เหมยกุ้ยฮวา ชายาซ่อนพิษ

เรื่องวุ่นวาย เมื่อองค์ชายถูกพิษ (2)



เรื่องวุ่นวาย เมื่อองค์ชายถูกพิษ (2)

ไทเฮาทอดพระเนตรเหมยกุ้ยฮวาที่นั่งบนตักของหม่ากุ้ยเฟย แล้วทรงตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู “ฮว่าเอ๋อเจ้ามานี่”

หม่ากุ้ยเฟยได้ยินรับสั่งจึงคลายอ้อมกอดออก ประคองให้เหม ยกุ้ยฮวายืนบนพื้น ไม่ลืมกำชับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันเพียงสอง คน ขณะที่ช่วยจัดชุดกระโปรงของเด็กน้อยให้เข้าที่

“อย่าได้ทําอะไรตามอารมณ์ อย่าได้เปิดโอกาสให้ตนถูก ทําร้าย เข้าใจหรือไม่”

เหมยกุ้ยฮวาพนักหน้าเบาๆ ดวงหน้ากลมแป้นยังคงประดับ

ด้วยรอยยิ้มอวดฟัน ขาว เห็นเช่นนี้หม่ากุ้ยเฟยจึงค่อยวางใจ รุ่น

หลังให้เด็กน้อยก้าวเดินไปข้างหน้า

เหมยกุ้ยฮวาเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่ไทเฮาทรงประทับ ยอบ กายทำความเคารพอีกครั้ง ทำท่าจะคุกเข่าลง แต่ไทเฮาทรงยื่น พระหัตถ์มาตั้งไว้เสียก่อน

“ฮวาเอ๋อนั่งเถิด” ไทเฮาพยักพระพักตร์ไปทางเก้าอี้ตัวที่อยู่ ถัดไป เหมยกุ้ยฮวาชะงักด้วยความไม่แน่ใจ นี่มีเท่ากับตีตนเสมอ ฮองเฮาหรอกหรือ พอไม่มั่นใจก็ไม่กล้าก้าวไปนั่ง เมื่อลีไทเฮา ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าเด็กน้อยไม่ยอมขยับไปเสียที จึงเอ่ยขึ้น อีกครั้ง ด้วยพระสุรเสียงที่ดังขึ้นจนได้ยินไปถึงหน้าตำหนัก ยัง เจือด้วยการตำหนิอยู่สามถึงสี่ส่วน
“อายเจียสั่งให้เจ้านั่ง ไยจึงยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ พอมีคนอื่นอยู่ ด้วย เจ้าก็หูหนวกไม่อยากได้ยินไปด้วยแล้วหรือ

เหมยกุ้ยฮวาได้สติรีบยอบกายคารวะอีกหนึ่งครั้งแล้วรีบหมุน ตัวลงนั่งตามคำสั่ง ไม่ลืมหันหน้ามาทางสีไทเฮา เลือกหันหลังให้ จางฮองเฮา พลางก้มหน้าสงบนิ่ง เพราะรับปากหมากุ้ยเฟยไว้ แล้วว่าจะไม่ใช้อารมณ์นำการกระทำ แต่ก็ทำใจมองหน้าบุปผา ไร้กลิ่นอย่างจางฮองเฮาไม่ได้เช่นกัน

ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ จางฮองเฮาโมโหจนแทบลุกขึ้นมากระทืบ เท้า คนอื่นหรือ ไม่อยากได้ยินหรือ ยังให้มานั่งข้างๆ ตีเสมอนาง อีก นางเป็นใครแล้วนั่งเด็กน่าตายเป็นใครกัน ไทเฮาไม่ไว้หน้า ฮองเฮาเยี่ยงนางเกินไปแล้ว

“เด็กดี” ไทเฮาเอ่ยอย่างพอใจ

“ฮองเฮา เจ้าดูสิ เด็กน้อยเช่นนางจะทำสิ่งใดล่วงเกินอายเจีย ได้ เจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องขนไก่เปลือกกระเทียมเช่นนี้เลย จริง หรือเจ้ายังไม่รู้ เดิมทีฮวาเอ๋อนางเป็นเด็กที่สดใสร่างเริงมาก ทุกวันจะร้องเรียกบิดา และพี่ชายของนางอย่างประจบเอาใจ นางทั้งฉลาด ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู บุรุษตระกูลจึง รัก และถนอม นางยิ่งกว่าสิ่งใด”

ตรัสถึงตรงนี้ลี่ไทเฮาทรงสายพระพักตร์ไปมาแล้วทรงถอนพระ ปัสสาสะ ถอนหายใจ คราหนึ่ง พระเนตรทอดมองเหมยกุ้ยฮวา ฉายแววสงสาร

“แล้วเจ้าดูตอนนี้สิ ต้องมาถูกทำร้ายจนพูดไม่ได้ ดีเพียงใดแล้วที่ได้สติเลอะเลือนเสียจนรักษาไม่ได้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เจ้าหรือไม่” ไทเฮาตรัสพลางลอบมองจางฮองเฮาไปพลาง นางหวังสิ่ง

มีหรือผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจะไม่คิดอยากแทง

รังแตนลอง

เหมยกุ้ยฮวาก้มหน้าปิดบังรอยมุมปาก จางฮองเฮาท่าน เดินหมากผิดซ้ำครั้งแล้ว ใจนึกชื่นชมทีไทเฮาเอ่ยออกมา ล้วนเฉือดเฉือน คมกริบบาดหูไล่ไป ถึงคนฟังยิ่งนัก สามารถใช้คำของฝ่ายตรงข้ามย้อนกลับ ไปจุดตายได้อย่างแนบเนียน สมแล้วเป็นสตรีอยู่เหนือสตรี แผ่นดิน ข้าน้อยเหมยกุ้ยแย้ง ท่านน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เหมย

มือเรียวบางของจางฮองเฮาแน่นจนสั่น เล็บยาวจิกลงบน เนื้อจนรู้สึกถึงโลหิต เพลิงโทสะสมอกกระอัก นางได้ ใกล้ชิด และมิได้เป็นที่โปรดปราน ของไทเฮาอยู่ก่อนแล้ว เพราะไทเอาทรงโปรดปรานหม่ากุ้ยเฟยยิ่งส่วนเกลียด หม่ากุ้ยเฟยยิ่ง จึงเลี่ยงที่มาตำหนักปิงจิ้งเหอ เพราะต้องการเห็นหน้าตาบัวขาว ค่าของหม่ากุ้ยเฟย

แม้จะไม่พอใจเพียงใดนางก็หาทำอันใดได้ไม่ จำต้องเอ่ย ตอบไทเฮา

“เสด็จแม่ทรงน้ำพระทัยกว้างขวาง ทรงพระเมตตายิ่งเพคะ หม่อมจะใส่ใจเป็นอย่างดี

กล่าวจบยกทรวง

หี” ไทเฮาแค่นเสียงในคออย่างไม่ปิดบัง

จางฮองเฮาด้วยลีไทเฮาสั่ง กงกง คนสนิทด้วยว่า เวลาย่างเข้ายามเว่ย (13.00-14.59 ) แล้ว ใกล้เลยเวลากลางวันแล้ว

“วันนี้ต้องรบกวนเสด็จแล้วขอบพระทัยเพคะ” จางฮองเฮา

ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วจึงตอบรับ

“ฮวาเอ๋อเจ้าหิวหรือไม่ลีไทเฮาหันถามเด็กน้อย สนใจใบหน้าบึ้งตึงของจางอีก

เหมยกุ้ยฮวารีบหน้าประจบ พยักหน้ากันหลาย ครั้ง นี้นางหิวมากแล้วจางฮองเฮาไม่มาเวลาคงนอนกลางวันแล้ว

“โครกคราก” พอพูดถึงอาหาร พลันท้องน้อยก็ส่งเสียง เพียงแต่มันเงียบเกินไป

หม่ากุ้ยเฟยถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะอย่างยาก

ลี่ไทเฮาทรงพระสรวลความขบขัน
“ดูสิเราผู้ใหญ่ ทำเรื่องรังแกเด็กอย่างเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่” เหมยกุ้ยฮวาได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ อย่างลุแก่โทษไปให้

จางฮองเฮารอบกรอกตาขาว แค่นเสียง “หี” ขึ้นบ้าง เด็กน่า ตายไร้มารยาทยิ่งนัก คนพวกนี้ก็พาลเลอะเลือน ไม่รู้จะเอ็นดู อะไรนักหนา นังเด็กนี่ทำอะไรก็ชื่นชอบไปเสียหมด นางรู้สึก ขัดใจยิ่งนัก หากมีเรื่องสำคัญล่ะก็ นางไม่มีทางทนอยู่ที่นี่เป็น แน่ จริงสิ…นางไม่มีทางมาที่นี่ด้วยซ้ำ

มื้ออาหารกลางวันผ่านไปด้วยความกระอักกระอ่วน มีเพียง ไทเฮาที่ทรงพระสรวลอย่างเกษมสำราญ ไม่สนพระทัยท่ากราด เกรี้ยวของจางฮองเฮา หรือท่าทีอึดอัดของหม่ากุ้ยเฟย ทรง หยอกล้อพูดคุยกับเด็กน้อยเหมือนเช่นปกติ

แม้เหมยกุ้ยฮวาจะหาวออกมาหลายรอบแล้ว จางฮองเฮาก็ ไม่มีทีท่าว่าจะขอตัวกลับ ด้วยร่างเป็นเด็กน้อย และยังถูกตามใจ เสียจนเคยตัว พอกินอิ่มก็ตาจะปิด แต่จะให้ออกไปนอนเสียเฉยๆ ทั้งที่ผู้ใหญ่ยังนั่งกันอยู่เช่นนี้ นางก็ทำไม่ได้ ได้แต่พยายามฝืน สะบัดศีรษะไปมาไล่ความง่วงนออกไป แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เผลอสัปหงกอยู่หลายครั้ง

หม่ากุ้ยเฟยมองเหมยกุ้ยฮวา ด้วยความเป็นห่วง นางเองจะ ขอตัวกลับเพื่อให้ไทเฮาได้พักผ่อนก็มีกล้า ด้วยจางฮองเฮา ยัง ไม่กลับ หากนางกลับก่อนจะเป็นการเสียมารยาท จึงทำได้แค่นั่ง มองฮวาเอ๋อของนางด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะหลับจนพลาด ตกเก้าอี้ลงมา
จางฮองเฮายังคงนั่งหลังตรง สงบนิ่ง แม้ใบหน้าจะดูคลาย โทสะลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่น่ามองสำหรับเมหยกุ้ยฮวาอยู่ดี

ไทเฮาทรงรู้สึกไม่พอพระทัยที่จางฮองเฮา ไม่รู้จักกาละเทศะ เช่นนี้ เวลานี้จะพ้นยามเว่ย (13.00-14.59 น.) แล้วยังจะนั่งอยู่ที่ นี่เพื่ออะไร เมื่อทอดพระเนตรเห็นเหมยกุ้ยฮว่าที่นั่งโงนเงินไป มากพลันสงสาร ไยจางฮองเฮาจึงต้องสร้างความลำบากให้เด็ก คนนี้ไม่หยุดหย่อน คิดพลางให้มีโทสะจึงอดเอ่ยขึ้นไม่ได้

“อายเจียจะพักผ่อน หากจางฮองเฮามมีธุระอันใดก็กลับไป เถิด ไม่ต้องรั้งอยู่ที่นี่หรอก”

“ถ้าเช่นนั้นเสด็จแม่เชิญพักผ่อน หม่อมฉันขอตัวก่อน ทูลลา เสด็จแม่เพคะ”

จางฮองเฮาเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยอบกายคารวะ แม้จะไม่พอใจ ที่ไทเฮาเอ่ยไล่นางเพียงผู้เดียว แต่ก็ทำใจยอมถอยออกไป ด้วยคาดว่า น่าจะเป็นเวลาที่สมควรพอดี

หม่ากุ้ยเฟย และเหมยกุ้ยฮวาเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นทำความ เคารพจางฮองเฮาด้วยการยอบการคารวะ หม่ากุ้ยเฟยเป็นผู้พูด เพียงคนเดียวว่า “น้อมส่งเสด็จฮองเฮาเพคะ”

จางฮองเฮา ไม่มีทันเดินออกไปพ้นประตู พลันเกิดเสียง โวยวายดังขึ้นจากหน้าตำหนัก

ไทเฮาสบพระเนตรกับหม่ากุ้ยเฟยด้วยความสงสัย หม่า กุ้ยเฟยก็มีสีหน้าตระหนกเช่นกัน เหมยกุ้ยฮวารีบมองไปที่จาง ฮองเฮา แม้จะเห็นไม่ชัด แต่เสี้ยวหน้าที่ก้มลงของจางฮองเฮาปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็นครานึง แล้วจางหายไปเหมือนไม่เคยมี ในใจผุดลางสังหรณ์ไม่ดี เช่นนี้ไม่ดีแน่

ไทเฮารีบโบกมือให้ กงกงออกไปดู ขณะที่จางฮองเฮาหยุด นิ่งไม่ก้าวเดินต่อไปอีก

เพียงชั่วจิบชา กงกง ก็วิ่งกลับเข้ามาสีหน้าซีดเผือดคุกเข่า รายงานด้วยริมฝีปากสั่น

“ทูลไทเฮา องค์ชาย เป็นองค์ชายใหญ่ถูกวางยาพิษ พ่ะย่ะ ค่ะ”

เหมยกุ้ยฮวารีบหันไปทางหม่ากุ้ยเฟยทันที เห็นเพียงหม่า กุ้ยเฟยหลับตาลง นั่งนิ่งไม่ขยับ จึงหันกลับมามองไทเฮา ที่พระ พักตร์โดขาวเพราะตกพระทัย พระหัตถ์สั่นเทาจนสังเกตได้ รีบ คำนวณในใจ ด้วยนางอยู่ไกลจากหม่ากุ้ยเฟยเกือบ 1 ทั้ง หาก หม่ากุ้ยเฟยเป็นลมล้มพับไปนางจะวิ่งเข้าไปรับทันหรือไม่ หรือจะ เข้าไปประคองไทเฮาที่อยู่ใกล้กว่า แต่ลืมคิดไปว่าตัวนางเองก็ เล็กจ้อยถึงเพียงนี้จะไปรับร่างใครที่ใดได้เล่า เหมยกุ้ยฮวา มอง แล้วมองอีกก็ไม่เห็นใครมีอาการเหมือนจะเป็นลม แม้ผ่านไป เพียงชั่วอึดใจ เหตุใดจึงรู้สึกราวกับนานนัก

“ตามหมอหลวงหรือยัง” สีไทเฮาทรงตั้งสติได้ก่อนหม่ากุ้ยเฟย เอ่ยถามขึ้น

“หมอหลวงกําลังตรวจดูอาการองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” กงกง ที่ยังคงหน้าซีดปากสั่นเอ่ยตอบ

“อายเจียจะไปดูจิ้นเอ๋อ” ไทเฮาเอ่ยบอก กงกงพลันรีบลุกขึ้นมาประคองไทเฮาทันที

หม่ากุ้ยเฟยที่ตั้งสติได้แล้วลืมตาขึ้น เหมยกุ้ยฮวารีบเข้าไป ประคองด้วยความเป็นห่วง สัมผัสได้ถึงมือเรียวบางทีตบลงบน ศีรษะนางเบาๆ สองที แล้วกุมมือนางให้เดินตามไทเฮาออกไป

เหมยกุ้ยฮว่ารู้สึกทึ่งกับท่าทีของหม่ากุ้ยเฟยยิ่งนัก บุตรชาย เพียงคนเดียวถูกพิษยังตั้งสติได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ หากเป็นสตรี ทั่วไปมิใช่ ร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตารินจนน้ำท่วมไปแล้วหรือ ที่เขา ว่า วังหลังเปลี่ยนสตรี เป็นเช่นนี้นี่เอง หากหม่ากุ้ยเฟยอ่อนแอแม้ เพียงน้อย คงไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงวันนี้ วันที่มีบุตร เป็นถึงองค์ชายใหญ่

อยู่ในมิติเวลานี้ไม่สามารถดูคนจากภายนอกได้เสียแล้ว เหม ยกุ้ยฮวา รำพึงในใจ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ