บทที่ 4 เสียงของลู่ซีนสิง
บทที่ 4 เสียงของลู่ชื่นสิง
พอเห็นเขา เพิ่งหวั่นซิงถึงกลับอึ้ง ภาพในหัวมีภาพภาพหนึ่ง แวบขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพที่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนที่โรงแรม
เสียงหายใจต่ำๆของผู้ชายคนนั้นราวกับมาอยู่ข้างๆหูของเธอ ทำให้แก้มของเซิ่งหวั่นซิงแดงสุดๆ
ลู่หันเฉินเหลือบมองเห็นสายตาลุกลี้ลุกลนของเธอ สะกิดไปที่ แขนเธอหนึ่งที “หวั่นซิง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เพิ่งหวั่นชิงรีบส่ายหัว เธอรู้สึกอึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่เธอเป็น อะไรไปเนี่ย ทำไมถึงไปนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วยัง…
เธอโทษทุกอย่างไปที่ความหล่อของอาชายสามของลู่หันเฉินที่ หล่อจนทำให้เธอต้องคิดฟุ้งซ่าน
ลู่ซื่นสิงประคองคุณปู่ลงบันได เขาเงยหัวแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ มองเห็นเซิ่งหวั่นซิง
พอเห็นเธอกับลู่หันเฉินจับมือกันไว้แน่น คิ้วเขาขมวดอย่างแรง ริมฝีปากเม้มแรงขึ้น
ทุกคนเดินไปนั่งกับที่อย่างรวดเร็ว ลู่ชื่นสิงไม่ชอบพูด แต่คน อื่นๆในโต๊ะอาหารก็อดไม่ได้ที่จะพูด ต่างก็พูดชื่นชมลู่ชื่นสิง บรรยากาศดูครึกครื้น อาหารก็ถูกจัดเสิร์ฟขึ้นมาทีละจานอย่างไม่ ขาดสาย
“หนูหวั่นซิง”
เซิ่งหวั่นซิงที่กำลังก้มหน้ากินข้าว ได้ยินเสียงคุณปู่เรียกชื่อของ ตัวเอง ก็รีบเงยหน้าขึ้น “ค่ะ คุณปู่”
“หนูกับหินเฉินก็คบกันมาแล้วหลายปี มันก็นานมากแล้ว นี่ได้ ไปลองชุดแต่งงานกันแล้วสินะ แล้วคิดไว้ว่าจะแต่งกันเมื่อไหร่ หล่ะ?”
แค่เสี้ยววินาทีเดียว สายตาทุกคนก็พร้อมใจกันจับจ้องมาที่ลู่หัน เฉินและเหิ่งหวั่นซิง
อีกข้างหนึ่งก็โต๊ะอาหาร ลู่ชื่นสิ่งที่ได้ยินบทสนทนานี้ก็กำ ตะเกียบแน่นขึ้น แรงมหาศาลจนทำให้ตะเกียบนั้นเกิดรอยร้าว ทั้ง ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นๆ
ล่นสงเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังรอให้เพิ่งหวั่น ชิงพูดปฏิเสธออกไป
“คุณปู่ หนูกับหินเฉินเราก็กำลังปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่ค่ะ” คำพูด ของคุณปู่ทําให้เหิ่งหวั่นชิงรู้สึกอายเล็กน้อย
เธอกับลู่หันเฉินสั่งตัดชุดเรียบร้อยแล้ว แต่ลู่หันเฉินบอกไว้ว่ารอ งานโปรเจ็คนี้จบไปก่อนแล้วค่อยหาฤกษ์วันแต่งงานกัน
“เหอะ!” บนโต๊ะอาหารมีคนไม่พอใจและอุทานออกมา
คนคนนั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของลู่หันเฉินชื่อเจียงซิงฉื ปีนี้อายุ 18 กำลังจะเข้ามหาลัย และเพราะว่าบ้านลู่มีลูกสาวน้อย ดังนั้น เธอจึงได้เป็นหลานรักของคุณปู่ วันธรรมดาก็สามารถเดินเล่นเข้า ออกที่บ้านลู่ได้ตามปกติ
คิ้วของเซิ่งหวั่นซิงกระตุก รู้สึกเหมือนจะมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เจียงซิง จู่ๆก็เหมือนจะมองเธอเป็นศัตรู ไม่เคยวางสีหน้าที่ให้ เธอเลย บางครั้งก็พูดจาเหน็บแนมเธอ เหมือนกินยาผิดตัวมายัง ไงอย่างงั้นเลย
เจียงซิงฉีจ้องมองเซิ่งหวั่นชิงด้วยสายตาที่เยือกเย็น น้าเสียง ออดอ้อนพูดกับลู่หันเฉิน: “พี่หันเฉิน พี่จะต้องล้างตาให้สว่างๆ หน่อยแล้วหาพี่สะใภ้ดีๆให้น้อง น้องไม่ชอบไอ้คนที่ทำผิดศีล ธรรม
คุณปู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ฉีฉี ลูกพูดอะไรเนี่ยะ!” แม่ของเจี่ยงชิง พูด กเดือน ทีท่า เหมือนจะด่าเจียงซิงฉิ แต่น่าเสียงก็ไม่ได้ดูเครียดมาก “นี่เป็นพี่ สะใภ้ของเธอนะ ห้ามพูดอะไรไปเรื่อย
“หนูไม่ได้พูดไปเรื่อยซะหน่อย!” เจียงซิงฉีเบ้ปากเล็กน้อย แล้ว บน มหาออกมา: “ก็แม่ของเธอเป็นเมียน้อยของคนอื่นนิคะ ไม่ เป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่น อย่างนี้มันไม่เรียกว่าผิดศีล ธรรมแล้วจะเรียกว่าอะไรหล่ะคะ ทำผิดแล้วยังไม่ให้คนอื่นพูด อีก?”
บรรยากาศเริ่มอึมครึม
เหิ่งหวั่นซิงก้มหน้า มือสองข้างวางอยู่บนหัวเข่า เธอพยายามทำ เหมือนว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เจียงซิงฉีพูด แต่เสียงของเจียงซิงฉีก็ดัน แหลมและทิ่มแทงเข้าไปในหูของเธอ
“พี่หันเฉิน ยังไงบ้านของเราก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและ สูงส่ง พี่จะเอาเธอมาแต่งเข้าบ้านจริงๆหรอ ไม่เพียงแค่ขายหน้า ของตระกูลบ้านลู่ คนอื่นๆจะต้องหัวเราะเยาะแน่เลย
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเซิ่งหวั่นซิงดูผิดปกติ ลู่หั่นเฉินกุมมือ เธอไว้แน่นๆ พูดกับเจียงซิงฉีไปว่า “ฉีฉี พอได้แล้ว กินข้าว”
“นี่ฉันหวังดีกับพี่นะคะ!”
เจียงซิงฉีอายุยังน้อย พูดจาไม่รู้กาลเทศะ “ผู้หญิงที่สวยกว่าเธอ ชาติตระกูลดีกว่านี้ก็มีเยอะแยะ พี่หันเฉิน พี่ไม่ต้องซื่อไปหน่อย เลยค่ะ อย่าไปคิดว่าคบกันกับเธอมานานแล้วเสียดายเวลาที่คบ แล้วก็ต้องแต่งงานกับเธอ อย่างนี้มัน….
“พอ” น้ำเสียงฟังชัด ไม่ดังและไม่เบามาก ทำให้ทุกคนถึงกับ ตกใจ
เจียงซิงฉีเหลือเพียงไม่กี่คำที่อยากจะพูดออกมาก็ต้องกลืนคำ กลับเข้าไป สีหน้าไม่พอใจมองไปหาลู่ชื่นสิง
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ