะรอคืนให้เธอ หรือว่าจะเอาไปฝากไว้กับประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ก็ถ้าเป็นอย่างหลัง เธอจะไปตาม คืนได้ที่ไหน?

ไม่ถึงสองนาที หญิงสาวก็ได้ลงลิฟต์อีกตัว และเมื่อลงมาถึงชั้น ที่หนึ่ง เธอก็พบแต่ความว่างเปล่า…

เธอวิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์ สอบถามว่ามีใครเอาโทรศัพท์มา ฝากไว้หรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่มี

เธอวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างห้องน้ำ กดเบอร์ของตัว

เองแล้วโทรออก

แกร๊ก!
ค่อยยังชั่ว ที่เขากดรับสาย เพราะมัวแต่วิ่งไปวิ่งมา เธอจึงละ ล่ำละลักกรอกเสียงลงไปปนหอบ

“ฮะ…ฮัลโหล…สะ…สวัสดีค่ะ…ได้ยินหรือเปล่าคะ สวัสดีค่ะ”

ติณณ์ดึงโทรศัพท์ออกห่างหูเล็กน้อย เมื่อเสียงปลายสายดัง ขึ้นจนแสบแก้วหู ตอนนี้เขานั่งอยู่ในรถของกรภัทร และออกจา กบริเวรห้างสรรพสินค้ามาหลายช่วงตึกแล้ว จนคิดว่าเจ้าของ โทรศัพท์จะไม่โทรมาแล้วเสียอีก

นี่หล่อนใช้มือถือรุ่นไหนกัน ทำไมตัวเครื่องถึงได้หนักและ เทอะทะอย่างนี้ หน้าจอหรือก็ไม่ใช่ทัชสกรีน แถมยังมีปุ่มอะไร เยอะแยะเต็มไปหมด

“สวัสดีค่ะ…ได้ยินหรือเปล่าคะ ฮัลโหลๆๆ”

“ได้ยินแล้วจ้ะที่รัก” เขาเพิ่งจะกรอกเสียงตอบไป

ได้ยินคำว่า “ที่รัก” จากปากของญาติหนุ่ม กรภัทรซึ่งทำหน้าที่ เป็นสารถี ก็รีบเอาหูฟังมาอุดหู เพื่อมิให้เป็นการเสียมารยาท

“คะ?” ปรารถนาที่ถือสายอยู่ขมวดคิ้วมั่น ก่อนจะหยอด เหรียญสิบเพิ่มไปอีกเหรียญหนึ่ง

“คะ….คือ…มือถือฉันอยู่กับคุณน่ะค่ะ”

“แล้วไง?” ติณณ์ยักไหล่ มิได้ทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกรภัทร เสียบหูฟังไปแล้ว เขาก็เปลี่ยนท่าทีจากเมื่อครู่เป็นคนละคน
“ฉัน…ขอมือถือคืนได้ไหมคะ?”

ให้ตายสิ…ยัยปลั๊ก เธอต้องบอกว่า เอามือถือฉันคืนมาต่าง

หาก

“อ้าว! นึกว่าโยนทิ้ง น่าเสียดายนะ ฉันออกมาไกลแล้วล่ะ แล้ว รถก็ติดมาก คงย้อนกลับไปไม่ได้ โอ๊ะ!

แบตจะหมดแล้วด้วย ทำไงดีล่ะ!”

“เอ่อ…คุณจะไปที่ไหนคะ? กรุณารอก่อน ฉันจะรีบนั่งรถไปค่ะ” “ฉันจะรออยู่ที่คลินท์วู้ด ถนนสุขุมวิท อีกหนึ่งชั่วโมง แล้วจะไป ไหนต่อไม่รู้ มาให้ทันก็แล้วกัน”

ครูดๆๆๆๆๆๆ

“ดะ…เดี๋ยวค่ะ…เดี๋ยว…

ปรารถนาวางหูโทรศัพท์อย่างหมดแรง จากตรงนี้ ต้องนั่ง รถไฟฟ้าหกสถานีจึงจะถึงสุขุมวิท กว่าจะขึ้นไปพบแม่ กว่าจะเดิน ไปที่สถานี ก็หมดเวลาไปแล้วราวครึ่งชั่วโมง

เธอมิได้เสียดายโทรศัพท์ แต่เสียดายข้อมูลในเมมโมรี่การ์ด และซิมการ์ด ทั้งแม่อาจจะโทรหาด้วยความเป็นห่วง

เธอจึงหยอดเหรียญลงไปอีกครั้ง แล้วกดเบอร์ของสุภาวดี

“ปลั๊กโทรมาค่ะ”

สุภาวดีดึงโทรศัพท์ขึ้นมาดู พร้อมบอกกับว่าที่สามี แล้วกดรับ

สาย
“ว่าไงลูก แม่กำลังจะโทรหาพอดีเลย

“แม่จ๋า…ปลกต้องขอโทษค่ะ ปลั้กไปหาแม่ไม่ได้จริงๆ

“ทำไมล่ะ? ยังไม่เลิกงานหรือจ๊ะ?”

“เลิกแล้วค่ะ แต่โทรศัพท์ปลั๊กติดไปกับเพื่อน ปลูกต้องตามไป เอาโทรศัพท์ก่อนน่ะจ้ะ แม่กลับบ้านก่อนเลยนะจ๊ะ”

“ระวังตัวนะลูก”

“จ้ะ ปลั๊กกราบขออภัยคุณลุงด้วยค่ะที่ผิดนัด

เมื่อลูกสาววางสายไป สุภาวดีก็หันไปมองกุลธรและบลนา ด้วยสายตาลุแก่โทษ

“แกมาไม่ได้ค่ะ ฉันต้องขอโทษแทนแกด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไร คนงานยุ่งก็อย่างนี้ล่ะ ยังไงพวกเด็กๆ ก็จะต้องอยู่ บ้านเดียวกันอยู่แล้ว เจอตอนไหนก็ไม่แปลก…แกก็ดูไว้เป็น ตัวอย่างนะลนา”

“อ้าวคุณพ่อก็!” ยลนาซึ่งอุตส่าห์สงบปากสงบคำ ค้อนให้บิดา เมื่อจู่ๆ ก็โดนหางเลข โดยไม่รู้ตัว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ