เสด็จอา ข้าเป็นหวางเฟยของท่าน

บทที่ 4 บุรุษในชุดขาวราวหิมะ (จบ)



บทที่ 4 บุรุษในชุดขาวราวหิมะ (จบ)

“ยามเย็นงดงามเหลือคณา”เพียงน่าเสียดายว่านี่ใกล้เวลา พลบค่ำแล้ว…” ชายหนุ่มเอ่ยทวนเบาๆ และเกิดความรู้สึกที่ เปลี่ยนแปลงไปบางอย่างต่อซูหรูชื่อขึ้นอีกครั้ง

กล่าวกันว่าซูหรูชื่อบุตรีคนที่สามของตระกูลซูมิเพียงแต่ หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ยังเป็นพวกโตแต่ตัวไร้หัวคิด โง่งมอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านความเป็นตายมา กลับเปลี่ยนไปเป็น คนละคน? และกลายเป็นคนที่มีความสามารถเช่นนี้…

ชายหนุ่มหลุบตาลง มุมปากของเขาผุดรอยยิ้มลึกลับและเอ่ย ปากอย่างผ่อนคลาย “เมื่อครูคำถามที่แม่นางซูถามข้า เห็นเข้า สมควรจะถามแม่นางมากกว่า”

ซูหรูชื่อขมวดคิ้ว และแค่นเสียงออกมา

ไม่ว่าเขาจะรู้จักซูหรูชื่อหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นางคือ “ซูหรูชื่อ” จริงๆ

แม้ว่าจะสงสัยในตัวนาง และตรวจสอบอีกสักเท่าไหร่ นางก็ยัง คงเป็นคุณหนูสามสกุลซู ซูหรูชื่ออยู่ดี!

“ช่างเป็นพวกคนที่ชอบถามทั้งที่รู้อยู่แล้วเสียจริง” ซูหรูชื่อ พูดอย่างเย็นชาและไม่ตอบคำถามของเขาโดยตรง

ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มที่ชัดเจนขึ้นมา
เห็นทีคงจะอาจเป็นเพราะ “การฟื้นจากความตาย” หลังจาก วนเวียนอยู่หน้าประตูนรกจึงได้กลับสู่วังวันอีกครั้ง ดังนั้นจึงอ่าน ใจคนได้ปรุโปร่งราวกับกระจก

เวลานั้น ในพระตำหนักในหลวน นางหมดลมหายใจไปแล้ว จริง….

บางที ชีวิตของสตรีผู้นี้ อาจเป็นพระเจ้าที่ประทานมาให้เป็น ครั้งที่สอง

“ลุกขึ้นเถอะ”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยปาก ซูหรูชื่อรู้สึกตาไม่ทันอยู่บ้าง นางเอียง ศีรษะไปมองเขา ขาของนางด้านชาไร้ความรู้สึกไปนานแล้ว

ชายหนุ่มไอเบาๆ ราวกับว่าการกระทำดังกล่าวของตน เขาเอง ก็รู้สึกว่ากะทันหันไปเช่นกัน

เขามองออกถึงใบหน้าขาวซีดของซูหรูชื่อ ร่างกายที่แสน บอบบางของนางดูราวกับจะล้มลงได้ตลอดเวลา ในตอนนั้นเอง ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา

แม้กระทั่งตัวเขาเอง ยังแปลกใจกับความคิดของตนเองเช่น

กัน

เพียงแต่ คำพูดถูกเอ่ยออกไปแล้ว จะกลับคำก็ดูไม่เหมาะ สมสักเท่าไหร่

“ที่นี่ไม่มีผู้ใด เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าตลอดเวลา” เขาอธิบาย ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซูหรูชื่อไม่คิดจะใส่ใจชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไร ที่มาที่ไปผู้นี้ ถึงแม้ว่านางเองก็รู้ดีว่าคงไม่มีใครมาสนใจนาง แต่ นี่เป็นวันแรกที่นางมายังโลกยุคนี้ นางไม่อาจเย่อหยิ่งได้ขนาด

ถึงแม้ว่า….

ในพระตำหนักในหลวน นางจะเผลอทำตัวอวดดีเกินไปหน่อย

หารู้ไม่ว่า การกระทําของนาง ทำให้ชื่อเสียงของนางใหญ่โต ไปไกลลิบ

ซูหรูชื่อถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง จากนั้นจึงหันกลับ ไปมองด้านหน้า ไม่สนใจผู้ชายข้างๆ อีกต่อไป แต่ไหนแต่ไรนาง

ไม่ชอบพวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถึงท่าทางตอบสนองของซูหรูชื่อจะไร้เยื่อ ใย อีกทั้งยังไม่รู้จักเจตนาดีของเขา แต่เหตุใดต้องถลึงตาใส่เขา

อย่างไร้ความปรานีเช่นนี้ด้วย?

ชายหนุ่มเอาแต่มองไปที่ใบหน้าด้านข้างของนาง ผ่านไปเนิ่น นานจึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ช่างเป็นพวกสุนัขแว้งกัดเจ้าของเสีย จริง…ไม่รู้จักสำนึกเจตนาดีของผู้คนเสียเลย

เมื่อจบประโยค สิ่งที่แลกมาก็คือสายตาจ้องมองด้วยความ ดุร้ายจากซูหรูชื่ออีกครั้ง

ต้องบอกว่า หน้าตาอัปลักษณ์จนผียังต้องกระเจิงของซูหรูชื่อ พอถลึงตาเช่นนี้แล้วมองดูน่ากลัวอย่างยิ่งจริงๆ
ต้องชื่นชมชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่งที่กล้าหาญได้ขนาดนี้ อีกทั้งยัง อยพูดคุยกับนางอย่างสบายๆ

ซูหรูชื่อกัดริมฝีปาก พยายามอดทนที่จะไม่สบถต่าออกมา นางได้แต่กำหนัดแน่นกลัวว่าตัวเองจะอดไม่อยู่แล้วเข้าไปทุบเขา

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เมื่อเห็นนางกำลังกัดริมฝีปากล่างแน่น ดวงตางดงามคู่นั้นก็มีประกายเข้มผ่านวาบ เขาโน้มตัวไปข้าง หน้าและลูบมือของตนลงไป “แบบนี้เจ้าจะบาดเจ็บ….

ปลายนิ้วอันอ่อนนุ่มของเขาสัมผัสได้ถึงความแห้งกร้านอยู่

บ้าง เขาตื่นตะลึง และตกใจกับการกระทำของตนเอง

การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ทำเอาทั้งสองคนทำตัวไม่ถูกขึ้น

มา

ชายหนุ่มลืมไปว่าตนเองควรจะตอบสนองอย่างไร

เป็นซูหรูชื่อที่มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาก่อน

นางขมวดคิ้ว ใบหน้ายับย่น เต็มไปด้วยความโมโห จนลืมไป หมดว่าอะไรคือคำว่าอดทนอดกลั้น

ซูหรูชื่อยกมือซ้ายขึ้น และตบลงบนเล็บที่ยังคงค้างอยู่บนริม ฝีปากของนาง ในขณะเดียวกันมือขวาของนางก็กำหมัดแน่น ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มี เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหล่านั้น อย่างไร้ความปรานี

แม้ว่าร่างกายของนางจะอ่อนแอ แต่หมดนี้ก็ใช้พลังทั้งหมดที่ นางมี ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มถูกต่อยเข้าอย่างจัง จึงเกิดเป็นรอยฟกช้ำที่แก้มซ้ายขึ้นมาทันที

แรงของนางทําเอาเขาแทบจะตกจากเก้าอี้ โชคดีที่เขาจับแขน เก้าอี้เอาไว้ได้ทัน ตนจึงรอดมาได้ ชายหนุ่มตะลึง แต่กลับหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้ท่าทีโมโห

นัยน์ตายิ่งแฝงด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจนมากขึ้น

สตรีนางนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆ

ซูหรูชื่อเหวี่ยงหมัดออกไป เนื่องจากใช้แรงมากเกินไป ร่างกายอันบอบบางจึงส่งผลให้ไหล่เป็นตะคริวขึ้นมาโดยไม่คาด คิด นางได้แต่หันหน้าไปถลึงตาใส่เขา ดวงตากระจ่างจ้องมอง ชายหนุ่มผู้ที่ยังคงเอาแต่หัวเราะคิกคักหลังจากถูกทุบตี ความ หมายในดวงตาของนางชัดเจนอย่างยิ่ง ลองหัวเราะให้ข้าดูอีก สักครั้ง ?

รอยยิ้มในดวงตาของชายหนุ่มยังคงไม่ลดลง แต่กลับยิ่งมี ความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไหร่กันที่ซูหรูชื่อถูกละเลยไปเช่นนี้ พอนางโมโห ก็ลืมไป เลยว่าขาขอตนนั้นเหน็บชาไร้ความรู้สึกไปนานแล้ว นางกระโดด ขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะซัดใส่บุรุษสมควรตายนี่สักยก

ทันทีที่นางลุกขึ้น ทั้งสองขาก็ชาวาบ แม้กระทั่งแรงยืนยังแทบ ไม่มีเหลือจนต้องล้มลงไป

ร่างกายที่สมควรตาย

ร่างกายอ่อนแอแสนบัดซบ!
ซูหรูชื่อแอบด่าอยู่ลับๆ ขณะที่นางกำลังล้มลง เอวของนางก็ ถูกฝ่ามือใหญ่อันเย็นเฉียบคู่หนึ่งคว้าเอาไว้

มือใหญ่คู่นั้นจับเอวของนางและโอบนางเบาๆ ให้เข้าสู่ อ้อมอกของเขา เป็นครั้งแรกที่ซูหรูชื่อล้มลงไปในอ้อมอกของเขา อีกทั้งครั้งนี้

ทั้งใบหน้าของนางยังฝังอยู่ในอกของเขาอีกด้วย

กลิ่นแรกที่นางได้สัมผัส คือกลิ่นยาอันหอมหวนที่กระทบเข้า มายังจมูก ครั้งนี้ซูหรูซื่อสัมผัสแนบชิดกับเขาอย่างสมบูรณ์

“แม่นางซูช่างกระตือรือร้นเสียจริง” น้ำเสียงของชายหนุ่มด้าน บนศีรษะเอ่ยหยอกเย้า

ซูหรูชื่อขมวดคิ้ว จากนั้นจึงรีบผละออกจากอ้อมแขนเขาทันที

นางลืมไปเสียสนิทว่าขาของนางยังอยู่ในสภาพไร้ความรู้สึก ดัง

นั้นผลที่ตามมาของการฟื้นตัวบังคับตัวเองออกมาก็คือ

นางกระแทกเข้าที่อกของชายหนุ่มอย่างแรงอีกครั้ง

“แม่นางซู เจ้ากระตือรือร้นมากเกินไปหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว บริเวณหน้าอกที่ถูกนางกระแทก เข้าใส่รู้สึกปวดร้อนขึ้นมา

เดิมทีซูหรูชื่อก็มีอาการมึนหัวอย่างหนักอยู่แล้ว บวกกับเมื่อครู่ ที่จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นมาและประกอบกับร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นการ กระแทกครั้งนี้ ทําเอานางเวียนหัวจนตาลาย
“แม่งเอ๊ย….”

นางลูบหน้าผากของตนคิดจะหนีให้พ้นจากอ้อมแขนของชาย หนุ่ม แต่ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ความรู้สึกเวียนหัวและไร้เรี่ยวแรง ก็กลับเข้ามา ก่อนที่นางจะสลบไป นางก่นด่าออกไปอย่างไร้ เรี่ยวแรง จากนั้นจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าใส่ต้นขาของชาย หนุ่ม

สุดท้าย สมองของนางเวลานี้ยืนยันได้สิ่งหนึ่งก็คือ ชายหนุ่มผู้ นี้ถึงแม้จะดูอ่อนโยน แต่จริงๆ กลับเป็นหมาป่าตัวใหญ่ ตอนนี้ นางได้แต่บอกกับตัวเองเงียบๆ จากนี้ไปหากเจอเขาที่ไหนจะต้อง หลีกหนีไปให้ไกล! จะได้พ้นภัย!

ต้นขาของชายหนุ่มมีกระแสความเจ็บปวดส่งผ่านมา ระหว่าง นั้นยังไม่ลืมที่จะถลึงตามองซูหรูชื่ออย่างโมโห

สตรีผู้นี้ ช่าง….ร้ายกาจจริงๆ!

เมื่อมองไปที่ซูหรูชื่อที่หมดสติไป มุมปากชายหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้น เขาสนใจสตรีนางนี้ขึ้นมาอยู่บ้าง

“ท่านอ๋องฉัน ที่แท้ท่านอยู่ที่นี่! เวียส ตามหาอยู่ตั้งนาน!

หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ แน่นอนว่าย่อม เป็นเรื่องท่านอ๋องสี่ทอดทิ้งพระชายา เรื่องของซูหรูชื่อ

เช่นเดียวกับในห้องโถงร้านอาหารในเวลานี้ กลุ่มชายร่างใหญ่กำลังคุยกันด้วยเสียงอันดังลั่น

“เจ้ารู้หรือไม่? เมื่อเดือนก่อน คุณหนูสามตระกูลซูรับไม่ได้ที่ ถูกท่านอ๋องสี่เขียนขอร้องเรียนกฎการหย่าภรรยาสามประการ จากนั้นจึงพุ่งเข้าชนกับเสาในพระตำหนักในหลวน! ”

“เอ๊ะ ไม่ใช่ว่ากฎทั้งเจ็ดข้อล้วนทำผิดไม่ใช่หรือ?”

“เจ้ามั่วแล้ว! เห็นชัดๆ ว่ามีสามล้อ! ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่แปลก ประหลาดก็คือ คุณหนูสามตระกูลซูพุ่งเข้าชนเสาเลือดอาบหน้า แต่กลับยังรอดชีวิตมาได้! ”

“ได้ยินมาว่านางถูกลงโทษให้คุกเข่าทั้งวันทั้งคืน จากนั้นก็ไม่ ได้สติไปจนกระทั่งตอนนี้! ” “ได้ยินมาว่าหลังจากที่นางรอดชีวิต นางก็เขียนหนังสือ

หย่าขึ้นมา แล้วปาใส่หน้าท่านอ๋องสี่ด้วย!”

“สตรีพิลึก! นางคงถูกทุบตีจนเลอะเลือนไปแล้วแน่! ”

“สตรีอัปลักษณ์นางนี้ ดุร้ายอย่างยิ่ง

บุรุษสามหรือห้าคนรวมตัวกันและพูดคุยกันเสียงดังเกี่ยวกับ การกระทำอันลือลั่นเป็นตำนานของซูหรูชื่อ

แต่ที่ไม่ทราบก็คือ คนที่พวกเขากำลังกล่าวหาในเวลานี้เอง

กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงเช่นกัน และกำลังดื่มชาอย่างใจเย็น

“คนพวกนี้ทำเกินไปแล้ว! คุณหนู ท่านต้องการให้หยินผิงไป จัดการพวกเขาสักยกหรือไม่?” หญิงสาวหน้าตางดงามในชุดสีเขียวกําลังเบิกตากว้าง และถูกแขนเสื้อขึ้นอย่างโมโห ดวงตา กลมโตคู่นั้นจับจ้องไปที่เหล่าบุรุษที่กำลังนินทาอย่างสนุกปาก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ