บทที่ 10 ให้ห้าสิบต่าลึงเงิน
มีเสียงๆ หนึ่งที่เคร่งขรึมดังขึ้นขัดจังหวะการพร่ำบ่นของหลิง ชื่อ จนนางสะดุ้งตกใจทันที พอหันไปก็เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ ตรงหลังประตูด้วยท่ายืนที่เอามือไขว้หลัง เขาสวมใส่เสื้อกั๊กสี เทา ในตัวเขานั้นแผ่ซ่านความมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนคนอื่น
“ห…………………เจ้ามาได้อย่างไร? ” หลิวซื้อพิมพ์ขึ้น ผู้ เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าคือหลี่เจิ้งในหมู่บ้าหยวน และเป็นคนควบคุม ดูแลหมู่บ้านหวีน ต่อให้ในเดือนมีเสียงเด็ก หลิว อก็ไม่ค่อยกล้า พูดความเห็นของตัวเองออกมากับหลี่เจิ้ง
เย่หลิงเพิ่งจะรู้ว่าผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าคือหลี่เจิ้ง นัยน์ตานาง เปล่งประกายขึ้นมาทันที เมื่อสักครู่นางเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีคน จำนวนหนึ่งไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด และกำลังยืนฟังความ เคลื่อนไหวที่อยู่ในเรือนด้วยสีหน้าที่นิ่งๆ
ดูยังไงก็ไม่เหมือนอยู่ฝ่ายหญิงชื่อ ดังนั้นเย่หลิงจึงยอมที่จะ เปิดประตูให้กว้างกว่าเดิม หากคนที่มามุงดูคือชาวบ้านใน หมู่บ้านก็คงไม่เป็นไร ห้าสิบตำลึงเงินแม้ว่านางไม่รู้ว่ามันจำนวน เท่าใดกันแน่ แต่ก็รู้ว่าเป็นเงินก้อนโตในสมัยโบราณ
ถ้าทุกคนต่างก็รู้สึกว่าฉันสือจึงเคยให้เงินหลิงชื่อไปห้าสิบ
ตำลึง คิดว่าคงจะเข้าข้างทางฝั่งฉินสื่อสิ่ง “ข้าไม่มา ข้าไม่มาเจ้าก็คิดว่าจะทำเช่นนี้กับสื่อสิ่งนั้นหรือ!? น้ำเสียงของคนที่มีเมตตานั้นใสแต่มีพลัง ทันใดนั้นก็มีคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็มองมาทางฝั่งนี้
“ต่อให้สือจึงจะไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของเจ้า ทว่าเจ้าแต่งเข้าไป ในตระกูลฉินก็ควรจะเสมอภาคกับทุกฝ่าย! สุดท้ายเจ้าทำเยี่ยง ไร? ตอนซือจึงยังเด็กเจ้าก็ไม่ให้ข้าวเขากิน ทุกคนก็เอาแต่บีบ บังคับให้เขาทำงาน เขาไปเป็นทหารสิบปี ไม่เคยขออาหารจากที่ บ้านกินแม้แต่ถ้วยเดียว กลับมาก็เอาเงินที่แลกมาด้วยชีวิตให้ เจ้า เพราะความกตัญญูต่อเจ้า สุดท้ายแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สักตัวเจ้า กลับไม่ให้เขาตัดเลย! ”
เขารู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ เขาก็มองฉินเหวินอานเหมือนกัน แต่วิธีของคนอื่นๆ ที่ทำ ใน ตระกูลฉินนั้น มันช่างทำให้คนอื่นดูหมิ่นเกินไปแล้ว มีแต่คนพวก นี้ที่คอยฉุดรั้งความก้าวหน้า ฉินเหวินอานจะสามารถเดินไปไกล จริงหรือ?
“ห้าสิบตะลึงเงิน! ”
คนที่แกล้งทําเป็นเดินผ่านต่างก็ตะลึงงันทันที เงินห้าสิบตำลึง เงินคือเท่าใดกัน? มีครอบครัวชาวนามากมายคิดว่าเวลาหนึ่งปี คงออมเงินได้แค่หนึ่งถึงสองตำลึงเท่านั้น
แล้วดูเสื้อผ้าบนเรือนร่างของฉันสื่อวิ่งเทียบกับเสื้อผ้าบนเรือน ร่างของฉันซือจุน จนมีคนอดไม่ได้ที่จะทำเสียง “จู่ๆ ” ออกออก มา
“นี่ก็ให้เงินห้าสิบตำลึงเงินไปแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สักตัวก็ไม่ ยอมตัดให้ นี่มันขี้งกเกินไปหรือเปล่า”
“ห้าสิบตำลึงเงิน ประหยัดหน่อย มันสามารถจุลเจือครอบครัว ได้นานเพียงใดกันล่ะ……..
“เอ๊ะทางโน้น……..ไม่ใช่เมียที่ฉินสือจึงเพิ่งจะขอมาหรือ?
………..ไม่ให้นางกินข้าวหรือว่า………. ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นเต่ผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดชำรุด กว่าฉันซือจิ่ง พลางมองอย่างตะลึงงัน ………นี่คือเมียของพี่ใหญ่ ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านหรือ?
คนไม่รู้ยังนึกว่าเป็นผู้ประสบภัยด้วยซ้ำ……เหมือนคนที่หิวมา เป็นสิบวันถึงครึ่งเดือนแล้ว นางดูเหมือนไม่ได้กินข้าวเลย
เย่หลิงเป็นคนหูดีจึงได้ยินสิ่งที่คนอื่นกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึง ตัวเอง นางจึงรีบกลับไปอยู่ข้างกายฉันสือวิ่ง พลางจงใจดึงแขน เสื้อขึ้น เพื่อที่ทุกคนที่มุงดูได้เห็นอย่างชัดเจนหน่อย ดังที่คาดไว้มี เสียงฮือฮาต่างๆ ดังขึ้นทันที
ฉินสือจิ่งจึงเหลือบตามองนาง แล้วอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุม ปากขึ้น
“เอาเงินมาให้ต่อพ่อแม่เพราะความกตัญญูกตเวทีไม่ใช่เรื่องที่ สมควรทำหรือไง? ข้า…………องครอบครัวของพวกเรา แล้วยังมี ใครหน้าไหนที่เห็นข้าไม่ให้พวกเขากินและสวมใส่เสื้อผ้าล่ะ! ” หลิวอยังคงปากแข็ง “อีกอย่าง ถ้ามีปัญญาพวกเจ้าก็เลี้ยงดูเด็ก อีกสักคนสิ! ”
ถึงแม้ทุกคนต่างก็รู้ว่าเลี้ยงส่งปัญญาชนนั้นต้องเสีย เงิน……..ทว่าจริงๆ แล้วหลิงชื่อและฉินสือจุนเหมือนจะมีชีวิตดีกว่าฉันซือจิ่งพวกเขาสองคนมาก
“ที่ข้ามานี่ ก็ไม่ได้มาเพราะว่าเรื่องครอบครัว” ผู้เมตตาคนนั้น ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ถ้าสือจึงอยากจะแยกออกมา ข้าจะมา เป็นพยานให้”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ