เป็นที่โปรดปรานจนลือ (1)
ผ่านการยกเลิกสมรสพระราชทานมาเข้าสองเดือนแล้ว กู่จาง หย่งกลับเข้าประชุมขุนนางตามปกติ ต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่ เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดเกิดขึ้น ฮ่องเต้ยังคงว่าราชกิจ ด้วยความเอาใจใส่ และคำนึงถึงประโยชน์สุขของราษฎรเป็น หลัก ส่วนแม่ทัพ ก็สอดส่องดูแลความสงบสุขทั้งในเมืองหลวง และชายแดนอย่างแข็งขัน บรรดาเสนาบดี ข้าราชสำนัก ต่างไม่มี ใครกล้าเอ่ยเรื่องฎีกา หรือเรื่องที่จางหย่งคืนตราแม่ทัพอีก ด้วยเห็นพ้องต้องกันว่า นอกจากฮ่องเต้จะไม่ทรงลงโทษแล้วยัง ส่งของปลอบขวัญไปยังจวนแม่ทัพ แม้ไม่รู้ว่ามีเหตุใดเกิดขึ้นบ้าง หากไม่โง่งมจนเกินไป ย่อมคิดได้ว่า แม่ทัพ จางหย่งผู้นี้ มีน้ำ หนักในใจของฮ่องเต้มากเพียงใด ยังจะมีใครกล้าเสนอหน้า เอาผิดเขาได้อีกเล่า
เรื่องราวครั้งนี้สำหรับคนอื่นถือเป็นเรื่องเล็ก หากคู่จางหย่งจะ มีหน้าตาขึ้นมาบ้างก็ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับพวกเขา แต่กับเสนาบดี จาง ต่างกันออกไป
เสนาบดี จางซงหยวน เป็นพระสสระ (พ่อตา) ของฮ่องเต้อง เงิน ตาเฒ่าผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก แต่เดิมที่มีพรรคพวก มากมายอยู่แล้วด้วยเป็นคนสกุลใหญ่ และสืบทอดตำแหน่งมา หลายชั่วอายุคน พอได้เป็นพระสสระ ของจ้าวฉงเจิน ก็กำเริบเสิบ สานแผ่บารมีจนมีคนมาเข้าพวกเพิ่มขึ้นอีก จนเรียกได้ว่า ขุนนาง ฝ่ายบน ไม่มีใครกล้ายืนฝั่งตรงข้ามกับเสนาบดีจางผู้นี้แม้เพียงคนเดียว
และเพราะการขึ้นครองราชย์ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจาก ขุนนางในราชสำนัก เพื่อให้ครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง จ้าวลง เงินจึงจำเป็นต้องแต่งตั้ง จางเหม่ยลี่ ขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งที่มีใจรัก มั่นคงอยู่กับ หม่าเพิ่งเอี๊ย ก็ทำได้เพียงแต่งตั้งนางผู้เป็นที่รักให้ เป็น กุ้ยเฟย เท่านั้น และไม่สามารถแสดงความรักที่มีออกไปได้ ทั้งหมดเพราะภายในวังหลังนั้น ผู้เป็นที่รัก มักมีชีวิตอยู่ได้ไม่ นาน เป็นเรื่องที่ จ้าวฉงเงินรู้สึกผิดต่อหม่ากุ้ยเฟยมาตลอด ไท เฮา พระมารดาของฮ่องเต้ฉงเจิน ที่ทรงรับรู้เรื่องราวมาโดย ตลอดจึงเอ็นดู หม่ากุ้ยเฟย และ จ้าวหลี่จิ้น มากกว่าผู้อื่น
จางฮองเฮา หรือ จางเหม่ยลี่ บุตรีของจางซงหยวน ผู้เกิดจาก เอกภริยาจางฮูหยิน สามารถขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮาได้ด้วย อำนาจของตระกูล ทว่าไม่ได้รับความรัก ซ้ำยังให้กำเหนิด ทายาทมังกร หลัง หม่ากุ้ยเฟย เสียอีก ทำให้ต้องเสียตำแหน่ง องค์ชายใหญ่ให้กับ จ้าวหลี่จิ้น ส่วน จ้าวหลี่เฉียง บุตรชายของ นางเป็นได้เพียง องค์ชายรอง ไฟริษยารุมเร้าจนอกนางแทบมอด ไหม้ พยายามกำจัดหม่ากุ้ยเฟยและจ้าวหลีจิ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ เสียที เพราะหม่ากุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของ ไทเฮา ด้วยเป็น คนเก็บตัว รู้กาลเทศะ เจียมเนื้อเจียมตัว แต่ทุกการกระทำของ นางล้วนถูกจางฮองเฮาตีความว่าเสแสร้ง มารยา ทำเพื่อให้ได้ รับความโปรดปรานเพียงเท่านั้น ทั้งรอจนตอนนี้องค์ชายรอง จ้าวหลี่เฉียงอายุได้ ๑๖ ปีแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังทรงไม่แต่งตั้งองค์ รัชทายาท พยายามบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่มีคนกล่าวถึง แล้วนางจะทนนิ่งใส่ใจขอเพียงนางอำนาจ หม่ากุ้ยก็ได้ตอบแทนทำให้ต้องทนอกไหม้มานานถึงนี้
เดิมทีเสนาบดีจางวางแผนให้ฮองเฮาขอสมรส พระราชทาน ให้จางหลีหลิว แต่งจางหย่ง หวังจะใช้ความ สัมพันธ์สร้างความมั่นคง คั้นจ้าวเงินแต่งตั้ง จ้าวหลี เหว่ย เป็นรัชทายาท ใครเลยจะคิดว่า จางหลีหลิวจะสร้าง เรื่อง ทำร้ายบุตรีของ จางหย่งจนเป็นบ้า ยังกลายเป็นใบ้ พูดได้ ฮ่องเต้ฉงเจินจนลงโทษจางหลิว แต่งงาน ออกกับเจ้าเมืองชายแดนที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่ให้กลับหลวงจางฮองเฮา ต้องของค่าเพื่อปลอบขวัญไปจวน แม่ทัพเป็นการรักษาหน้าตา และแสดงความผิดเพื่อให้ ฮ่องเต้ทรงข้อมาตำหนินางได้ พวกเขาเสียเสียใหญ่ เพราะความเอาแต่ใจของจางหลีหลิวโดยแท้ กล่าวแม้เปียยาวแต่ก็สามารถฟาดท้องได้ ล้วนเป็นการ ตัดสินใจที่ผิดพลาด พวกเขาประเมิน จางหลีหลิว เกินไป ถูก เลี้ยงดูเยี่ยงคุณหนู ไม่รู้จักที่หนักเบา
ฮ่องเต้ฉงเจินมิได้วางใจว่าเสนาบดีและจางฮองเฮาจะ ยอมรามือ โดยง่าย เสียหมากตัวสำคัญอย่าง จางไป ไม่ก็เร็วฝ่ายย่อมต้องคิดแผนใหม่เป็นแน่ คราวไม่ว่าพุ่งเป้าเขาต้องทางป้องกัน
ทุกฮ่องเต้องเงินเรียกให้จางหย่ง อยู่ปรึกษาราชการส่วนตัว โดยอ้างเรื่องความสงบภายในแคว้นใกล้เคียง แท้จริงแล้วกำลังวางแผนรับมือกับฝ่ายตรงข้าม อย่างตระกูลจาง
กู่จางหย่งไม่สามารถปฏิเสธค่าขอของจ้าวฉงเงินได้ แต่ก็ไม่ สามารถละทิ้งบุตรีให้อยู่ที่จวนเพียงลำพังได้เช่นกัน ทุกวันเขาจึง ต้องพา กู่เหมยฮวา เข้าวังมาด้วย ฝากให้กงกง และนางกำนัล ของฮ่องเต้ช่วยดูแล กู่เหมยฮวายังคงไม่พูด แต่อาการเหม่อลอย น้อยลงมาก นับว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความปีติให้กับ กู่จางหย่งยิ่งนัก
เมื่อไม่ต้องอยู่คนเดียวเหงาๆ ที่จวน กู่เหมยฮวา ก็รู้สึกดีขึ้น มาก พักการขบคิดเรื่องคำสั่งของบรรพบุรุษเอาไว้ก่อน ก็นะ…ตอนนี้นางอายุเพียงห้าขวบ จะทำอะไรไปได้มากกว่านี้ มี อยู่อย่างมีความสุข สนุกให้สมกับวัย การได้กลับไปเป็นเด็กอีก ครั้ง ช่างเป็นความสุขอย่างที่สุดจริงๆ
ในวังหลวงมีอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่จวนแม่ทัพหลาย อย่าง นางกำนัลล้วนหน้าตาจิ้มลิ้มงดงาม กงกงฝึกหัดที่ดูแล เหมยฮวา ใจดี และก็ตามใจเธออย่างมาก แต่กฎระเบียบในวัง หลวงก็มีมากเกินไป เธอยังถูกจำกัดที่ทางให้เดินไปมาอยู่ได้ เพียงบริเวณ ตำหนักเทียนหลง (มังกรสวรรค์) เท่านั้น ไม่ สามารถเดินเที่ยวเล่นสะเปะสะปะได้ตามใจ
ความไร้เดียงสาที่หาได้ยากในวังหลวง รอยยิ้ม และเสียง หัวเราะของเด็กอย่าง เหมยฮวา ทำให้ตำหนักเทียนหลงชีวิต ชีวาขึ้นอย่างมาก จนเป็นที่พูดถึงทั่ววังหลังนางกำนัลหลาย ตำหนักจะหาเวลาแวะมาเล่นกับ บุตรีของแม่ทัพ ไม่เว้นแม้กระทั่งกำนัลของตำหนักปิงจิ้งเหอ แม่น้ำเงียบสงบของ ไทเฮา ไทเฮาจึงรับสั่งกู่เหมยฮวา เข้าเฝ้า โดยส่งกงกงคนสนิท
แจ้งแม่ทัพกู่ ที่ตำหนักเทียนให้พาบุตรีมาเข้าเฝ้าใน
วันขึ้น
กู่จางน้อมรับพระด้วยความลำบากใจ ฮวาเอ๋อ ของอายุเพียง ไม่ความ ตอนยังไม่ได้ เรื่อง พิธีการในวังยิ่งคนตระกูลทั้งหมดหรอกหรือ หากฮวาเอ๋อต้องเข้าวังเป็นเช่นนี้
กล่าวได้ว่า…
ฮ่องเต้ทรงเมตตาหรือตอบว่าใช่
ฮ่องเต้ทรง ใจแคบหรือนั่น
จ้าวฉงเจินเป็นฮ่องเต้เมตตาอย่างใจแคบที่สุด สามารถ ประโยชน์จากเขาจนแต่เขาหากล่าวโทษพระองค์ได้ไม่
ทั้งหมดต้องโทษตระกูลจางแล้ว หากเพราะฝ่ายนั้นไม่หวัง ตำแหน่งรัชทายาท วางแผนเขาหมากเข้ายกเลิกราชโองการ แม้พูดว่าเป็นการคืนความเป็นธรรมให้วาเอ๋อ แต่ไม่ต่างการเหตุการณ์มาบังคับให้เขาตรงข้ามกับจางฮองเฮาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เสด็จแม่ทรงโปรดเด็กผู้หญิงนัก นานแล้วที่ที่นี่ไม่ได้มีเด็ก เล็กๆ ฮวาเอ๋อ…บุตรีของเจ้า น่ารักน่าเอ็นดูจนเป็นที่พูดถึงไปทั่ว วังหลวง เสด็จแม่คงอยากเห็นนางเพียงเท่านั้น เจ้าเองก็อย่าได้ เป็นกังวล ให้มากนัก”
ฮ่องเต้ฉงเจิน กล่าวปลอบใจ จางหย่ง เมื่อเห็นว่าเขามี อาการกระวนกระวายใจจนเกินเหตุ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สุขุมเยือก เย็นอยู่เสมอ และผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนอย่างแม่ทัพ จะ หวาดหวั่นด้วยเรื่องเพียงแค่นี้
“พระองค์จะทรงรู้อะไร” คำพูดสั้นๆ ที่จางหย่งพูดกับฮ่องเต้ ฉงเจิน ก่อนจะเดินออกจากตำหนักไปโดยไม่ทําความเคารพ หรือบอกลา
“เจ้าคนน่าตายนี่!!! หวังกงกงเราใจดีกับเขามากไปใช่หรือ ไม่” ฮ่องเต้องเงิน ทั้งขันทั้งฉิว พอเป็นเรื่องของบุตรี จางหย่งจะ เผยท่าทางที่ไม่เคยเห็นออกมา
“ทูลฝ่าบาท… แม่ทัพกู่เพียงเป็นห่วงบุตรีพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกง เอ่ยแก้ตัวให้ ด้วยรู้ว่า นายเหนือหัวมิได้โกรธสหายอย่างจริงจัง
เราว่าเป็นเพราะเจ้าคอยเข้าแก้ต่างแทนเขา เราถึงได้ไม่ จัดการกับเขาอย่างจริงจังเสียที” จ้าวฉงเจินพูดโดยไม่ละสายตา จากฎีกาในมือ
“ฝ่าบาท!!!” หวังกงกง รีบคุกเข่าลง นี่มิใช่ถูกกล่าวหาว่า เอาใจออกหากจากนายเหนือหัวหรอกหรือ ข้อกล่าวหาเช่นนี้เขา รับไม่ไหวจริงๆ
“หวังเฉิงฉี เจ้าต้องรู้จักมีอารมณ์ขันเสียบ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า!!!” ฮ่องเต้องเงินวางฎีกาในมือลง ลุกขึ้นเดินแล้วก้าวออกจาก ตำหนักไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
หวังเฉิงฉี เป็นชื่อของหวังกงกง ไม่มีใครเรียกชื่อเขามานาน มากแล้ว ครั้งนี้ฮ่องเต้องเงินทรงพระเกษมสําราญกับความทุกข์ เขาผู้เฒ่ามากเกินไปแล้วจริงๆ เพียงได้แต่คิดแต่มิอาจเอ่ยออก ไปได้ หวังกงกงทําได้เพียงปาดน้ำตาแล้วรีบตามเสด็จออกไป
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ