เสด็จอา ข้าเป็นหวางเฟยของท่าน

บทที่ 3 บุรุษในชุดขาวราวหิมะ (ต้น)



บทที่ 3 บุรุษในชุดขาวราวหิมะ (ต้น)

ใบหน้ารูปแตงขนาดมาตรฐานของนางมีคิ้วบางเบาน่าเกลียด ดวงตาชั้นเดียวที่ไม่นับว่าเล็กของนางดูธรรมดาดาษดื่น หางตา ยังมีปานแดงประทับอยู่เด่นชัด ดวงตาของนางสงบนิ่งไม่ติ่งไหว และหลับตาลงอย่างเรียบๆ

จมูกเล็กของนางเล็กเต็มไปด้วยรอยกระและติ่งเนื้อน่ารังเกียจ แก้มทั้งสองยังเต็มไปด้วยจุดด่างดำ บนคางมีรอยไหม้อันน่ากลัว อย่างยิ่ง

อีกทั้งตอนนี้หน้าผากของนางยังมีบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการ รักษา เลือดที่ไหลลงมาแห้งกรัง และเกาะอยู่บนหน้าตาและแก้ม นั้น

สิ่งเดียวที่พอมองได้บนใบหน้านั้น กลับเป็นริมฝีปากของนาง

รูปปากสีแดงสดสมบูรณ์แบบ ปากเล็กแม้ไม่ยิ้มก็ยังคง หยิบยกขึ้น ดูมีชีวิตชีวาและแฝงด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ

ทันทีที่นางข้ามมิติมาก็ถูกหย่า จากนั้นจึงถูกพากลับมายังที่ที่ เรียกว่า บ้าน จากนั้นจึงถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่เช่นนี้

ซูหรูชื่อคุกเข่าอยู่ที่นี่เป็นเวลานานว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงแล้ว หากเป็นร่างกายของนางในชาติที่แล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ร่างกายของนางบอบบางอย่ายิ่ง แค่ผ่านไปชั่วครู่ เขาทั้ง สองก็ชาไร้ความรู้สึกใดๆ
นอกจากนี้ยังมีอาการหายใจลำบากเล็กน้อย เอวของนาง เคล็ด อีกทั้งศีรษะยังรู้สึกมึนงง

“แม่งเอ้ย!!” สีหน้าของซูหรูซื่อสงบนิ่งราวกับสายน้ำ แต่ในใจ กลับกำลังบริภาคสาปแช่งไปหลายร้อยครั้ง นางนึกทบทวนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน หลังจากที่นาง

ปาหนังสือหย่าร้างใส่หน้าอ๋องสี่ นางก็ออกมาอย่างเร่งรีบทันที

คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ที่ประตูกลับมีหญิงสาวนางหนึ่งพุ่งเข้ามา และ ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตานองใส่นาง

จากนั้น องครักษ์หลายคนก็พาตัวนางไป

จากปากของหญิงสาวนางนั้น นางจึงได้รู้ว่าบิดาของซูหรูซื่อ มีชื่อเรียกว่า “ซูมู่” สั่งการให้คนมารออยู่หน้าพระตำหนักจินหล วนนานแล้ว รอกระทั่งซูหรูชื่อที่ถูกหย่าปรากฏตัวขึ้น ก็ให้พานาง กลับจวนทันที แต่ตัวซูมู่กลับไม่ได้อยู่ในจวนแต่อย่างใด ไม่รู้ว่า อยู่หนใด

นางคิด ในเมื่อเป็นบ้าน อย่างนั้นการกลับไปก็คงไม่มีปัญหา อะไร สำหรับนางแล้วคำคำนี้ แฝงความปรารถนาที่อธิบายไม่ได้ อยู่ในนั้น

ในชาติก่อน นางเป็นเด็กกำพร้า สองมือเต็มไปด้วยเลือดของ ผู้คนมากมาย ในชาตินี้ นางแค่อยากมีชีวิตที่สงบสุข

แต่เมื่อนางกลับมาที่จวนเฉิงเสียง นางก็พบกับแม่รอง หลัง จากอธิบายไปเรียบๆ ว่านางเพิ่งจะหย่ากับท่านอ๋องสี่ไป นางกลับถูกลงโทษให้คุกเข่า

นางเป็นถึงหัวหน้าสายลับของหน่วยข่าวกรอง หากคิดอยาก จะหลบหนี ก็ทําได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่ นางเหนื่อยเหนื่อยอย่างยิ่ง นางแค่จะทำตัวเป็นซูหรูชื่อผู้อ่อนแอไร้ความสามารถ และใช้

ชีวิตที่เหลืออย่างสบายใจ

แม้ว่าเข่าของนางจะชาไร้ความรู้สึก แต่กลับไม่มีท่าทีขยับเข ยื้อนใดๆ สีหน้าของนางสงบนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด

เห็นที่ แม่รองผู้งดงามคนนั้นคงจะเกลียดนางอย่างยิ่ง

นางไม่เพียงแต่สั่งให้ตนคุกเข่าลงเท่านั้น แต่ยังห้ามไม่ให้ใคร มาเยี่ยม อีกทั้งยังห้ามไม่ให้นางสัมผัสแม้แต่หยด

จุ๊จุ๊ ช่างเป็นแม่รองที่อำมหิตอะไรขนาดนี้

ดูเหมือนว่า ร่างกายนี้ จะน่าขยะแขยงและไม่เป็นที่น่าพอใจ ของทุกคนอย่างยิ่ง

นางควรชูนิ้วกลางสักหน่อยหรือไม่? เอ๊ะ ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งหน้ามืด……

ดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะของนางค่อยๆ เคลื่อนไปทางทิศ ตะวันตก ฉากตรงหน้ายิ่งเลือนรางมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายอัน แสนบอบบางราวกับต้นหลิวของซูหรูซื่อ กำลังจะล้มลง

นางหลับตาลง ตั้งใจจะปล่อยให้ตัวเองเป็นลมไป ร่างของนางอ่อนลงและล้มลงไปบนพื้น

ความเจ็บปวดที่คาดคิดเอาไว้กลับมาไม่ถึง แต่นางกลับสัมผัส ได้ถึงลมหายใจอุ่นและไอเย็นที่ส่งผ่านมา

“แม่นาง ?”

แม้ว่าเสียงนั้นจะแฝงความสุภาพห่างเหิน อีกทั้งยังเยือกเย็น

อย่างยิ่ง แต่กลับน่าฟังอย่างที่สุด

“แม่นางซู เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”

น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นอีกครั้ง ซูหรูชื่อจึงค่อยๆ ลืมตาช้าๆ

เมื่อนางลืมตาขึ้น ใบหน้าที่งดงามสุดจะพรรณนาก็ตกอยู่ใน สายตาของนาง ในตอนนี้ ศีรษะของซูหรูชื่อพิงอยู่บนเข่าของชายหนุ่มอย่าง

นุ่มนวล ดังนั้นเมื่อเอนศีรษะขึ้น จึงมองเห็นเขาได้อย่างใกล้ชิด

เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวสะอาดราวกับหิมะ ดิ้นสีทอง อ่อนที่ชายขอบคอเสื้อถูกปักเป็นลวดลายดอกเหอฮวนที่กำลัง แย้มบานเพียงครึ่ง มองแล้วทั้งสง่างามและเย็นชา

ดวงตาสีอ่อนเจือความอ่อนโยนและยิ้มอันเหินห่าง กำลังมอง นางอย่างเรียบๆ

คิ้วของชายหนุ่มคมเข้ม ดวงตาสีทองอ่อนเปล่งประกายระยิบ ระยับราวกับอำพัน มุมฉากบนใบหน้าส่งเสริมให้เขายิ่งดูเยือก เย็นราวกับน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไปนับพัน ริมฝีปากบางซีดขาวและถูกเม้มขึ้นมาเล็กน้อย ไร้การโค้งงอ

ผิวขาวนวลแฝงด้วยความซีดเซียวของคนอม โรค แสดงให้ เห็นถึงความอ่อนแอ

นี่เป็นผู้ชายที่ทั้งอบอุ่นและเย็นชา เขาเกิดมาพร้อมกับความ

สูงส่งสง่างาม จนทำให้คนรู้สึกเมามาย

ให้ตายเถอะ นี่เป็นเทพเซียนตกสวรรค์ชัดๆ การบรรยาย เขาแบบนี้ ไม่เกิดจริงเลยสักนิด

ร่างกายของเขามีกลิ่นยาจางๆ แฝงด้วยความเยือกเย็น เบาบางราวกับเมฆหมอก นางบอกไม่ถูกว่ามันคือกลิ่นอะไร แต่ มันกลับหอมอย่างยิ่ง

แม้แต่ซูหรูชื่อเอง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปชั่วครู่

นางได้สติกลับมา ใบหน้ายังไม่ได้การแสดงออกใดๆ นาง ขยับตัวออกจากเข่าของเขาอย่างสง่างามหมดจด จากนั้นจึงเอ่ย เสียงเรียบ “ขออภัย

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มหลุบตามอง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาสามคำ ซูหรูชื่อค่อยเห็นชัดว่า ชายในชุดขาวผู้นี้นั้นกำลังนั่งอยู่บนรถ

รถเข็นเงินที่ดูแล้วสำหรับยุคโบราณเช่นนี้คงทำได้ยากอย่าง

ใบหน้าของเขามีรอบยิ้มเยือกเย็น ชายผู้สูงศักดิ์และสง่างามราวกับหิมะผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเงียบๆ แต่กลับมีอาจปกปิด บรรยากาศลอมตัวเขาเอาไว้ได้ ขายังคงสง่างาม

จู่ๆ ซูหรูชื่อก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

“ขอบคุณ” ซูหรูชื่อเก็บสายตากลับมา จากนั้นจึงเอ่ยขอบคุณ เบาๆ และคุกเข่าต่อไปไม่สนใจเขาอีก ผู้ชายล้วนเป็นพวกขยะทั้ง นั้น!

ชายชุดขาวมองนางอย่างเงียบๆ หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็ ยังคงไม่จากไปไหน

“แม่นางซูถูกลงโทษนั้นหรือ?

“หืม?” ซูหรูชื่อรู้ว่าชายผู้นี้กำลังคุยกับตน นางยักไหล่และ หัวเราะ “เพราะไม่ได้เป็นฝ่ายถูกหย่า แต่เป็นผู้ขอหย่า ดังนั้น…

ผู้ชายดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาของเขามี

รอยยิ้มวาบผ่าน

“ท่านหัวเราะอะไร?” ซูหรูชื่อเห็นหน้าตาขบขันของเขาก็รู้สึก รำคาญขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้ามองผิดไปแล้ว” ชายหนุ่มกลับคืนสู่สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง เช่นเดิม และเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

“มองผิด?” ซูหรูชื่อมองเขาด้วยท่าทางที่บ่งบอกชัดเจนว่าเขา ต่างหากที่เป็นคนงี่เง่า

นางจะมองผิดได้อย่างไร? น่าขันสิ้นดี ผู้ชายคนนี้ถึงกับกล้าใช้ข้ออ้างนี้มาพูด

ว่าไปแล้ว…

เขาคือใคร?

เหตุใดจึงได้มาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่ง

“ท่านคือใคร?” ซูหรูชื่อเอ่ยปากถามตรงๆ

หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงไม่กล้าขัดคำสั่งของแม่รองผู้นั้น แน่ อีกทั้งชายผู้นี้ยังเรียกนางว่าแม่นางซู เช่นนั้นก็คงจะรู้จักนาง อยู่บ้างแต่ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากนัก

ซูหรูซื่อสังเกตอย่างกระตือรือร้น หลังจากที่นางเอ่ยคำถามนี้ ออกไป แววตาของชายหนุ่มก็ฉายแววสงสัยขึ้นมาชั่ววูบ ถึงแม้ มันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ยังจับมันได้ทัน

หรือว่า นางควรรู้จักเขา?

คงไม่ใช่ พี่ชายของนาง? หรือน้องชาย? ลุงเล็ก? อาเล็ก?

ในใจของซูหรูชื่อคาดเดาไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้เอ่ยถามออก มาตรงๆ

ชายหนุ่มกลับไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่ทำเพียงแค่ยิ้ม

จางๆ

รอยยิ้มที่ดูเหมือนอ่อนโยนนั่น ในสายตาของซูหรูชื่อกลับ ทำให้นางรู้สึกขนลุกขึ้นมาอยู่บ้าง
“ท่านไม่คิดจะไปหรือ?” ซูหรูชื่อมองท้องฟ้าสีค่อยๆ เข้มขึ้น และอดไม่ได้ที่จะเปิดปากถามเขาอย่างสงสัย

จู่ๆ ชายคนนี้ก็มาปรากฏตัวที่นี่ จากนั้นก็แสร้งทำตัวนิ่งเฉย

เขาคิดจะทำอะไร? “แม่นางซูไม่รู้สึกว่า พระอาทิตย์ตก ในวันนี้สวยงามอย่างยิ่ง

หรอกหรือ?”

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มุมปากน่ามองยกยิ้ม ดวงตาที่แฝง ด้วยความซับซ้อน กำลังจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันว่างเปล่า

หลังจากซูหรูชื่อได้ยิน นางก็เงยหน้าขึ้น

หลังคากระเบื้องสีเทาตรงหน้ากำลังถูกอาบย้อมเป็นสีเหลือง ทองของพระอาทิตย์ตก เกิดประกายงดงาม

ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งถูกย้อมเป็นสีอันชวนให้หลงใหล พระอาทิตย์

เปล่งแสงเรืองรอง มองแล้วงดงามอย่างยิ่ง

จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงดื่มขึ้นมาและเอ่ยอย่างสบายๆ “ยามเย็น งดงามเหลือคณา เพียงน่าเสียดายว่านี่ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว

ชาติก่อน นางไม่เคยมีอารมณ์เช่นนี้ ที่สามารถนั่งมองท้องฟ้า ได้อย่างตั้งอกตั้งใจ โลกของชาติก่อนเองก็ไม่มีท้องฟ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดเช่นนี้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ