เหมยกุ้ยฮวา ชายาซ่อนพิษ

ฎีกาฉบับที่ 28 (1)



ฎีกาฉบับที่ 28 (1)

ท้องพระโรงแห่งแคว้นฉิน คลาคล่ำไปด้วยขุนนางแห่งราช สำนัก แยกเป็นสองฝั่ง บันและทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบ เต็มยศ เครื่องประดับลดทอนความหรูหราลงตาม ยศ และ ตำาแหน่งที่ได้รับ

หากแต่วันนี้ ผู้ที่อยู่เหนือหัวนั่งเหนือบัลลังก์มังกร ไม่เหมือน เช่นทุกวัน สีพระพักตร์คล้ำแดงสลับดำ พระโขนงขมวดมุ่น เส้น พระโลหิตปูดโปน มุมพระโอษฐ์กระตุกๆ ด้วยพยายามกดข่ม โทสะอย่างยากเย็น จนในที่สุดก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“ฎีกาขอลาออก แม่ทัพกลาออก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!!! จ้าวฉงเจินตวาดเสียงก้อง ลุกขึ้นยืนก่อนเหวี่ยงเล่มฎีกาลงพื้น อย่างเดือดดาล

ภายในท้องพระโรงเงียบกริบ เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าก้มตา ก่อนเหลียวมองกันไปมา ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำ แม้แต่หายใจยัง ระมัดระวังมิให้มีเสียง

เหตุใดแม่ทัพคู่บัลลังก์จึงลาออก เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ไม่มีใครรู้ ด้วยจวนแม่ทัพของ จางหย่งนั้นมิได้สนิทชิดเชื้อกับ ขุนนางคนใดมากพอให้ไปมาหาสู่ หรือจะพูดให้ถูก คงต้องเรียก ว่า แม่ทัพผู้นี้ทำตัวสันโดษ อยู่เหนือฝักฝ่ายใดๆ มิมีใจจะเข้า ร่วมวงสังสรรค์กับใครด้วยหวังลาภ ยศ ทรัพย์สิน ยิ่งไม่มีฮูหยิน ยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องภายในจวนจึงไม่มีเล็ดลอดมาให้ใครล่วงรู้แล้วใครจะตอบคำถามของโอรสสวรรค์ได้เล่า

เมื่อเห็นว่าไม่มีทางได้คำตอบจากบรรดาขุนนางที่อยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้องเงินยกพระหัตถ์ขึ้นโบกไล่ หวังกงกง จึงเอ่ย ‘สิ้นสุดการ ประชุม ขุนนางพากันถวายความเคารพก่อนถอยกรูดออกไป จากท้องพระโรงกันอย่างรวดเร็ว

ฉงเงินคลึงขมับ กู่จางหย่งกับเขาเป็นสหายร่วมเรียนมาตั้งแต่ ยังเยาว์ ครั้งเมื่อเขายังเป็นองค์รัชทายาทก็ร่วมศึกกันมาหลาย ครา เรียกว่าสนิทสนมกันมาไม่น้อยกว่ายี่สิบปี จางหย่งเป็นคน เช่นไรเขานั้นรู้ดี ไม่สนใจลาภ ยศ ตำแหน่ง รักษาสัตย์ยิ่งกว่าสิ่ง ใด รักมั่นสตรีเพียงนางเดียว ที่ถวายฎีกาขอลาออกมิใช่เป็น เรื่องราชโองการสมรสพระราชทานนั่นหรอกกระมัง คิดแล้ว ทําให้ปวดหัวยิ่งนัก

“ฝ่าบาท…” หวังกงกงเห็นท่าทางที่ดีของผู้เป็นนาย อดเรียก อย่างเป็นห่วงไม่ได้

หวังกงกงเป็นอีกคนที่รับใช้ข้างกายฉงเจินฮ่องเต้ตั้งแต่ยังทรง เป็นองค์ชาย จึงรับรู้ถึงความสนิทสนมระหว่างนายบ่าวคู่นี้เป็น อย่างดี และด้วยรู้ถึงนิสัยใจคอของ จางหย่ง จึงมิรู้ว่าจะหาคำ ใดมาเอ่ยปลอบใจนายเหนือหัว ในตอนนี้

“ข้าจะทําอย่างไรดี หวังกงกง หากจางหย่งลาออก ขายังจะ ไว้ใจใครได้อีก” ฉงเจินรู้สึกไม่มั่นคงอย่างอดไม่ได้ จางหย่งคือ สหายที่ดีที่สุด คือแม่ทัพที่เก่งกล้าที่สุด และเป็นคนที่ไว้ใจได้มาก ที่สุด หากต้องเสียคนคนนี้ไป เขาจะทำอย่างไรดี
“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่กระหม่อม กระหม่อมจะส่งคนไปสืบให้รู้ แจ้ง พ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกง เสนอตัว ต้องเพียงแบ่งเบาความทุกข์ ใจของผู้เป็นนายลงไปได้บ้าง เขาก็พอใจ

“ดี…ดี” ฉงเจินกล่าวเพียงเท่านี้ มีหวังกงกงอยู่อย่างน้อยข้าง กายเขาก็มิได้มีแต่พวกไร้ประโยชน์

หลังจากวันที่เหมยฮวาถูกทำร้าย จวนแม่ทัพก็เหมือนถูก ปิดตาย ด้วยจางหย่งมีคำสั่งเด็ดขาดไม่เปิดประตูต้อนรับ ใคร อีก มีคนนอกเพียงคนเดียวที่เข้า ออกจวนแม่ทัพได้ คือ จ้าวหลี่ จิ้น องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉัน

ก่อนหน้านี้องค์ชายใหญ่ตามจางเหว่ยกลับมาที่เรือนแม่ทัพ เป็นประจํา ทุกครั้งเขาจะพบฮวาเอ่อที่มักจะรอให้พี่ชายใหญ่ของ นางกลับมาจากสำนักศึกษาพร้อมขนมติดมือมาฝาก เพราะว่า เอ๋อเป็นเด็กตัวเล็ก น่ารัก ช่างเจรจา ทั้งยังใสซื่อต่างจากพี่น้อง ในวัง องค์ชายใหญ่จึงเอ็นดูฮวาเอ๋อเหมือนน้องสาวของตัวเอง องค์ชายใหญ่ใช้ความสนิทสนมนี้เข้ามาในจวนแม่ทัพทุกวัน อ้าง ว่าเพื่อฟื้นความทรงจําให้ฮวาเอ๋อ

กู่จางหย่งเอาแต่เก็บตัว ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าบุตรีของตน วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้องตำรา เขียนฎีกาขอลาออกฉบับแล้ว ฉบับเล่าเพื่อส่งเข้าวัง จางหลีหลิ่วพูดถูก การสมรสระหว่างเขา กับนางเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจ เปลี่ยนแปลง แต่… นางคงลืมไปกระมัง ว่าคนเดียวที่จะยกเลิก ราชโองการได้ ก็คือคนที่ออกราชโองการ เขาจึงไม่ได้เข้าประชุม ราชการเหมือนข้าราชสำนักคนอื่นๆ ทำเพียงส่งฎีกาเข้าวัง หากฮ่องเต้ไม่ทรงยกเลิกราชโองการ เขาก็จะลาออกไปทำไร่ทำนา เสีย ดูว่าใครยังจะต้องการตกแต่งเป็นภรรยาตามเขาไปลำบาก ได้อีก

ทุกครั้งที่จางหย่งมองหน้าเหมยฮวา ภาพใบหน้าของ ห เยี่ยน มักซ้อนทับเข้ามาเสมอ เขาผิดต่อภรรยาผู้ล่วงลับแล้ว จริงๆ ผิดที่ไม่ดูแลบุตรีที่นางมอบไว้ให้เขาให้ดี ท่านรับปากข้า ท่านพี่… ดูแลยว่าเอ๋อ ให้ดี ดูแลลูกของเราให้ดี คำสั่งเสีย สุดท้ายก่อนสิ้นลมของกฮูหยิน ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เมื่อเห็นฮวาเอ๋อเหม่อลอยราวคนไร้สติ พลันนัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่ออย่างห้ามไม่อยู่

กู่จางเหว่ย และหวังเหว่ย ก็พลอยไม่เป็นอันทำสิ่งใด คอยวน เวียนอยู่ใกล้ๆ ฮวาเอ๋อ ด้วยความเป็นห่วง ทุกครั้งที่พยายามเข้า ใกล้ หรือพูดคุย จะถูกน้องสาวสุดที่รักมองด้วยสายตาห่างเหิน เหมือนคนแปลกหน้าทุกครั้ง สร้างความทุกข์ใจให้พวกเขายิ่ง นัก

คนเดียวที่ทำให้ฮวาเอ๋อยิ้มได้ และสามารถเข้าใกล้นางได้ มากที่สุดคือ องค์ชายใหญ่ จ้าวหลี่จิ้น

จ้าวหลี่จิ้นมักจะซื้อขนม และของเล่นแปลกๆ มาให้ฮวาเอ๋อทุก วัน คอยสอนนางว่าต้องเล่นยังไง ทั้งยังมีเรื่องเล่าประหลาดๆ มา หลอกล่อให้นางยิ้มเสมอ หลังจากเห็นว่าน้องสาวให้ความไว้ วางใจองค์ชายใหญ่ จางเหว่ย และ หวังเหว่ย จึงเริ่มทำตามวิธี ของจ้าวหลี่จิ้น กลายเป็นว่า ทั้งสี่คนมักนั่งเล่น อยู่ด้วยกัน และส่ง เสียงดังลั่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
เหมยกุ้ยฮวาเริ่มปรับตัวได้แล้ว หลังจากอยู่ในร่างเล็กนี้มาได้ ราวสี่ถึงห้าวัน การมีพี่ชายหน้าตาดีรุมล้อมทำให้การอยู่ในร่าง เด็กห้าขวบไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว ก็แหละนะ ตอนอยู่ช่วงเวลานั้น เธอเอาแต่เรียน คร่ำเคร่งกับการเป็นหมอ จนอายุยี่สิบแปดก็ยัง ไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชายคนไหน พอข้ามเวลามานี่เธอ กลายเป็นมนุษย์ป้าในร่างเด็ก พอเห็นผู้ชายรูปงามก็อดซุ่มชื่น หัวใจไม่ได้ นั่งยิ้มโง่ๆ เวลาฟังเขาเรื่องเล่าประหลาดๆ ให้พวก เขาสบายใจก็สนุกไปอีกแบบ

แต่อย่างเดียวที่เธอไม่ทำคือการพูด และยังคงชอบนั่งคิด วางแผนการใช้ชีวิตให้ดี จนเผลอเหม่อลอยบ่อยๆ หลายครั้งที่ เห็นจางหย่งมองเธอด้วยแววตาเจ็บปวด ทำให้เธอสงสารเขา ยิ่งนัก อยากจะพูดบางอย่างออกไปเพื่อให้เขาสบายใจ แต่ก็กลัว ว่าเขาจะรู้ว่าเธอไม่ใช้เหมยฮวา บุตรีที่เขารักใคร่เอ็นดู เป็น เพียงคนที่ยืมศพคืนวิญญาณ จะทำให้เขาเสียใจมากกว่าเดิม คิดถึงตรงนี้ก็ห่อเหี่ยวใจ ยังคิดหาวิธีแก้ไม่ได้เสียที แต่ช่างเถอะ เธอต้องคิดหาวิธีได้แน่ จะไม่ยอมผิดต่อเจ้าของร่างด้วยการ ปล่อยให้บิดาของนางเป็นทุกข์นานๆ หรอก

“ฮวาเอ๋อ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” จางเหว่ยร้องเรียกเมื่อเห็น น้องสาวนั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาเหมือนเช่นทุกวัน “ใหญ่ ท่านต้องบอกฮว่าเอ๋อว่า พวกเรากลับมาแล้วต่างหาก

ท่านกลับมาคนเดียวเสียเมื่อไหร่” หวังเหว่ยทักท้วง

“ใช่ จางเหว่ย เจ้าอย่าหวังได้หน้าจากฮวาเอ๋อเพียงคนเดียว เชียว” จ้าวหลี่จิ้นสมทบ
นอกจากทําให้เหมยกุ้ยฮวาหันมาสนใจแล้ว ยังทำให้เธอข่า จนตัวงออกด้วย เดิมทีกริยาโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ดูมงาม ไม่ใช่หรือ เหตุใดนานวันเข้า พวกเขาถึงได้ทำตัวเป็นเด็กราวกับ อายุน้อยกว่าเธอเล่า

เหมยกุ้ยฮวาโบกมือเรียนให้ทั้งสามคนเข้ามาใกล้ ก่อนจะ แบมือทั้งสองยื่นออกไปตรงหน้าพวกเขา ทั้งสามคนยิ้มอย่าง เอ็นดู การทวงของตรงๆ เช่นนี้ทำได้ด้วยหรือ ขนมและของเล่น ถูกทยอยวางลงบนมือเล็ก เหมยฮวาหยิบขึ้นมาดูคร่าวๆ ก่อนจะ วางลงบนโต๊ะเพื่อรอรับชิ้นต่อไป

จนชิ้นสุดท้ายที่จ้าวหลี่จิ้นเป็นคนวางลงบนมือเล็ก ขลุ่ยไม้ไผ่ที่ ขนาดเล็กกว่าปกติ เลาหนึ่ง ตัวขลุ่ยแกะสลักลวดลายวิจิตร งดงามตรงปลายมีพู่สีแดงประดับไข่มุกเม็ดเล็กห้อยไว้ เหม ยกุ้ยฮวาตาลุกวาว หันมองจ้าวหลี่จิ้นด้วยแววตาขอบคุณ

ดูเหมือนของขวัญของจ้าวหลี่จิ้นจะได้รับความสนใจจากชวา เอือมากที่สุด เขาไม่ลืมหันไปยิ้มกระหยิ่ม เย้ยหยันจางเหว่ยกับ หวังเหว่ย อย่างผู้ชนะ ทำให้สองพี่น้องอดกลอกตาไม่ได้ เขารู้ว่า ท่ากริยาแบบนี้ไม่ได้ อย่างไรจ้าวหลี่จิ้นก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ แต่พอเห็นสายตาเย้ยหยันเมื่อครู่ก็อดไม่ได้จริงๆ เหตุใดองค์ ชายใหญ่จึงต้องมาลงแข่งเอาใจน้องสาวของพวกเขาด้วยเล่า เบี้ยหวัดที่ได้รับจากบิดาจะพอซื้อของดีๆ มาเอาใจฮวาเอ๋อได้ อย่างไร รู้ถึงเพียงนี้องค์ชายใหญ่ยังมีแก่ใจมาเยาะเขาสองคนพี่ น้อง เกินไปแล้วจริงๆ

เหมยกุ้ยฮวา จับขลุ่ยหมุนไปมา น้ำหนักดีจริง เหมาะกับมือเล็กป้อมของนางพอดี นึกถึงเมื่อตอนที่เริ่มเรียนรู้เพิ่มเตรียมตัว ข้ามเวลา ใหม่ๆ ตอนนั้นเธออายุได้ราวเจ็ดปี ขลุ่ยเป็นเครื่อง ดนตรีชิ้นแรกที่เธอหัด ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ผีผา และกู่เจิง จะว่าไป เธอก็ไม่ได้จับขลุ่ยนานแล้ว ลองหน่อยแล้วกัน

ริมฝีปากเล็กจรดลงบนผิวขลุย ขับท่วงทำนองเพลง เกาซันชิง พลันให้นึกถึงทิวทัศน์สวยงาม ธรรมชาติที่สดชื่น

เหมยกุ้ยฮวา ยืนผิวขลุ่ยด้วยท่วงท่าสบายๆ ผมคำขลับถูก มวยมุ่นขึ้นเป็นซาลาเปาสองข้าง ผูกทับเป็นโบด้วยผ้าชิ้นเล็กสี แดงเข้ากันกับชุดฮั่นฟูสีแดงชายกระโปรงปักลายเหมยกุ้ยฮ วา (ดอกกุหลาบ) ทับด้วยผ้าคาดอกสีขาวลายเดียวกัน ลมพัด โชยกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ชวนให้หลงใหล เสียงขลุ่ยกังวานใส ขับ ท่วงทำนองเพลงทำให้เคลิบเคลิ้ม สร้างความตื่นตะลึงให้กับ คน ในจวนแม่ทัพยิ่งนัก

จนกระทั่งเหมยกุ้ยฮวาผิวขลุ่ยจนจบเพลง จึงหันไปทางพี่ชาย ทั้งสามคน หวังจะได้รับคำชมหรือของรางวัล ถึงได้เห็นท่าทาง ประหลาดใจ ไม่สิ เรียกว่าตื่นตกใจจะเหมาะกว่า พลันนึกได้ อุทานขึ้นในใจ ซวยแล้ว ซวยอีกแล้ว!!!!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ