เหมยกุ้ยฮวา ชายาซ่อนพิษ

ฎีกาฉบับที่ 28 (3)



ฎีกาฉบับที่ 28 (3)

รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ หยุดตรงหน้าจวนแม่ทัพแห่งแคว้น

หวังกงกงรีบลงไปเคาะประตูจวน พ่อบ้านหมี่เดินออกมาพบ หวังกงกง ก็จําได้โดยทันที รีบทำความเคารพด้วยความ นอบน้อม

“คารวะกงกง”

“พ่อบ้านหมิต้องเกรงใจ รบกวนช่วยแจ้งแม่ทัพด้วยว่า นายท่าน ฉงเจินมาพบ” หวังกงกงเลือกใช้คำและชื่อที่เป็นสามัญ เพื่อปกปิดการออกนอกวังครั้งนี้

พอได้ยินว่าผู้มาเยือนมิได้มีเพียงกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ แต่ ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พ่อบ้านหมี่รีบเอ่ยเชิญ

“ไอ้หยา!!! ข้าน้อยสมควรตาย เรียนเชิญนายท่านฉง เจิน เรียนเชิญกงกง” พ่อบ้านหมี่น้อมตัวแทบจะติดพื้น

หวังกงกง รีบทูลเชิญเสด็จฮ่องเต้ โดยมีพ่อบ้านหนทางไป ยังห้องรับรองภายในจวนแม่ทัพ

ฮ่องเต้ฉงเจิน ในชุดบัณฑิตธรรมดาสีขาว สายคาดเอวประดับ หยกขาวเนื้อดีหายาก เสื้อคลุมตัวนอกสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆ มงคลสีขาวเดินขอบสีเงิน บนศีรษะครอบกวานหยกขาว ท่วงท่า สง่างาม องอาจผ่าเผย ด้วยเป็นบุรุษรูปงาม องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลาล้ำลึก แฝงความสุขุมเยือกเย็น แผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ อย่างยากปกปิด

ยามก้าวเข้าประตูเรือน สายตาทอดมองไปตามทิวทัศน์สบาย ตาเบื้องหน้า ด้วยจวนแม่ทัพไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ามากนัก เพราะ ลักษณะนิสัยของเจ้าของจวน มิได้ชอบกอบโกยทรัพย์ หรือรัก ความสะดวกสบายมากนัก จวนแม่ทัพจึงเป็นจวนที่เรียบง่าย และ สุขสงบยิ่ง

เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนรับรองสายตาของฮ่องเต้องเงิน พลัน สะดุดกับ เด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งกอดเข่าอยู่ในศาลาริมน้ำ ท่าทาง นางเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้สิ่งใด จึงหยุดฝีเท้าลง

“นั่นใช่บุตรีของจางหย่งหรือไม่” จ้าวฉงเงินถามขึ้นโดยไม่ละ สายตาจากเด็กหญิงตัวน้อย ในใจนึกอยากได้ยินคำปฏิเสธ อย่างยิ่ง

หวังกงกงหันไปมองพ่อบ้านหมี่ผาดหนึ่ง ใบหน้าชราปรากฏ ความเศร้าใจก่อนพยักหน้ารับติดกันสองครั้ง

“เรียนนายท่าน….. นั่นคือ คุณหนู เหมยฮวา บุตรีคนเล็กของ ท่านแม่ทัพมผิด ขอรับ” หวังกงกงรายงาน เบนสายตาไปตามผู้ เป็นนาย เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกถึงความยุ่งยากที่กำลังจะ ต้องเผชิญ อาการของคุณหนูหนักถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ไม่ง่ายเสีย แล้ว

ร่างสูงสง่าพลันเปลี่ยนเส้นทาง เดินตรงไปยังศาลาริมน้ำ ก่อน หยุดยืนอยู่ด้านหลังเด็กหญิงตัวน้อย สายตาเพ่งมองร่างเล็กคุดคู้อย่างพินิจ

เหมยกุ้ยฮวายังคงนั่งเหม่อมองไปอย่างเลื่อนลอย แต่ละวัน ไม่มีอะไรให้ทํา อ่าน เขียน เย็บ ปัก ที่เธอเรียนมา เธอกลับทำไม่ ได้เลย อยู่ดีๆ เด็กน้อยวัยห้าขวบลุกขึ้นมาเก่งกาจไปเสียทุกสิ่ง จากที่สติเลอะเลือน จะไม่กลายเป็นภูตผีปีศาจไปเลยหรือ

ร่างเล็กที่ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง หรือสิ่งรอบตัวใดๆ ด้วยทุก วันเหมยกุ้ยฮวา จะเป็นจุดสนใจของบ่าวรับใช้ในเรือนอยู่แล้ว ทุกคนมักมองเธอด้วยแววตาสงสาร เข้าขั้นเวทนา ซึ่งนั่นเธอก็ พอเข้าใจได้อยู่ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่อึดอัด แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นอกจากแสร้งทําเป็นไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจได้คือการ จดจ่อรอให้เล่าพี่ชายกลับจากสำนักศึกษาโดยเร็ว

เมื่อยืนอยู่ราวครึ่งถ้วยชา เด็กน้อยตรงหน้ายังไม่มีทีท่าจะหัน มาสนใจ จ้างฉงเจินจึงกระแอมไอ ในลำคอคราหนึ่ง แล้วรอให้ นางหันมา รอคอยอีกอึดใจก็ทนไม่ไหว เอ่ยเรียกเสียงนุ่มนวล เอื้อเอ็นดู “เด็กน้อย”

อยู่ๆ มีเสียงเรียงใกล้ถึงเพียงนี้ เหมยกุ้ยฮวา สะดุ้งตกใจ แต่ ไม่ได้อุทานหรือ เปล่งเสียงออกไป รีบหันกลับไปมองเจ้าของ เสียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ ใครกัน ท่านแม่ทัพมิใช่สั่งเด็ดขาด ว่าไม่รับแขกหรอกหรือ

ท่าทางเอียงคอ กับแววตาฉงนสงสัย ทำให้จ้าวฉงเงินผุดยิ้ม มิน่ากู่จางหย่งจึงรักและถนอมบุตรีเพียงนั้น นางช่างน่ารักได้ เดียงสายิ่งนัก
หวังกงกงกำลังจะเอ่ยแนะนำให้คุณหนูถวายความเคารพ ฮ่องเต้ แต่ถูกห้ามด้วยการปรายตามองเสียก่อน ถึงก้มหน้าแล้ว ถอยไปยืนรออยู่ด้านหลัง

จ้าวฉงเจินเดินเข้าไปนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเหมยกุ้ยฮ วา ท่าทางสง่าผ่าเผย แต่ทว่ากลับมีความอบอุ่นเมตตายามมอง มา ทำให้นางยกยิ้ม ยังคงเอียงคอมองสำรวจอย่างพิจารณา บุรุษผู้นี้จะว่าแต่งกายธรรมดา แต่ก็มิอาจพูดได้ว่าธรรมดา สามารถเข้ามาภายในจวนได้ทั้งที่มีคำสั่งปิดตายประตูจวน ย่อม ต้องสนิทสนมกับท่านแม่ทัพมากเป็นแน่

จ้าวงเงินที่เห็นเด็กน้อยตรงหน้าเอียงคอมองหน้าเขาไปมาก เอ่ยขึ้น “เจ้าคือฮวาเอ๋อ”

เหมยกุ้ยฮวากำลังจะพยักหน้ารับคำ พลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ เธอเป็นเด็กสติเลอะเลือน จะเข้าใจคำถามพวกนี้ได้อย่างไร จึง ทำเพียง ยกยิ้มน่ารัก แบบโง่ๆ ส่งไปให้

“ฮวาเอ๋อพูดไม่ได้” เป็นจางหย่งที่ตอบคำถามนั้น พร้อมกับ ก้าวเข้าไปยืนข้างๆ บุตรี น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา แต่แฝงความเจ็บ ปวดอยู่หลายส่วน มือหนาวางบนศีรษะเล็กลูบเบาๆ คล้าย ปลอบโยน

หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จมายังศาลาริมน้ำ พ่อบ้านหลีก็รีบไป รายงานท่านแม่ทัพอย่างรวดเร็ว และด้วยกลัวว่าฮวาเอ่อจะตกใจ กลัวคนแปลกหน้า เขาจึงเร่งมาทันได้ยินคำถามของฮ่องเต้เข้า พอดี
เหมยกุ้ยฮวาที่ไม่ได้เห็นหน้าบิดาของเจ้าของร่างมาหลายวัน เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยินดี ใบหน้าของกู่จางหย่งดูอิดโรย มาก คล้ายไม่ได้หลับสนิทมากหลายคืน ดูๆ แล้วเหมือนคน ตรอมใจ เธออดรู้สึกผิดไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างให้เขารู้สึกดี ขึ้นบ้าง คิดได้ดังนั้น ร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตัวเดิม รอย ยิ้มสดใสเต็มใบหน้า ก่อนโผเข้ากอดกู่จางหย่ง เอ่ยในใจ ว่า “ท่านพ่อ…ข้าต้องขอโทษท่านด้วย

จางหย่งชะงักงัน ก่อนจะยกมือขึ้นอุ้มร่างเล็กนุ่มนิ่มลอยขึ้น มือหนาตบเบาๆ ลงบนหลังเล็ก กระชับกอดบุตรีแน่นขึ้น ขอบ ตาแดงขึ้น อย่างห้ามไม่อยู่ ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง เขาเอาแต่พร่ำ โทษตนเอง เสียใจและรู้สึกผิดต่อภรรยาผู้ล่วงลับ มุ่งมั่นแก้ไขข้อ ผิดพลาด ไม่ได้ดูแลฮวาเอ๋อให้ดี แต่พอถูกบุตรีผู้เป็นที่รัก โอบ กอดเช่นนี้ สติของเขาจึงแจ่มชัดขึ้น

จ้าวฉงเจินมองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ เขาผิดต่อ สหายผู้นี้แล้วจริงๆ เขาตำหนิจางหนึ่งที่ไม่เข้าไปคุยกับเขาด้วย ตัวเอง ส่งฎีกากดดันเขาอย่างบ้าคลั่ง โมโหที่เขากล้าส่งคืนตรา แม่ทัพโดยพลการ แต่มิได้คิดเลยว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จาง หย่งจะเจ็บปวดเพียงใด อดถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

“จางหย่ง..” ฮ่องเต้ฉงเจินเรียกเพียงชื่อ เพื่อให้จางหย่งรู้สึก ว่าเขามาอย่างมิตร มิใช่ ในฐานะฮ่องเต้กับแม่ทัพคู่บัลลังก์

จางหย่งพละออกจากอ้อมกอดเล็กๆ ของบุตรี วางนางลงที่ เก้าอี้ตัวเดิมที่นางนั่งก่อนหน้าแล้วหันไป ถวายความเคารพเต็ม พิธีการ
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ เหมยกุ้ยฮวาถึงกับตกตะลึง นี่…นี่…เขาคือฮ่องเต้หรือ ก่อน หน้านี้ไม่ใช่ว่านางลบหลู่เบื้องสูงหรอกหรือ คือได้พลันผุดลงจาก เก้าอี้ไปนั่งด้านข้างบิดาคว้าแขนเขามากอดแน่น ไม่กล้าเงยหน้า

ขึ้นมองอีก

จ้าวฉงเจินหน้าเครียดขึ้นมาทันที จางหย่งคารวะเต็มพิธีการ เช่นนี้ มิใช่ ไม่ยอมคุยกับเขาในฐานะสหายหรอกหรือ ช่างดื้อดึง ยิ่งนัก ฮ่องเต้องเงิน แค่นเสียง “หี” ค่หนึ่ง ก่อนสะบัดมือหัน หน้าหนีด้วยแรงโทสะ

หวังกงกงเห็นท่าทางไม่ได้จึงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์

“ท่านแม่ทัพก่ นายท่านมาให้ฐานะ สหายเก่า ท่านอย่าได้ทำ เช่นนี้ รีบลุกขึ้นเถอะ” ว่าพลางประคองจางหย่ง ให้ลุกขึ้นพร้อม กับเหมยกุ้ยฮวา ก่อนจะกุมมือเด็กน้อยพาเดินไปส่งให้พ่อบ้าน หลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“กระหม่อมขอลาออกแล้ว ตราแม่ทัพก็ส่งคืนแล้ว เหตุใดฝ่า บาทจึงยังไม่ทรงอนุญาต” ในเมื่อบอกว่ามาในฐานะสหายเก่า เขาก็คงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจแล้วกระมัง

“เจ้า!!!” จ้าวฉงเจินหันกลับมาชี้หน้าจางหย่ง ก่อนจะถอน หายใจแรงๆ หนึ่งครั้งอย่างจำยอม นี่คือบุรุษคนเดียวกับที่กอด บุตรีน้ำตาคลอเมื่อครู่จริงหรือ ไยจึงเปลี่ยนไปได้รวดเร็วเพียงนี้ เล่า แต่เห็นเยี่ยงนี้แล้ว จะให้เขาเป็นฮ่องเต้ใจดำ ปล่อยให้ผู้ที่เป็นทั้งสหายและแม่ทัพคู่บัลลังก์ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้

อย่างไร จางหย่งยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าที่ลดละ ยินยอม หรือ จำนนให้

เห็น

จ้างฉงเจินนั่งลง หวังกงกงรีบยกชุดน้ำชาเข้ามาก่อนในถวาย อย่างเอาอกเอาใจ

“นั่ง… เรามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า” ฮ่องเต้องเงินกล่าวสั่งคล้าย ไม่สั่ง เพราะน้ำเสียงเพื่อความขอร้องอยู่บางส่วน

กู่จางหย่งยอมนั่งลง แต่ยังคงเงียบเฉยไม่ปริปาก

“จางหย่ง… เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรา” ด้วยรู้ว่าหากแข็งขืนจ้องเอาชนะต่อไป คนดื้อด้านอย่างกู่จางหย่ง ไม่มีทางยอมถอยให้เขาเป็นแน่ ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลเท่านั้น

“ราชโองการมิอาจขัดได้ เป็นจางฮองเฮาที่ทูลขอ ราชโองการ หากทรงยกเลิกจะต้องมีปัญหากับเสนาบดีจางตาม มาเป็นแน่” กู่จางหย่งอธิบาย เขาคิดดีแล้วนี่เป็นวิธีเดียวที่จะพา ตัวเองและตระกูลออกมาจากเรื่องวุ่นวายได้

“เจ้าคิดแทนข้าถึงเพียงนั้นเชียว” ฉงเงินทำน้ำเสียงไม่เชื่อ ดวงตาฉายแววล้อเลียน มุมปากยกยิ้ม ดีเท่าไหร่ที่เขาตัดสินใจ ออกมาจวนแม่ทัพด้วยตัวเอง จางหย่งผู้นี้ ไม่ทำให้ต้องผิดหวัง จริงๆ

เมื่อเห็นว่า กู่จางหย่งไม่มีแววล้อเล่น จ้างฉงเจิน จึงได้เอ่ยต่อไม่หยอกล้อเขาอีก

เจ้าอยู่ เจ้า คิดหรือไม่ว่าอำนาจของตระกูลจางยิ่งใหญ่คับขึ้น เพียงใด เฉยดาย ขายังถือเป็นฮ่องเต้ที่ได้อยู่หรือ รับตราแม่ทัพของ เจ้าไป แล้วอย่าวาเอ๋อ นางจะต้องหายในเร็ววัน อีกอย่าง ฎีกาทั้งหมดของเจ้า ลายมืออัปลักษณ์นัก คราหน้าอย่าส่งเข้าวังหรือไม่”

จ้าวเงินออกสั่ง มัวต่างคนต่างคิดกันไป หากหันหน้า เข้าคุยกันเสียแต่ก็ต้องโมโหนานหลายแล้ว ทั้งที่ ต่างฝ่ายต่างหวังแก่กัน ด้วยเขาถือทิฐิ อยากให้สหายร้อง ส่วนหย่งถือทิฐิไม่ขอร้องเรื่องถึงยืดยาว

จางจนด้วยพูด ถูกตำหนิว่าลายมืออัปลักษณ์ หน้าคล้ำ เขาตั้งใจเขียนเพียงนั้น ลายเส้นหนักแน่นมั่นคง หาอัปลักษณ์ใดไม่ ฮ่องเต้ฉงกล่าวเช่นหรือ

เห็นฮ่องเต้แย้มพระสรวลอย่างสบายพระทัยหวังกงกงถอนหายใจอย่างโล่งอก คนจริงจังเยี่ยงแม่ทัพ กับฝ่าบาทถูก ประจบมากแล้ว
จ้าวฉงเงินอยู่กินมื้อกลางวันที่จวนแม่ทัพ แม้เจ้าของจวนจะไม่ ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ฮ่องเต้ทรงยอมลด เกียรติเป็นฝ่ายมาหาเขาถึงจวนก็นับว่าเมตตาตระกูลอย่าง ที่สุดแล้ว ยิ่งได้เห็นท่าทางมีความสุข สบายอกสบายใจของ ฮ่องเต้ฉงเจินด้วยแล้ว จางหย่งจึงไม่อยากขัด ปล่อยให้ พระองค์ได้ทรงปลดวางภาระหน้าที่ไว้ชั่วคราว ผ่อนคลายสัก หน่อยก็ดีเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้น มีราชโองการมาถึงจวนแม่ทัพ เป็นหวังกงกงมาด้วย ตัวเอง โปรดเกล้ายกเลิกงานมงคลสมรสของแม่ทัพกู่จางหย่ง และพระราชทานของปลอบขวัญให้ เหมยฮวา มีขบวนยาวสุด ลูกหูลูกตา ซึ่งในขบวนนั้นมีของปลอบขวัญจากฮองเฮารวมอยู่ ด้วย ไม่รู้ว่าฉงเจินฮ่องเต้ทรงจัดการอย่างไร เรื่องจึงจบลงเช่นนี้

จริงสิ… ในขบวนของปลอบขวัญ ยังมีหีบบรรจุฎีกา 28 ฉบับ ส่งคืนมา มีใบปิดหน้าหีบเขียนว่า “ลายมืออัปลักษณ์” กำกับอยู่ ด้วย หวังกงกงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่เขาผู้เฒ่าอยู่ ตรงกลางระหว่างเด็กตีกันใช่หรือไม่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ