บทที่11
เซ่เหวินตงกวักมือให้พี่น้องที่อยู่รอบด้าน ทุกคนต่าง เข้าใจในความหมายและแยกทางออกให้ ทําให้เหลือหลี่ ส่วงยืนโด่คนเดียวในสนาม ตอนแรกเซเหวินตงไม่อยาก มีเรื่องเพราะเพิ่งเข้ามาใหม่ แต่ความคึกคะนองของวัยรุ่น ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด อยากถือโอกาสต้อนรับน้อง ใหม่นี้โชว์พลังตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ขัดขวางหลี่ ส่วง
ในสนามมีกลุ่มวัยรุ่นที่อารมณ์ร้อน กรูเข้ามาล้อมรอบ หลี่ล่วงไว้ มีเด็กนักเรียนใส่เสื้อสีฟ้าคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ก่อนว่า “เหี้ย เมื่อกี้นายเป็นคนตะโกนใช่ไหม” หลี่ล่วงมอง สำรวจสักครู่ เบ้ปากพูดขึ้นมาว่า: “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ หลบ ไปข้างๆ เลยดีกว่า!”
นักเรียนชุดสีฟ้าโกรธเกือบตาย ตัวเองอ้วนยังกับหมูยัง กล้าว่าคนอื่นไม่ใช่คู่ต่อสู้อีก เขาไม่พูดอะไรอีก กำหมัด เข้าไปต่อหลี่ล่วง หล่ส่วงเป็นคนอารมณ์ร้อน ภายใต้แกน นําของเซ่เหวินตงเขาถือได้ว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งเลย ประสบการณ์การชกต่อยก็ช่าชองมาก เมื่อเห็นหมัดของ อีกฝ่ายเข้ามา จึงรีบสกัดไว้ ส่วนมืออีกข้าง ยกขึ้นมาแล้ว ตบลงไปบนใบหน้าของนักเรียนเสื้อสีฟ้าคนนั้น ฝ่ามือนี้ ตบรุนแรงมาก ทำให้นักเรียนคนนั้นถอยหลังหลายก้าว และล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นลุกขึ้นมาไม่ได้
หลี่ล่วงหันมองไปรอบๆ ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกว่า: “คน ต่อไปเป็นใคร? ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็อย่าหดหัวในกระดอง! เข้ามาเลย!”
คำพูดของหลี่ส่วงทำให้คนที่ล้อมรอบอยู่ต่างโมโหโกรธ ‘หูหล่า’ มีคนเจ็ดแปดคนกรูเข้ามาล้อมรอบหลี่ส่วงไว้ “แหะๆ พวกแกอยากรุมหมู่กันใช่ไหม? วันนี้ฉันจะเล่นเป็น เพื่อนพวกแกเอง!” สีหน้าหลี่ล่วงดุร้าย ทำให้คนพวกนั้น ตกใจชั่ววูบ
เมื่อคนเจ็ดแปดคนเห็นหลี่ล่วงตัวคนเดียว ถึงจะเก่งกาจ แค่ไหนคงสู้คนเยอะกว่าไม่ได้ เก็บความกังวลไว้ในใจ แล้วกรูเข้าไปจัดการหลี่ล่วงพร้อมกัน ทุกคนต่างรุมชก ต่อยกันชุลมุน สักพักก็มีคนได้รับบาดเจ็บ เซ่เหวินตง พยักหน้ากับเกาเฉียง จากนั้นเกาเฉียงก้าวขาเข้าไป จับ คอเสื้อของนักเรียนหนึ่งในนั้นขึ้นมา และใช้มืออีกข้างชก แรงๆ เข้าไปที่ท้องของเขา นักเรียนคนนั้น ร้อง ‘โอ๊ย’ ออก มา ร่างกายนั้นแทบจะหดตัวเป็นเป็นก้อน จากนั้น เหวี่ยง นักเรียนคนนั้นออกไปอย่างแรง แล้วจับคนต่อไปขึ้น มา……….
หลี่ล่วงและเกาเฉียงชกต่อยคนเหล่านั้นจนต่างพากัน ร้องหาพ่อหาแม่ ส่วนคนที่จะวิ่งหนีก็โดนลูกน้องของเซ่เห วินตงสกัดไว้ ไม่พูดอะไรมาก ต่อยลงไปที่พื้นและกระทืบ ซ้ำเป็นชุด เมื่อเห็นนักเรียนเจ็ดแปดคนนั้นล้มลงไปอยู่ที่ พื้น เซ่เหวินตงจึงให้ทุกคนหยุด หลี่ส่วงเช็ดเลือดที่ติดอยู่ ริมฝีปาก และยิ้มแสยะออกมา “สะใจจริงๆ ! ยังมีใครไม่ พอใจอีกไหม เข้ามาเลย ฮ่าๆ ~”
นักเรียนใหม่บริเวณรอบๆ ต่างก้มหัวลง หางตากวาด ไปดูนักเรียนเจ็ดแปดคนที่นั่งอยู่ที่พื้นใบหน้าเต็มไปด้วย เลือดนั้น ทำให้รู้สึกสั่นกลัว ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ล่วง เปลี่ยนไป นึกถึงคำพูดของพี่ตงว่าอย่าเพิ่งก่อเรื่อง พึมพำ ในใจว่า : ซวยละ จากนั้นหันหน้าไปมองเซ่เหวินตง เห็น เขาพยักหน้าให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ หลี่ล่วงจึงคลาย กังวล จากนั้นยืดอกและตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ฉันรู้ว่า พวกนายยังมีบางส่วนที่ยังไม่พอใจอยู่ แต่พวกนายรู้ไหม ว่าพวกเราเป็นใคร? ลูกพี่ฉันที่ยืนอยู่ข้างหลังคนนี้ก็คือเซ่ เหวินตงของโรงเรียนมัธยมที่สอง ก่อนจะเป็นศัตรูกับพวก เราให้ดูความสามารถของตัวเองก่อน!”
นักเรียนใหม่บริเวณนั้นหลังจากได้ยินแบบนั้นแล้วต่าง พากันสนทนากันขึ้นมา พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน ว่าที่ โรงเรียนมัธยมที่สองมี ‘หัวหน้าแก๊ง’ ปรากฏขึ้นที่โรงเรียน และบริเวณใกล้เคียงแถวนั้น ชื่อว่าเซ่เหวินตง เวลานี้ เสียงโทรโข่งดังขึ้น “นักเรียนใหม่รีบไปรวมตัวกันที่สนาม นักเรียนใหม่รีบไปรวมตัวกันที่สนาม ตอนนี้จะเริ่มทำการ แบ่งแยกห้องเรียน…………………….หยุดสนทนา กัน ต่างพากันยืนเรียบร้อย ส่วนนักเรียนที่นั่งอยู่ที่พื้นนั้น เพื่อนๆ พากันพยุงยืนขึ้น และไปยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง
ไม่นานนัก ก็มีครูสามสี่คนเดินออกมาจากอาคารเรียน คนแรกที่เดินออกมานั้นหัวล้านเล็กน้อย เป็นชายวัยกลาง คนอายุประมาณห้าสิบกว่า ในมือถือโทรโข่งอยู่ เดินมา ยืนอยู่หน้าเวทีหน้าสนามที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตร กระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า: “สวัสดีนักเรียน ทุกคน ก็คือ ผมเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ อืม วัน นี้ผมขอเป็นตัวแทนคุณครูทั้งหมดในโรงเรียนต้อนรับ ทุกคนเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของโรงเรียนแห่งนี้ คือว่าๆ ประวัติศาสตร์ของโรงเรียนนี้ยาวนาน…… “ต่อไป ตอนนี้ ให้ครูฝ่ายปกครองพูดอะไรกับทุกคนหน่อย อืม นักเรียน ทุกคนปรบมือต้อนรับหน่อย!” ครูใหญ่สาธยายเสร็จ เสียที เนื้อหาหกสิบเปอร์เซ็นต์คือเล่าประวัติศาสตร์ของ โรงเรียน สามสิบเปอร์เซ็นต์คืออนาคตของการเข้ามา เรียนโรงเรียนแห่งนี้แล้วได้อะไร และอีกสิบเปอร์เซ็นต์คือ คำหยุด ‘อืม อ่า อันนี้ อันนั้น’ พวกนี้
ข้างล่างเสียงปรบมือดังขึ้นกะปริดกะปรอย หลี่ล่วง ยืนส่ายไปมา ต่อสู้กับหนังตาตัวเองที่ใกล้หลับ เมื่อเห็น อาการของหลี่ส่วงแล้ว เกาเฉียงหยิกไปที่น่องของเขาครั้ง หนึ่ง ทำให้หลี่ส่วงตกใจ ตื่นตัวขึ้นไม่น้อย
ครูฝ่ายปกครองหยิบโทรโข่งขึ้นมา “ฮัลโล~ฮัลโลๆ ~~”
เซ่เหวินตงรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง ไม่รู้ว่าคน พวกนี้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ยังไง ครูฝ่ายปกครอง ลองเสียงไปครึ่งนาที จึงเริ่มพูดขึ้นมาว่า “สวัดตอนเช้า นักเรียนทุกคน! ผมเป็นครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนนี้ นามสกุลผมแซ่ม้า คราวหลังใครมีปัญหาอะไรสามารถ สอบถามครูได้ตลอดเวลา ประวัติของโรงเรียนเมื่อกี้ครูใหญ่ได้เล่าให้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว ครูอยากพูดเสริมอีก สองสามคำ….” เสียงข้างล่างทยอยมีเสียง ‘พุดทง’ ดังขึ้น มา
หลี่ล่วงเข้าไปถึงชายเสื้อของเซ่เหวินตง แล้วพูดเสียงต่ำ ขึ้นมาว่า: “พี่ตง ทำไมผมมีความรู้สึกเหมือนอยากฆ่าคน?”
…” เซ่เหวินตงพูดอะไรไม่ออก เพราะตอนนี้เขาก็กำลัง เก็บความรู้สึกแบบนี้อยู่เหมือนกัน
ดังนั้น ทุกคนมีโอกาสมาอยู่ที่นี่ควรที่จะภาคภูมิใจ ถึง เวลาแล้ว เริ่มแบ่งแยกห้องเรียนกันเลย!” ครูฝ่ายปกครอง พูดในสิ่งที่ทุกคนอยากฟังออกมาพอดี เสียง ‘ปรบมือ’ ดัง ขึ้น ก่อนที่ครูฝ่ายปกครองจะยื่นโทรโข่งไปให้ครูใหญ่นั้น ยังไม่ลืมพูดตบท้ายอีกสองประโยคขึ้นมาว่า: “ขอบคุณ นะ ขอบคุณทุกคน!”
หลังจากที่แบ่งแยกห้องเรียนเสร็จแล้ว เซ่เหวินตงหลี่ล่วง และเพื่อนในแก๊งอีกสามสี่คนได้อยู่ห้องมัธยมปีที่1/6 เกา เฉียงถูกแบ่งให้ไปอยู่ห้อง3 สีหน้าไม่พอใจนัก นักเรียนรุ่น นี้ค่อนข้างเยอะ แบ่งออกเป็นทั้งหมดแปดห้องด้วยกัน ทุก ห้องมีนักเรียนหกสิบกว่าคนขึ้นไป ลูกน้องที่เซ่เหวินตงพา มาต่างกระจัดกระจายไปแต่ละห้อง ครูประจำชั้นแต่ละ ห้องพานักเรียนของตัวเองเข้าไปในห้องเรียน และจัดโต๊ะ นั่งตามความสูง ครูประจำชั้นของห้องเซ่เหวินตงนั้นเป็น ครูผู้ชายอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างไม่สูงนัก ใส่แว่นตา แต่เซ่เหวินตงสัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่ คนดีแน่นอน
เซ่เหวินตงทุกจัดให้นั่งอยู่แถวกลาง คนที่นั่งโต๊ะเดียวกัน นั้นเป็นผู้หญิงที่กล้าแสดงออก เมื่อเซ่เหวินตงนั่งลงแล้ว ผู้หญิงได้ยื่นมือไปตรงหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า: “สวัสดี ฉัน ชื่อหลิวถิง” เซ่เหวินตงตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยื่นไปจับมือกับ หญิงสาวแล้วพูดขึ้นว่า: “สวัสดี ฉันชื่อเซ่เหวินตง!” เมื่อ เซ่เหวินตงเห็นหน้าหลิวถึงอย่างชัดเจนแล้ว หน้าตาเธอ น่ารัก ตาโตๆ ขนตายาวๆ เวลาที่กะพริบตานั้นเหมือนพัด เล็กๆ ที่พัดไปมานั่นเอง
“เซ่เหวินตง? ชื่อนี้เหมือนฉันเคยได้ยินใครเคยเอ่ยถึงมา ก่อน!” หลิวถิงกะพริบตาลองคิดู แต่ก็นึกไม่ออก ถามเซ่ เหวินตงด้วยสีหน้าที่สงสัยว่า: “นายมีคนรู้จักอยู่โรงเรียน มัธยมที่สิบเอ็ดไหม?” เซ่เหวินตงส่ายหัว ยิ้มให้แต่ไม่พูด อะไร
หลี่ส่วงนั่งอยู่ข้างหน้าของเซ่เหวินตง หันไปมองเขา เรื่อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เมื่อเซ่เห วินตงเห็น ตบลงไปที่ท้ายทอยของหลี่ส่วงแล้วถามขึ้นว่า: “เสี่ยวล่วง นายหันมามองฉันตลอดทําไม?”
หลี่ส่วงสีหน้าอมทุกข์ มองไปที่หญิงสาวที่นั่งข้างตัวเอง แล้วเบ้ปาก จากนั้นจับมือของเซ่เหวินตงไว้ พูดอย่าง ‘ตื่น เต้น’ ว่า: “พี่ตง ผมขมขื่น!” สีหน้าประหลาดของหลี่ส่วงทำ ให้หลิวถิงรู้สึกตลกหัวเราะออกมา
เซ่เหวินตงมองไปดูคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับหลี่ล่วง พอดี กับที่ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเสียงหัวเราะมาจากข้างหลัง จึง หันมาดูข้างหลัง เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับ หลี่ล่วงแล้ว เซ่เหวินตงจึงเข้าใจความขมขื่นของเพื่อน รักตัวเองเสียที พยักหน้า สีหน้าจริงจังแววตายิ้มแล้วพูด ขึ้นว่า: “ฉันคิดมาตลอดว่านายเป็นคน ‘รักชาติ’ แต่คิดไม่ ถึงว่านายจะเจอคนที่ ‘รักชาติ’ มากกว่านายอีก ชีวิตหลัง จากนี้คงจะมีความสุขมาก” หลี่ล่วงตกใจ คิดไม่ถึงว่าพี่ ตงก็พูดตลกเป็นเหมือนกัน ปากพึมพำพูดอะไรก็ไม่รู้…. ความจริงแล้วตั้งแต่ที่เซ่เหวินตงรู้จักกับหลี่ส่วง เกาเฉียง สามตาพวกเขา นิสัยร่าเริงขึ้นไม่น้อย เพียงแต่ว่าเขายัง ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
หลิวถิงดึงเสื้อผ้าของเซ่เหวินตงถามขึ้นมาอย่างสงสัย ว่า: “อะไรคือ ‘รักชาติ’ เหรอ!”
เซ่เหวินตงหัวเราะเคอๆ ออกมา พูดเสียงต่ำเบาเพราะ ไม่อยากให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าได้ยิน “ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่สงครามต่อต้านญี่ปุ่น มีคนที่มีรูปร่างหน้าตาที่ สามารถทำให้ทหารญี่ปุ่นตกใจจนตายไปได้ เธอคิดว่า เขาเป็นคนรักชาติไหมล่ะ!”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ