เหมยกุ้ยฮวา ชายาซ่อนพิษ

เรื่องวุ่นวาย เมื่อองค์ชายถูกพิษ (1)



เรื่องวุ่นวาย เมื่อองค์ชายถูกพิษ (1)

เหมยกุ้ยฮวาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ละวันจะหมดไปกับ การสรรหาของเล่น มาเล่นต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา ดูเหมือน พระองค์จะทรงพอพระทัยที่เหมยกุ้ยฮวา แสดงความรู้สึกผ่าน ทางสีหน้าแววตา โดยไม่ปิดบัง เรียกได้ว่า ถึงไม่พูดก็สามารถ เข้าใจได้ว่านางรู้สึกอย่างไร แม้นางจะทำแก้มป่องกอดอกด้วย ความไม่พอใจ แสดงกิริยาไม่งามอยู่หลายครั้ง ไทเฮาก็ยังทรง พระสรวลอย่างเกษมสำราญ มิได้ตำหนิ หรือสั่งลงโทษใดๆ ต่อ นาง ทุกวันเหมยกุ้ยฮวา จะเข้าวังมาในตอนเช้าพร้อมกับ กู่จาง หย่งผู้เป็นบิดา และกลับจวนในเวลายามโหย่ว (17.00-18.59 น.) โดยมี กงกงคนสนิทของไทเฮาไปส่งถึงหน้าประตูจวน

การมีอยู่ของเหมยกุ้ยฮวาในตำหนักปิงจิ้งเหอ ทำให้ตำหนัก สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะ และเสียงผิวขลุ่ยดัง ขึ้นทุกวันไม่มีขาด

จ้าวหลี่จิ้น องค์ชายใหญ่ที่ไปหาน้องสาวบุญธรรมที่จวนแม่ทัพ ไม่เจอ ก็กลับมาเป็นแขกประจำที่ตำหนักของไทเฮาแทน ใน เจ็ดวัน เขาจะต้องรีบกลับจากสํานักศึกษามาร่วมโต๊ะเสวยพระ กระยาหารกับไทเฮา และเหมยกุ้ยฮวา อย่างน้อยสามวัน ยังถูก ไทเฮาค่อนขอด ว่า “ข้าวตำหนักนี้คงมีรสดีกว่าที่อื่นอยู่มาก กระมัง องค์ชายใหญ่ถึงได้เสด็จมาเป็นภาระของพ่อครัวที่นี่ บ่อยๆ’ จ้าวหลี่จิ้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วกล่าวอย่างประจบเอาใจว่า หลานได้กินข้าวพร้อมกับเสด็จย่า ต่อให้เป็นเพียงโจ๊กเปล่าก็ทั้งเวลาเดียวกัน

หม่าเฟย พระมารดาขององค์ชายใหญ่ ที่คอยดูแล และหมั่นเข้าเฝ้าคารวะไทเฮาอยู่เสมอๆ จากพบกับยกุ้ยฮวา หม่าเฟยเสด็จมาตำหนักจิ้งเหอวัน ด้วย ไม่พระธิดา และทรงโปรดเด็กผู้หญิงไม่ต่างจากไทเฮา จึงเด็กหญิงตัวน้อยเป็นอย่างมาก

วันนี้อีกวันที่เหมยฮวา หาของเพื่อเล่นเบื้องหน้า พระพักตร์ลีไทเฮา ครั้งไม่ได้ข้ามมิติเวลามา เหมยกุ้ยฮวา มักต้องเดินทางไปงานวิจัย เป็นที่ปรึกษา และร่วมศึกษาใน กรณีป่วยที่อาการใหม่ๆ ทั้งในประเทศ และประเทศบ่อยๆ หลายครั้งจำเป็นต้องพักโรงแรม บนเตียงโรงผ้าเช็ดตัวเป็นรูปต่างๆ เรียกว่า โอชิโบริ แปลผ้า ขนขนาดเล็ก การพับผ้าขนหนูผ้าตัว เป็นศิลปะอย่าง หนึ่งของชาวญี่ปุ่นแต่ด้วยมีผ้าขนหนูผืนเล็ก เหมยกุ้ยฮวาแอบเตรียมผ้า ลินิน ตัดเป็นผืน เย็บริมเก็บขอบเรียบร้อย เพราะต้องอย่างเวลากลางคืน ซ้ำยังต้องให้หมามาหลับไปก่อน นางดูไม่สดใสนัก

ฮวาเอ๋อเจ้าป่วยหรือไม่ เจ็บปวดที่ใดหรือไม่” หม่ากุ้ยเฟยสังเกตเห็นเหมยกุ้ยฮวามีอาการปกติ สดใสเหมือนเช่น วัน จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เหมยกุ้ยฮวาส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มสดใสอวดฟันขาว มือเล็กซู ผ้าผืนสี่เหลี่ยม ในมือให้ หม่ากุ้ยเฟย ทอดพระเนตร

ไทเฮาเห็นจึงได้เอ่ยอย่างเข้าใจความหมาย “ฮวาเอ๋อคง เตรียมของเล่นใหม่ทั้งคืนกระมัง ถึงได้มีท่าทางง่วงซึมเช่นนี้”

คราวนี้เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าติดกันสามครั้ง ขยับไปนั่งลงบน พื้นข้างเก้าอี้ที่ประทับของไทเฮา วางศีรษะเล็กลงบนตักท่าทาง ประจบเอาใจยิ่งนัก

“เจี่ยเอ๋อ เจ้าดูสิ เด็กคนนี้ช่างรู้ความ รู้จักประจบเอาใจอาย เจีย” ลีไทเฮาทรงตรัสกับหม่ากุ้ยเฟยอย่างสนิทสนม พระหัตถ์ลูบ ศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู

“เพคะเสด็จแม่ ฮวาเอ๋อช่างรู้ความยิ่งนัก” หม่ากุ้ยเฟยกล่าว เห็นด้วย โดยปกติแล้วด้วยฐานะของนางไม่สามารถใช้คำเรียก ไทเฮาเช่นนี้ได้ แต่เพราะความสนิทสนมและ ด้วยพระเมตตาที่ ไทเฮาทรงมอบให้จึงอนุญาตให้หม่ากุ้ยเฟยเรียกว่าเสด็จแม่

“แล้ววันนี้ฮวาเอื้อมีสิ่งใดมาอวดอายเจียเล่า มัวแต่นั่งอยู่ตรง นี้จะได้เล่นหรือไม่” ไทเฮาตรัสถามเด็กน้อยข้างตัว

เหมยกุ้ยฮวาจึงลุกขึ้นยืน ยอบกายเคารพคราหนึ่ง ก่อนเดินไป ตรงกลุ่มนางกำนัลที่มีหน้าที่เป็นเพื่อนเล่นของนาง เหมยกุ้ยฮวา ลงมือพับผ้าทีละฝืน ไม่นานก็ปรากฏ เต่า หงส์ นกยูง ดอกไม้ และกระต่าย ที่ถูกพับขึ้นจากผ้า นางกำนัลพากันตื่นตะลึง และ ตื่นเต้น ด้วยไม่เคยเห็นการพับผ้าเช่นนี้มาก่อน

เหมยกุ้ยฮวาค่อยๆ ยกผ้าที่พับแล้วมาถวายให้แก่ผู้อาวุโสทั้งโดยถวายเต่าแก่ ไทเฮา ถวายหงส์ให้กับหมา กุ้ยเฟย ส่วนดอกไม้ และกระต่าย ให้กับนางกำนัลสุดท้ายมอบยูง กับ กงกง

“ฮวาเอ๋อเจ้าทําได้อย่างไรหม่ากุ้ยเฟยทอดพระเนตรหงส์ หน้าอย่างชื่นชม แต่ก็อดแปลกใจได้ใยเด็ก ปี จึงมี ความสามารถได้เพียงนี้

เหมยกุ้ยฮวาไม่ให้ แล้วหันมองไทเฮา ที่ไม่ทรงตรัสเลย หรือพระองค์จะทรงโปรดเต่า

ลีไทเฮา รู้สึกแปลกใจแต่เลือกถวายหงส์หม่ากุ้ยเฟย แม้จะไม่ได้ทรงมีโทสะ แต่รู้สึกพระทัยขึ้นไม่ได้

เหมยกุ้ยฮวาเห็นพระพักตร์ไทเฮาเปลี่ยนไป เพียงวูบ เดียวพลันเข้าใจ จึงเดินไปหยุดยืนตรงคุกเข่าไปยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมครานึง ก่อนเอื้อมมือไปจับ พระหัตถ์ของไทเฮาสร้างความตกใจให้กับข้าง ท่าที พระแต่ได้ดึงพระหัตถ์กลับไป เหมยกุ้ยฮวา ใช้เล็ก วาดเป็นตัวอักษร ฉางโซ่ว แปลว่า อายุยืนยาวไป

พระเนตรของไทเฮาผุดแนวยินดี ดวงหน้าเผยรอยยิ้มความ สุขอย่างที่สุด ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหลังเหมยกุ้ย
เหมยกุ้ยฮวายิ้มดีใจที่ทำให้สีไทเฮาทรงพอพระทัยได้ หมา กุ้ยเฟย และ กงกง ยังคงไม่เข้าใจ “ฮวาเอ่อบอกอายเจียว่า เต่า แทนการมีอายุยืนยาว” สีไทเฮา ทรงเอ่ยบอกด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความโอนโยน และพอ

พระทัยยิ่ง

“เป็นเช่นนี้หรือเพคะ ฮวาเอื้อฉลาดจริงเชียว แล้วของเราเล่า หมายความว่าอย่างไร” หม่ากุ้ยเฟย อยากรู้ขึ้นบ้าง

เหมยกุ้ยฮวาจึงเดินไปยอบกายคารวะแล้ววาดนิ้วลงบน พระหัตถ์ของหม่ากุ้ยเฟย เป็นคำว่า ยวหย่า ( ที่แปลว่า สง่า งาม) หม่ากุ้ยเฟยทรงยิ้มอย่างยินดี

“ฮวาเอ๋อบอกว่า หม่อมฉันสง่างามเพคะ เสด็จแม่” หม่า

กุ้ยเฟยหันไปรายงานไทเฮา

ไทเฮาพยักหน้าเห็นด้วย

จากนั้นเหมยกุ้ยฮวาก็ตรงไปที่ กงกง ใช้นิ้ววาดคำว่า ซึ่งเฉิง (# ) แปลาว่า จงรักภักดี)

“ของกระหม่อม คุณหนูบอกว่า ภักดีพ่ะย่ะค่ะ” กงกงรายงาน ด้วยความดีใจ นี่มิใช่ชมเขาต่อหน้าพระพักตร์หรอกหรือ คุณหนู กู่เหมยฮวาเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก ยังเอ่ยชมเขาเช่นนี้ ช่าง ดี…ดีจริงๆ

จากนั้นก็เป็นของนางกำนัล คนที่ได้ดอกไม้ กุ้ยเหมยฮวาเขียน ว่า เม่ยลี่ ( ที่แปลว่า งดงาม) ส่วนคนที่ได้กระต่าย เขียนว่าชวีจิง (2) ที่แปลว่าตื่นตูม) ทำให้นางกำนัลหน้าแดงอย่าง ห้ามไม่อยู่ นางกำนัลคนอื่นพากันหัวเราะคิกๆ พอได้ยินนางกำนัลรายงานว่า เหมยกุ้ยฮวาให้กระต่ายและค่ ว่าตื่นตูม ก็เข้าใจความทันทีคงเพราะนาง ขี้กลัว และตกใจง่าย

เป็นกระต่ายตื่นตูมสินะ ไทเฮาและหม่ากุ้ยเฟยก็ทรงพระสรวล

ขึ้นมาอีกครั้ง

ภายในตำหนักปิงจิ้งเหอเสียงครื้นเครงดังออกไป ทำให้จาง ฮองเฮาที่เดินมาถึงได้ยิน ถึงกับนิ่วหน้า แค่นเสียง “หู” ในลำคอ ก่อนพยักหน้า ให้กงกงหน้าตำหนักเข้าไปรายงาน

ไทเฮา ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกบอกให้นางกำนัลถอยออกไป หม่ากุ้ยเฟยลุกขึ้นเดินไปโอบไหล่ เหมยกุ้ยฮวาให้ถอยมายืนอยู่ ด้วยกัน ด้วยมีศักดิ์ที่ต่ำกว่า จึงต้องแสดงความเคารพอย่าง สมควร

“ให้เข้ามาได้” เมื่อเห็นว่าภายในสงบเรียบร้อยแล้ว ไทเฮา

จึงเอ่ยอนุญาตออกไป

ไม่นาน จางฮองเฮาก็ปรากฏกาย เหมยกุ้ยฮวา ลอบสังเกต จางฮองเฮาผู้นี้ แม้จะงดงาม แต่ก็มิได้งามปานล่มเมือง ท่วงท่า กิริยาแสดงถึงความเย่อหยิ่งทะนงตน ไม่มีเศษเสี้ยวของความ อ่อนน้อมแม้เพียงนิด หากเทียบกันแล้ว หม่ากุ้ยเฟยมีความอ่อน โยนน่าทะนุถนอมมากกว่าจางฮองเฮาอยู่หลายส่วน หรือว่าคนที่ อยู่สูงสุดเช่นนี้จะไม่เหลือความอ่อนโยนอยู่แล้วนะ

“ถวายพระพรเสด็จแม่” จางฮองเฮายอบกายคารวะ ไทเฮาจึงไม่ต้องมากพิธีพร้อมกับโบกให้ กงกง เข้าไป ประคองจางฮองเฮาให้ลุกขึ้น

“ถวายพระฮองเฮา ขอทรงเจริญพันพันปีหม่า กุ้ยเฟยลงถวายความเคารพเต็มพิธีการ เหมยกุ้ยฮวาทำ

ตาม

หม่ากุ้ยกงได้จางเฮาเอ่ย ด้วยเสียงราบเรียบ ทว่าพูด แฝงตำหนิชัดเจน คําเรียกตามยศอย่างห่างเหิน และใช้ค่า แทนตัวอย่างจงใจแสดงความสูงกดข่มอื่น

ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะหม่ากุ้ยเฟยลุกยืน โดยเหม ยกุ้ยฮวาช่วยพยุง

ไทเฮาเรียกให้จางฮองเฮานั่งโต๊ะ ส่วนหม่าเฟย เหมยกุ้ยฮวา

“วันนี้ฮองเฮามาถึงตำหนัก ปิงจิ้งเหอใด ” ไทเฮา เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ ธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว จางฮองเฮาเหยียบตำหนักโดยจําเป็น

ทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันว่า เสด็จแม่ทรงโปรดบุตรีของ แม่ทัพยิ่งด้วยกลัวว่าเด็กน้อยไม่ความซ้ำยังเป็นใบ้จะทำ อะไรล่วงเกินเสด็จแม่เพคะ

ฟังมาฮองเฮา ลีไทเฮาอ้างเป็นห่วงอายเจีย ใช่อยากเด็กทำให้การสู่อำนาจของตนเองพังไม่เป็นท่าหรอกหรือ

เหมยกุ้ยฮวาได้ฟังวาจาถากถางพลันขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้ ความซ้ำยังเป็นใบ้ นี่ไม่ใช่ กดให้ต่ำให้จมหรอกหรือ

เมื่อเห็นอาการไม่พอใจของเด็กน้อย หม่ากุ้ยเฟยจึงหันไปโอบ รอบตัวเหมยกุ้ยฮวา ก่อนอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก โอบกอด ลูบแผ่น หลังอย่างปลอบโยน สลับตบเบาๆ ให้คลาย โทสะลง

จางฮองเฮา ท่านนี่นะ…กับเด็กน้อยเช่นนี้ก็ยังมีคิดละเว้น หม่า กุ้ยเฟยคิดพลางทอดถอนใจ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ