เหมยกุ้ยฮวา ชายาซ่อนพิษ

ฎีกาฉบับที่ 28 (2)



ฎีกาฉบับที่ 28 (2)

ร่างนี้อายุเพียงห้าปี จะผิวขลุ่ยเป็นได้อย่างไร เหมยกุ้ยเอ่ย เหมยกุ้ยฮวา เธอช่างเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ

จ้าวหลี่จิ้น กู่จางเหว่ย และหวังเหว่ย มองภาพตรงหน้าอย่าง ตะลึงงัน สาวน้อยวัยห้าปีของพวกเขา ไยจึงได้งดงามดุจเทพธิดา เพียงนี้เล่า

รอยยิ้มใสชื่ออวดฟันที่เรียงตัวสวย คล้ายยิ้มประจบเอาใจ เหมือนมีมนต์สะกด จนพี่ชายทั้งสาม ลืมเลือนที่จะสงสัยว่า ฮวา เอ๋อของพวกเขาผิวขลุ่ยเป็นตั้งแต่เมื่อใด

“เจ้าเก่งมากฮวาเอ๋อ” จ้าวหลี่จิ้นชมเปาะ

“ใช่ๆ ฮวาเอ่อของพวกเราเก่งมาก” กู่จางเหว่ยสำทับ

“ฮวาเอ๋อผิวขลุ่ยเป็นเพลงอื่น อีกได้หรือไม่ พี่ชายชอบฟังเจ้า ผิวขลุ่ยเสียแล้ว” หวังเหว่ยร้องขอตาเป็นประกาย

เหมยกุ้ยฮวาลอบถอนหายใจ มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนแบมือข้างที่ไม่ได้ถือขลุ่ยออกไปข้างหน้า ขยับนิ้วเข้าหาตัว สองสามที พี่ชายสามคนพร้อมใจกันยกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแวว สงสัย เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าก้มลงมองมือตัวเอง แล้วขยับนิ้วอีก สองสามครั้งเหมือนเดิม หลี่จิ้น จางเหว่ย หวังเหว่ย หันมาสบตา กัน พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!

“ฮวาเอ๋อ เจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว” จางเหว่ยว่าพลางใช้มือขยี้ผมน้องสาว รอยยิ้มเปี่ยมสุขเต็มใบหน้า

“”พี่ชายอย่างบ้าคงต้องเป็นยาจกในไม่ช้า หากแค่ฟังน้องสาว ผิวขลุ่ยยังต้องจ่ายสินน้ำใจเช่นนี้” หวังเหว่ยบ่นอุบ แต่ใบหน้า เปื้อนยิ้มไม่ต่างจากพี่ชาย

“แต่ข้า จ้าวหลี่จิ้น จ่ายได้ ฮวาเอ๋อเจ้ามานี่” หลี่จิ้น ช้อนตัวเหม ยกุ้ยฮวาขึ้นอุ้ม นั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางนางลงบนตัก ไม่ลืมทิ้งรอย ยิ้มเย้ยหยันให้สองพี่น้องตระกูลอีกครั้ง

คราแรกเหมยกุ้ยฮวาเกร็งตัวจะขัดขืน รู้จักกันเพียงแค่สี่ห้าวัน กล้าถูกเนื้อต้องตัวกันเสียแล้ว องค์ชายใหญ่ผู้นี้มิได้เรียนรู้ว่า บุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิดหรือไร แต่พอนึกได้ว่าร่างนี้อายุเพียงห้า ขวบปี หาใช่สตรีวัยแรกแย้มไม่ บุรุษใดจะมาคิดอกุศลได้เล่า เหมยกุ้ยฮวาจึงผ่อนอาการเกร็งลง ปล่อยให้บุรุษรูปงาม โอบ กอด ‘ทีว่าท่านในใจขออภัยด้วยแล้วกัน

“นี่ไม่ถูกต้อง” กู่จางเหว่ย นิ่วหน้า มองการกระทำของ จ้าวหล จิ้นอย่างไม่ยินยอม

“ใช่ๆ นี่ไม่ถูกต้อง องค์ชายใหญ่ พระองค์จะมั่งมีสักเพียงใด ก็ไม่ควรใช้เงินล่อลวงน้องสาวของกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” หวัง เหว่ยเอ่ยค้านขึ้นบ้าง เขาเป็นถึงบุตรชายแม่ทัพคู่บัลลังก์ จะยอม ให้ใครมาล่อลวงน้องสาวเพียงคนเดียวของเขามิได้ ถึงจะเป็น องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉัน ก็ไม่เว้น

“เสี่ยวหวัง ใช่เรื่องนี้ที่ไหนเล่า!!!” กู่จางเหว่ยหงุดหงิดความ ไม่รู้ของน้องชาย แต่เขาอายุเพียงสิบสาม จะรู้ความได้อย่างไร
หวังเหวยนิ่วหน้า เขาทำสิ่งใดผิด

“องค์ชายใหญ่ โปรดปล่อยน้องสาวของกระหม่อม” เสียงของ จางเหว่ยมีแววขุ่นเคือง ท่าทีแข็งกร้าว แผ่กลิ่นอายสังหาร กระจายกดดัน

“หึม” กู่จางเหว่ยแสดงกิริยาชัดเจนจน จ้าวหลี่จิ้น แปลกใจ เขาเพียงอุ้มและโอบกอด ฮวาเอ๋อ ไยจางเหว่ยต้องโกรธถึงเพียง

“องค์ชายใหญ่!!!” กู่จางเหว่ยกดเสียงต่ำ ความหวงน้องสาว ถูกกระตุ้น จนความอดทนของเขาต่ำลงอย่างน่าประหลาด

จ้าวหลี่จิ้น สายศีรษะคล้ายระอาใจเหลือแสน ใช้สองมืออุ้ม เหมยกุ้ยฮวา ที่ทำหน้า งงๆ ขึ้นก่อนวางนางลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ หันไปถาม กู่จางเหว่ย “จางเหว่ยเจ้ากำลังทำอะไร ล่วงเกินเชื้อ พระวงศ์ มีโทษสถานใด รู้หรือไม่” จ้าวหลี่จิ้น เอ่ยอย่างตำหนิแต่ ดวงตาคล้ายไม่ตำหนิ ส่อแววหยอกล้อเสียหกถึงเจ็ดส่วน

หวังเหว่ยตกใจคำขู่ เอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อของจางเหว่ ยอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่ท่านเป็นอะไรไป รีบขอรับโทษเสียก่อนที่ องค์ชายใหญ่จะโกรธท่านขึ้นมาจริงๆ เร็วพี่ใหญ่

จางเหว่ยดึงเสื้อออกจากมือน้องชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียง เคร่งขรึมเกินอายุว่า “บุรุษ มิควรใกล้ชิดสตรี ข้าเพียงเตือนองค์ ชายใหญ่ด้วยความหวังดี จะกลายเป็นการล่วงเกินไปได้เยี่ยง ใด”

พรืด!! เหมยกุ้ยฮวาหลุดขำ “พี่ใหญ่…ท่านหวงน้องตัวน้อยอย่างช้ามากไปแล้ว

“ไยข้าจึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้นะ” หวังเหว่ยพึมพำ

จ้าวหลี่จิ้นเอื้อมมือไปตบไหล่ จางเหว่ยเบาๆ ทำสีหน้าเข้าอก เข้าใจ มีน้องสาวน่ารักถึงเพียงนี้ หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนตะกูล มาเข้าใกล้ฮวาเอ๋อ เขาก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน

“อย่างนี้ดีหรือไม่ ข้ารับฮวาเอ๋อเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วกัน” จ้าวหลี่จิ้นยกยิ้มภาคภูมิใจ ในความคิดของตัวเอง

“ไม่!!!” กู่จางเหว่ยว่า

“ดี!!!” กู่หวังเหว่ยพูด

เสียงของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหา กันนิ้วขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย

“เสี่ยวหวัง!!!”

“พี่ใหญ่…ท่าน!!!”

แล้วก็สะบัดแขนหมุนหันหลังให้กันเสียอย่างนั้น

เรื่องบานปลายใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร เหมยกุ้ยฮวา ยกมือ ขึ้นตบหน้าผากตัวเอง อย่างจนใจ แล้วใครจะแก้สถานการณ์ ตอนนี้ได้ ถ้าไม่ใช่นาง

เหมยกุ้ยฮวาวางขลุ่ยลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตัวเดิม เพื่อให้มีความสูงมากพอจะมองหน้าพี่ชายทั้งสามคน ยกมือเล็ก ป้อมขึ้นปรบ ๓ ครั้งเพื่อเรียกความสนใจ
พลางคิดวิธี จะสื่อสารอย่างไรดีให้พวกเขาเข้าใจ ทำมือเป็น รูป OK พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ เขียนอักษรลงบนมือพวกเขาได้ หรือไม่ ฮวาเอ๋ออายุเพียง ๕ ปี เรียนเขียนอักษรแล้วหรือยัง ถ้า ยัง? ไม่ได้… ภาษามือเล่า ยุคนี้มีภาษามือหรือยังนะ ตายๆ จะ ทําอย่างไรดี บรรพบุรุษท่านโหดร้ายกับข้าผู้ปกป้องสกุลเกินไป แล้ว

พี่ชายทั้งสามคนมองฮวาเอ๋อที่กลอกตาไปมา เดี๋ยวส่ายหน้า เดี๋ยวคิ้วขมวด ด้วยความเอ็นดู ท่าทางประหลาด แต่ดูน่ารักน่า สนใจอย่างบอกไม่ถูก

ในที่สุด เหมยกุ้ยฮวาก็คิดวิธีได้ แต่ใช้ได้จริงหรือไม่ต้องลองดู นางตั้งใจปรับท่าทางให้ดูน่าเชื่อถือ ยึดตัวตรงผายอกฝั่งไหล่ แต่ลืมคิดไปว่าเด็กอายุ ๕ ปี จะน่าเชื่อถือได้ซักเท่าใดกัน

ท่ามกลางสายตา ๓ คู่ มือเล็กเริ่มที่ตัวเอง ก่อนจะเอื้อมไปจับ มือของ จ้าวหลี่จิ้นขึ้นมาเกี่ยวนิ้วก้อยของเขากับนิ้วก้อยเล็กจิ๋ว ของนางไว้ด้วยกัน พี่ชายทั้งสามยังคงไม่เข้าใจ แต่เหมยกุ้ยฮวา ไม่ละความพยายาม นางยกมือขึ้นที่ จ้าวหลี่จิ้น ก่อนครั้งหนึ่ง แล้วหันไปทางพี่ชายทั้งสอง ดวงตารูปเมล็ดซึ่งหรี่ลงส่อแววเจ้า เล่ห์ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มือเล็กยกขึ้นตรงหน้า ใช้นิ้วโป้งถูปลายนิ้วทั้งสี่ไปมา อีกมือตบลงบนบริเวณถุงเงินที่ ห้อยอยู่ตรงเอว เท่านั้นแหละ ทั้งสามคนตรงหน้าถึงเข้าใจ ประสานเสียงหัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า!!!

“เจ้ามันร้ายเกินไปแล้ว!!! ฮ่าฮ่าฮ่า” กู่จางเหว่ยว่า
“เจ้านี่…มัน!!! ฮ่าฮ่าฮ่า” หวังเวียนึกหาคำมาเปรียบน้องสาว ไม่ได้ ได้แต่หัวเราะอีกครั้ง “ดี!!! จากนี้ กู่เหมยฮวา เจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้า ใคร

ที่ทำร้ายเจ้าก็ถือว่าทำร้ายข้าด้วย แล้วข้าจะซื้อของให้เจ้าบ่อยๆ ดีหรือไม่” จ้าวหลี่จิ้นตัดบท รวบรัด ไม่ให้ใครกล่าวปฏิเสธอีก มี น้องสาวน่ารักถึงเพียงนี้เขาดีใจนัก

เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าติดกันหลายครั้ง ในใจโห่ร้องด้วย ความยินดี พี่ชายบุญธรรมที่รัก ท่านต้องหมดตัวเพราะข้าแน่ๆ จะใช้ชีวิตให้ดีก็ต้องมีเงินให้มาก แล้วใครจะให้นางปอกลอก ได้ดีไปกว่าองค์ชายใหญ่ผู้นี้เล่า

ท้องพระโรงแห่งแคว้นฉัน ยังคงเต็มไปด้วยขุนนางราชสำนัก

แม้ผ่านมาหลายวันแล้ว หากแต่โทสะของฮ่องเต้ยังไม่ลดลง แม้แต่น้อย ฎีกาขอลาออกของแม่ทัพกู่จางหย่งยังคงส่งเข้ามาใน วังหลวงไม่หยุด

“นี่มันฉบับที่ ๒๘ แล้ว…แล้วนี่…นี่ ตราแม่ทัพ บังอาจคืนตรา แม่ทัพ กู่จางหย่ง ยังเห็นเราอยู่ในสายตาหรือไม่!!!”

จ้าวฉงเจินยกมือขึ้นคลึงขมับ เรื่องที่หวังกงกงสืบรู้มา ทำเขา ปวดหัวยิ่งนัก มีใครไม่รู้บ้างว่า จางหย่งรักใคร่เอ็นดูบุตรียิ่ง กว่าผู้ใด น้ำหนักในใจบุตรชายทั้งสองยังเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ด้วยหน้าตาของบุตรีคนเล็กนั้น ละม้ายคล้ายผู้เป็นมารดาแปด ถึงเก้าส่วน นี่นางถูกทำร้ายถึงกับสติเลอะเลือน ด้วยนิสัยของจาง หย่งเขาต้องดึงดันจนถึงที่สุดเป็นแน่
เป็นอีกวันทีการประชุมขุนนางถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว ไม่มี ใครสู้พระพักตร์ฮ่องเต้ได้แม้เพียงสักคน

“หวังกงกง เหตุใดเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ จางหย่งจึงไม่มาหาข้า ไยเขาจึงใช้วิธีบีบคั้นข้าเช่นนี้ ช่างน่าตายนัก!!!” จ้าวจงเฉินกล่า

วอย่างฉุนเฉียว

“ฝ่าบาท…ขอฝาบาทอย่างทรงกริ้ว ความโกรธจะทำร้ายพระ วรกายนะค่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หวังกงกงเอยด้วยความเป็นห่วง

“เขาไม่มาหาข้า ต้องเป็นข้าที่เป็นฝ่ายไปหาเขาใช่หรือไม่” แม้จะโกรธจางหย่งอยู่บ้างที่เลือกใช้วิธีเช่นนี้ แต่เพราะความ เป็นสหาย และด้วยรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงรู้ว่าคราวนี้ จางหย่ง ไม่มีทางยอมถอยแล้วจริงๆ เขาจึงต้องยอมถอยเสียเอง

“ถึงอย่างไรทรงฟังเหตุผลของแม่ทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าแม่ทัพไม่มีเจตนาบีบบังคับพระองค์”

หวังกงกงรู้จักทั้งสองฝ่ายดี และเชื่อว่าความเป็นสหายนี้ไม่มี

วันตัดกันขาด

“หวังกงกง นำชุดมาเปลี่ยนให้ข้า ข้าจะไปหาเจ้าคนน่าตาย นั่น ไปถามดูสิว่า ขวัญกล้าเทียมฟ้าหรือไร จึงบังอาจคืนตรา แม่ทัพมาให้ข้า!!!” ถึงจะกล่าวคำรุนแรงออกไป แต่บนพระพักตร์ ของฮ่องเต้กลับผุดรอยยิ้ม นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้ออกไปนอก วังหลวง

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงรีบรับคำ แล้วทำตามรับสั่ง อย่างรวดเร็ว ระหว่างสองคนนี้ คนหนึ่งดื้อดึงเช่นใด อีกคนหนึ่งก็ปากแข็งเช่นนั้น เป็นเรื่องให้คนกลางอย่างเขาปวดหัวยิ่งนัก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ